ในโลกแห่งยนตรกรรมหรูที่เต็มไปด้วยการแข่งขันและนวัตกรรม สิ่งหนึ่งที่ยังคงยืนหยัดและเป็นแรงบันดาลใจให้แก่ผู้คนทั่วโลกคือเรื่องราวการถือกำเนิดของแบรนด์ที่ไม่หยุดยั้งในการแสวงหาความสมบูรณ์แบบ แบรนด์ที่พลิกโฉมหน้าวงการรถหรูจากญี่ปุ่นให้ก้าวขึ้นมายืนหยัดเคียงข้างยักษ์ใหญ่จากยุโรป และสร้างมาตรฐานใหม่ที่ยากจะหาใครเทียบได้ เรื่องราวของ “เลกซัส” เริ่มต้นขึ้นในปี 1989 ด้วยการปรากฏตัวที่สร้างความตกตะลึงแก่ผู้เล่นเดิมในตลาดสหรัฐอเมริกา และในปี 2025 นี้ ปรัชญาแห่งการสร้างสรรค์อันไร้ขีดจำกัดยังคงขับเคลื่อนวิสัยทัศน์ของแบรนด์ให้ก้าวไปไกลกว่าแค่ยานยนต์
ในปีที่เลกซัสเผยโฉมสู่ตลาดโลกเป็นครั้งแรกนั้น แบรนด์รถหรูน้องใหม่จากแดนอาทิตย์อุทัยสามารถทำยอดขายได้หลายหมื่นคัน ท่ามกลางความประหลาดใจของแบรนด์หรูฝั่งยุโรปที่เคยครองตลาดอย่างไม่เป็นสองรองใครในอเมริกา ยอดจำหน่ายของคู่แข่งลดลงอย่างเห็นได้ชัด และเพียงสองปีต่อมาในปี 1991 เลกซัสก็ทะยานขึ้นเป็นอันดับหนึ่งของกลุ่มรถหรูในสหรัฐอเมริกาได้อย่างรวดเร็ว
คำถามที่ผุดขึ้นในใจของหลายคนคือ อะไรคือเบื้องหลังความสำเร็จที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหันในระยะเวลาอันสั้นนี้? ทำไมแบรนด์รถหรูน้องใหม่จากญี่ปุ่นจึงสามารถสร้างสรรค์ยนตรกรรมที่เปี่ยมด้วยวิศวกรรมการออกแบบขั้นสูง รายละเอียดที่พิถีพิถัน และความสมบูรณ์แบบจนสามารถโค่นแบรนด์หรูจากยุโรปได้อย่างงดงาม เพื่อจะไขปริศนาแห่งความสำเร็จนี้ เราต้องย้อนกลับไปยังวิสัยทัศน์อันกล้าหาญของบุคคลสำคัญผู้ให้กำเนิดแบรนด์เลกซัส “เออิจิ โตโยดะ” ในวันที่ไม่มีใครเชื่อว่าญี่ปุ่นจะสามารถก้าวขึ้นมาเป็นผู้ผลิตรถหรูระดับโลกได้
โปรเจกต์ F1: กำเนิดแห่ง ‘รถยนต์ที่ดีที่สุดในโลก’
ในปี 1983 เออิจิ โตโยดะ ได้จุดประกายความคิดที่ท้าทายทั้งตัวเขาและทีมงานอย่างยิ่งยวด นั่นคือการสร้าง “รถยนต์ที่ดีที่สุดในโลก” โจทย์ที่ดูเหมือนจะเป็นไปไม่ได้ในยุคนั้น สำหรับแบรนด์รถยนต์จากเอเชีย และด้วยเหตุนี้ โปรเจกต์ที่มีชื่อรหัส F1 ซึ่งย่อมาจาก “Flagship One” จึงถือกำเนิดขึ้น เพื่อเป้าหมายในการพัฒนารถยนต์ Lexus LS 400 ที่จะมุ่งเจาะตลาดรถหรูขนาดใหญ่ที่สุดของโลกอย่างสหรัฐอเมริกา
เออิจิเข้าใจดีว่าการบุกตลาดนี้ไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะย้อนกลับไปในช่วงทศวรรษ 1950s เขาเคยส่ง Toyota Crown ซึ่งเป็นรถหรูขนาดกลางของโตโยต้าเข้าไปจำหน่ายในอเมริกามาแล้ว แต่ก็ประสบความล้มเหลว ตลาดรถหรูในอเมริกาเต็มไปด้วยแบรนด์ที่มีชื่อเสียง การแข่งขันสูง และหากไม่ใช่รถที่ดีที่สุด ก็ยากที่จะดึงดูดความสนใจและเม็ดเงินจากเศรษฐีชาวอเมริกันได้
ด้วยบทเรียนจากอดีต เมื่อเริ่มโปรเจกต์ F1 เออิจิจึงทุ่มงบประมาณและทรัพยากรบุคคลระดับหัวกะทิแบบไม่อั้น ทีมงานนับพันชีวิตถูกระดมมาทำงานอย่างเต็มที่ ประกอบด้วย นักออกแบบกว่า 60 คน, ทีมวิศวกร 24 ทีม รวม 1,400 คน, นักเทคนิค 2,300 คน และหน่วยสนับสนุนอีก 220 คน ทั้งหมดนี้ทำงานร่วมกันเพื่อวิจัยและพัฒนารถยนต์หรูที่ดีที่สุด โดยมีเป้าหมายคือการทะลวงตลาดรถหรูในอเมริกา ซึ่งในอดีตที่ผ่านมา ไม่เคยมีแบรนด์รถยนต์ใดจากเอเชียเคยทำได้สำเร็จมาก่อน
การแสวงหาความสมบูรณ์แบบอย่างไม่มีที่สิ้นสุด: หัวใจแห่ง DNA ของเลกซัส
ระหว่างที่โปรเจกต์ F1 ดำเนินไปอย่างเข้มข้น ในปี 1985 เออิจิได้นำทีมงานเดินทางไปยังสหรัฐอเมริกาเพื่อศึกษาและสำรวจตลาดด้วยตนเอง เขาเชื่อมั่นว่าการจะรู้จักและเข้าใจลูกค้าได้อย่างแท้จริงนั้น ไม่มีวิธีใดดีไปกว่าการเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตของพวกเขา ทีมวิศวกรของเลกซัสได้เชิญผู้ใช้รถหรูจากหลากหลายแบรนด์หลายร้อยคนมาสัมภาษณ์อย่างละเอียด เพื่อค้นหาว่าอะไรคือสิ่งที่พวกเขาชื่นชอบ ไม่ชอบ และอะไรคือความต้องการที่แท้จริงที่ยังไม่มีแบรนด์รถหรูใดยื่นมอบให้
ไม่เพียงแค่การรับฟัง เออิจิยังส่งทีมนักออกแบบไปเช่าบ้านพักอาศัยอยู่ที่ Laguna Beach รัฐแคลิฟอร์เนีย เพื่อเฝ้าสังเกตวิถีชีวิต รสนิยม และพฤติกรรมการใช้จ่ายของเหล่าเศรษฐีอเมริกัน ซึ่งจะเป็นลูกค้าในอนาคตของเลกซัส ทุกรายละเอียดเล็ก ๆ น้อย ๆ ตั้งแต่การใช้ชีวิต การกินอยู่ ไปจนถึงมุมมองต่อความหรูหรา ล้วนถูกเก็บรวบรวมเป็นข้อมูลอันล้ำค่าในการพัฒนารถยนต์
เพื่อให้ได้มาซึ่งคำว่า “รถยนต์ที่ดีที่สุด” โปรเจกต์ F1 ใช้เวลาในการพัฒนาอย่างเข้มข้นจริงจังถึง 6 ปี มีการสร้างรถต้นแบบกว่า 450 คัน และทดลองวิ่งบนสนามทดสอบทั่วโลก ไม่ว่าจะเป็นในสนามแข่งหรือบนถนนปกติ ในทุกสภาพอากาศและสภาพพื้นผิว ซ้ำแล้วซ้ำเล่า ตั้งแต่สหรัฐอเมริกา เยอรมัน เบลเยียม สวีเดน และแคนาดา รวมระยะทางกว่า 4.3 ล้านไมล์ การทดสอบที่ยาวนานและครอบคลุมนี้มีขึ้นเพื่อค้นหาจุดบกพร่องทุกประการ ก่อนที่จะแก้ไขปรับปรุงจนไร้ที่ติ เพื่อตอบโจทย์การสร้างรถหรูที่ดีที่สุดอย่างแท้จริง
ปรัชญา “The Relentless Pursuit of Perfection” หรือการแสวงหาความสมบูรณ์แบบอย่างไม่มีที่สิ้นสุดของเลกซัส ไม่ได้เกิดขึ้นจากโปรเจกต์ F1 เพียงอย่างเดียว แต่แท้จริงแล้วมันคือคุณสมบัติที่ฝังอยู่ในตัวตนของ เออิจิ โตโยดะ มาตั้งแต่แรกเริ่มของการทำงาน ในฐานะคนหนุ่มที่เพิ่งสำเร็จการศึกษาด้านวิศวกรรมเครื่องกลจากมหาวิทยาลัยโตเกียว เออิจิเริ่มต้นทำงานในธุรกิจครอบครัวซึ่งเป็นโรงงานทอผ้า ก่อนที่คิอิจิโร โตโยดะ ญาติของเขาจะบุกเบิกธุรกิจยานยนต์และดึงเขาเข้ามาช่วยดูแล
ด้วยอายุที่ยังน้อยและประสบการณ์ที่จำกัด แต่ต้องเผชิญกับภาระงานที่ต้องรับผิดชอบจำนวนมาก เออิจิจึงทุ่มเทอย่างหนักเพื่อทำความเข้าใจในสิ่งที่เขากำลังสร้างอย่างลึกซึ้งที่สุด “มันยากมากที่ผมจะรับรู้ความต่างหนึ่งในร้อยส่วนของมิลลิเมตร” เออิจิเคยกล่าวถึงช่วงปีแรก ๆ ในการทำงาน เพราะเขาต้องการเข้าใจชิ้นส่วนต่าง ๆ ของรถยนต์ในระดับหน่วยที่เล็กที่สุด แม้จะไม่ใช่เรื่องง่าย แต่เขาก็ตระหนักดีว่าการรับรู้ถึงความแตกต่างเพียงเล็กน้อยเหล่านี้คือสิ่งสำคัญอย่างยิ่งในการสร้างรถยนต์ นี่เองได้กลายมาเป็นมาตรฐานของการพัฒนาและสร้างสรรค์รถยนต์หรูภายใต้แบรนด์เลกซัส ที่สั่นสะเทือนตลาดรถหรูในสหรัฐอเมริกาตั้งแต่ปีแรกที่ออกจำหน่าย ด้วยสมรรถนะ คุณภาพการขับขี่ และบริการหลังการขายชั้นยอด ซึ่งเป็นผลลัพธ์จากการวิจัยและพัฒนาเพื่อแสวงหาความสมบูรณ์แบบที่พวกเขาเชื่อว่าไม่มีวันสิ้นสุด อะไรที่คิดว่าดีแล้ว ยังสามารถมีสิ่งที่ดีกว่าให้พวกเขาต้องก้าวไปหาเสมอ
การถือกำเนิดของเลกซัสเปรียบเสมือนผลงานชิ้นโบว์แดงที่ เออิจิ โตโยดะ ทุ่มเทสุดตัวและฝากไว้ในช่วงท้ายของการทำงาน ก่อนที่เขาจะเกษียณอายุในอีกไม่กี่ปีต่อมา มันคือรอยเท้าแห่งความมุ่งมั่นที่ยิ่งใหญ่ ที่ทำให้หลายคนอดคิดไม่ได้ว่าทายาทรุ่นหลังของโตโยดะจะสามารถก้าวเดินต่อไปได้ถึงจุดไหน
พลิกโฉมความหรูหราสู่ไลฟ์สไตล์พรีเมียมแห่งยุค 2025: วิสัยทัศน์ของ อากิโอะ โตโยดะ
หน้าที่ในการสานต่อตำนานของเลกซัสตกเป็นของ “อากิโอะ โตโยดะ” ทายาทรุ่นที่ 3 ซึ่งมีศักดิ์เป็นหลานของ เออิจิ รอยเท้าขนาดใหญ่ที่เขาต้องก้าวเดินต่อนั้นไม่ง่ายเลย ยิ่ง เออิจิ สร้างมาตรฐานไว้สูงเท่าใด ความกดดันที่ถาโถมมาสู่อากิโอะยิ่งมากเป็นทวีคูณ
แม้เลกซัสจะยังคงรักษาระดับการเป็นรถหรูที่ดีที่สุดได้อย่างไม่ลดหย่อน แต่ในช่วงหนึ่ง แบรนด์ก็ถูกตั้งคำถามเกี่ยวกับดีไซน์และความแปลกใหม่ คำวิจารณ์ที่ว่า “เลกซัสเป็นรถที่ดีแต่ดูน่าเบื่อ” คือสิ่งที่อากิโอะต้องเผชิญในวันที่เขาก้าวเข้ามาสานต่อเลกซัสในยุคหลัง
ในฐานะประธานบริษัท อากิโอะตระหนักดีว่านี่ไม่ใช่สัญญาณที่ดี เขาจึงตัดสินใจเข้ามากุมบังเหียนดูแลแบรนด์เลกซัสด้วยตัวเอง และในการแถลงข่าวเปิดตัว LC 500h ซึ่งเป็นรถยนต์สปอร์ตคูเป้รุ่นใหม่ล่าสุด อากิโอะได้เปิดตัวรถพร้อมกับยืนอ่านคอมเมนต์ด้านลบของเลกซัสให้สื่อมวลชนฟัง แม้คนอื่นอาจมองว่าแปลก แต่สำหรับคนเลกซัสอย่างเขา นี่คือแนวคิดพื้นฐานที่ได้รับช่วงต่อมาจาก เออิจิ นั่นคือการรับฟังทุกความต้องการ เพื่อแสวงหาความสมบูรณ์แบบอย่างไม่สิ้นสุดให้กับลูกค้าเช่นที่เป็นมา
“ผมมุ่งมั่นที่จะทำให้แน่ใจว่า คำว่า ‘น่าเบื่อ’ กับ ‘เลกซัส’ จะไม่อยู่ในประโยคเดียวกันอีกต่อไป” อากิโอะกล่าวด้วยความมุ่งมั่น
นับตั้งแต่ปี 2011 เป็นต้นมา อากิโอะได้นำพาเลกซัสเข้าสู่มิติใหม่ของการออกแบบที่พลิกโฉม ด้วยดีไซน์ที่หวือหวา โฉบเฉี่ยว และสะดุดตา ทว่ายังคงใส่ใจในทุกรายละเอียดและพิถีพิถันในทุกขั้นตอนการผลิต พร้อมทั้งขยายนิยามของเลกซัสให้เป็นมากกว่าแค่รถยนต์ “เราต้องการสร้างแบรนด์เลกซัสให้เป็นมากกว่าแค่รถหรู แต่คือไลฟ์สไตล์” อากิโอะประกาศวิสัยทัศน์ใหม่
ภายใต้การนำของอากิโอะ เลกซัสได้ก้าวไปอีกขั้นด้วยการสร้างยานพาหนะอื่น ๆ อย่างจักรยาน เรือยอชต์ รวมถึง INTERSECT BY LEXUS ซึ่งเป็นพื้นที่ไลฟ์สไตล์ที่รวมคาเฟ่ ร้านอาหาร บาร์ ที่จัดแสดงอีเวนต์ และจำหน่ายสินค้า ที่สะท้อนตัวตนและปรัชญาความเป็นเลกซัสในทุกรายละเอียด หากความละเอียด พิถีพิถัน และใส่ใจคุณภาพแบบทุกตารางนิ้ว คือสิ่งที่ เออิจิ สร้างไว้ให้เป็นมาตรฐานความสมบูรณ์แบบของเลกซัส อากิโอะคือผู้ที่ต่อยอดด้วยการนำสิ่งเหล่านั้นมาถ่ายทอดออกนอกตัวรถ สู่ประสบการณ์ไลฟ์สไตล์ที่คนทั่วไปสามารถสัมผัสได้ ซึ่งสิ่งเหล่านี้ เลกซัสได้เผยให้เห็นอย่างชัดเจนในกิจกรรม Lexus Cultural Experience ที่พาสื่อมวลชนจากทั่วโลกไปสัมผัสเบื้องหลังวิธีคิดและการสร้างรถยนต์ของเลกซัสถึงศูนย์การออกแบบและโรงงานผลิตในประเทศญี่ปุ่น
“อะไรคือสิ่งที่คุณภาคภูมิใจที่สุดเกี่ยวกับการออกแบบของเลกซัส” นักข่าวคนหนึ่งถามอากิโอะในวันที่เขาเปิดตัวเรือยอชต์ ซึ่งเป็นยานพาหนะใหม่ของเลกซัส ที่เป็นหมุดหมายว่า เลกซัสจะเป็นแบรนด์ไลฟ์สไตล์ที่ไม่จำกัดแค่รถยนต์อีกต่อไป “ความสง่างาม” (The gracefulness) อากิโอะตอบ ก่อนจะขยายความว่า แบรนด์หรูหราส่วนใหญ่มักพูดถึงความเหนือระดับ คุณภาพชั้นยอด หรือกระทั่งรถยนต์สมรรถนะสูง “แต่ผมต้องการแน่ใจว่าท่ามกลางสิ่งเหล่านี้ เลกซัสจะต้องมีความสง่างามสำหรับคนที่ได้ขับขี่หรือเห็นยานพาหนะของเรา นั่นคือสิ่งที่ผมยืนยันได้เมื่อพูดถึงเลกซัส”
แต่เขาก็ยังย้ำว่า “ผมไม่ได้บอกว่า ณ จุดนี้ เราบรรลุวัตถุประสงค์ดังกล่าวแล้วอย่างสมบูรณ์” เพราะสิ่งที่จะทำให้เลกซัสบรรลุวัตถุประสงค์นั้น สำหรับอากิโอะคือการพัฒนาและอบรมบุคลากรที่จะมาสร้างสรรค์เลกซัสให้ก้าวไปข้างหน้า และที่สำคัญยิ่งกว่าคือการเปิดรับความคิดเห็นจากผู้คน ชอบอะไร ไม่ชอบอะไร แล้วควรจะพัฒนาให้ดีขึ้นได้อย่างไร “เขามักจะพูดถึงเรื่องนี้เสมอ เราจะต้องทำรถยนต์ที่ดีขึ้นกว่าเดิม” ทาเคชิ อุชิยามาดะ หนึ่งในเจ้าหน้าที่บริหารกล่าวถึงอากิโอะ
แนวคิดนี้เองที่หยั่งรากลึกในแบรนด์เลกซัส ตั้งแต่วันที่โลกยังไม่รู้จักว่าเลกซัสคืออะไร จนกระทั่งวันนี้ที่เลกซัสกลายเป็นแบรนด์รถหรูระดับโลกที่เข้าไปนั่งในใจผู้คนอย่างแท้จริง อันเป็นผลของการแสวงหาความสมบูรณ์แบบอย่างไม่มีที่สิ้นสุด ซึ่งเป็นแนวคิดที่ เออิจิ โตโยดะ ผู้ให้กำเนิดเลกซัสส่งต่อมาถึง อากิโอะ โตโยดะ ผู้บริหารคนปัจจุบัน จนทำให้แบรนด์รถหรูจากญี่ปุ่นอย่างเลกซัสสามารถบุกตลาดสหรัฐอเมริกา และครองใจผู้ใช้รถยนต์หรูหรามาจนถึงวันนี้ และต่อเนื่องไปจนถึงปี 2025 ที่เลกซัสยังคงเป็นผู้นำด้านนวัตกรรมและไลฟ์สไตล์พรีเมียม
ยานยนต์หรูสำหรับผู้บริหารและครอบครัว: สุดยอด MPV แห่งยุค 2025 ที่ตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์
ในยุค 2025 การเดินทางด้วยรถยนต์ไม่ได้เป็นเพียงแค่การขนส่ง แต่คือประสบการณ์ที่สะท้อนถึงรสนิยม ไลฟ์สไตล์ และความต้องการความสะดวกสบายสูงสุด โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มรถตู้ VIP หรือรถยนต์ MPV หรู ที่ได้รับความนิยมอย่างสูงจากผู้บริหาร ดารา และครอบครัวขนาดใหญ่ที่ต้องการพื้นที่กว้างขวาง ความหรูหรา เทคโนโลยีล้ำสมัย และความปลอดภัยสูงสุด รถยนต์ในกลุ่มนี้ได้พัฒนาไปไกลกว่าแค่พาหนะ แต่คือห้องทำงานเคลื่อนที่ ห้องนั่งเล่นส่วนตัว หรือแม้แต่พื้นที่พักผ่อนหย่อนใจที่ครบครัน ซึ่งวันนี้ เราจะมาเจาะลึกสุดยอดยนตรกรรม MPV ระดับพรีเมียมที่กำลังมาแรงและเป็นที่กล่าวถึงในตลาด
Hyundai Staria: ดีไซน์ล้ำอนาคต ความสะดวกสบายเพื่อทุกคน
Hyundai Staria เป็นรถตู้หรูที่ได้รับความสนใจอย่างมากในฐานะรถตู้ครอบครัวและรถตู้ผู้บริหารแห่งปี 2025 โดดเด่นด้วยดีไซน์ที่ล้ำยุค ผสมผสานความทันสมัยเข้ากับฟังก์ชันการใช้งานอย่างลงตัว ไม่เพียงมีที่นั่งมากถึง 11 ที่นั่ง แต่ยังเพียบพร้อมด้วยเทคโนโลยีอัจฉริยะและการออกแบบภายในที่ให้ความสำคัญกับทัศนวิสัยของคนขับและความสะดวกสบายของผู้โดยสารอย่างสูงสุด ด้วยการดีไซน์ Beltline ให้ต่ำและใช้กระจกแบบพาโนรามิก ทำให้ห้องโดยสารรู้สึกโปร่งโล่งและเปิดกว้าง
หัวใจของการขับเคลื่อนคือเครื่องยนต์ดีเซลขนาด 2.2 ลิตร พร้อมระบบระบายความร้อนด้วยอินเตอร์คูลเลอร์และกังหันเทอร์โบชาร์จที่ได้รับการปรับปรุงใหม่ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของแรงบิดในรอบเครื่องยนต์ต่ำ จับคู่กับเกียร์อัตโนมัติ 8 สปีด ให้พละกำลัง 177 แรงม้า และแรงบิด 431 นิวตันเมตร นอกจากนี้ ยังปรับปรุงสมรรถนะการขับขี่ให้ดียิ่งขึ้นด้วยช่วงล่างแบบมัลติ-ลิงก์ด้านหลัง ปรับองศาและระดับของ Shock Absorber เพื่อเพิ่มความนุ่มนวลสูงสุด ระบบความปลอดภัยครบครัน อาทิ ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติแบบรักษาระยะห่าง Smart Cruise Control (SCC), ระบบช่วยเตือนและเบรกอัตโนมัติ Forward Collision Avoidance Assist (FCA), ระบบช่วยเตือนและควบคุมพวงมาลัยเมื่ออยู่ในจุดอับสายตา Blind Spot Collision-Avoidance Assist (BCA), ระบบช่วยควบคุมรถให้อยู่ในเลน (LKA) และกล้องมองภาพรอบทิศทาง 360 องศา พร้อมถุงลมนิรภัย 6 ตำแหน่ง เพื่อความอุ่นใจในการเดินทาง
Toyota Majesty: ความหรูหราที่ตอบโจทย์ผู้บริหาร
Toyota Majesty ยังคงเป็นตัวเลือกอันดับต้น ๆ สำหรับรถตู้หรู VIP และผู้บริหารในปี 2025 ด้วยดีไซน์ที่โดดเด่น หรูหรา และเป็นเอกลักษณ์ รวมถึงความสะดวกสบายในการโดยสารที่ได้รับการออกแบบมาอย่างพิถีพิถันเพื่อตอบสนองความคาดหวังของรถตู้ระดับพรีเมียม เบาะนั่งแบบ Captain seats และ Big seats มอบความรู้สึกโอ่อ่าเป็นส่วนตัว พร้อมระบบความปลอดภัยที่ได้มาตรฐานและได้รับการพัฒนาล่าสุด
จุดเด่นคือการออกแบบเครื่องยนต์วางหน้า (Semi-Bonnet) ที่ช่วยลดเสียงรบกวนภายในห้องโดยสารได้อย่างยอดเยี่ยม พร้อมการปรับเซ็ตระบบช่วงล่างใหม่ที่ช่วยซับแรงสั่นสะเทือน มอบความนุ่มสบายตลอดการเดินทาง Toyota Majesty ยังสร้างความตื่นตาตื่นใจด้วยการเป็นรถตู้หรูรุ่นแรกและรุ่นเดียวในประเทศไทยที่ได้รับการรับรองมาตรฐานความปลอดภัยระดับ 5 ดาว จาก ASEAN NCAP (ปี 2560 – 2563) มั่นใจได้ในความปลอดภัยสูงสุด
ขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์ดีเซล GD 2.8 ลิตร รองรับน้ำมันดีเซล B20 ให้พละกำลัง 163 แรงม้า และแรงบิดสูงสุด 420 นิวตัน-เมตร พร้อม 11 ที่นั่ง ระบบความปลอดภัยครบครัน เช่น ระบบควบคุมการทรงตัว VSC, ระบบป้องกันล้อล็อก ABS, ระบบช่วยเตือนมุมอับสายตา (Blind Spot Monitor), กล้องมองรอบคัน (Panoramic View Monitor), ระบบความปลอดภัยก่อนการชน (Pre-Collision System) และถุงลมเสริมความปลอดภัย 9 ตำแหน่ง นอกจากนี้ ยังมีระบบ T-CONNECT TELEMATICS ที่เพิ่มความสะดวกสบายในการใช้ชีวิต ไม่ว่าจะเป็น GEO-FENCING, FIND MY CAR, SOS EMERGENCY SERVICE และ MY TOYOTA WI-FI ให้การเชื่อมต่อความบันเทิงตลอดการเดินทาง
Toyota Alphard / Vellfire: ไอคอนแห่งรถตู้ VIP ขวัญใจดาราและผู้บริหาร
ในปัจจุบันนี้ Toyota Alphard และ Vellfire ยังคงเป็นรถตู้ VIP ที่ได้รับความนิยมสูงสุด และเป็นเสมือนสัญลักษณ์ของรถตู้ครอบครัว รถตู้ผู้บริหาร และรถตู้ขวัญใจดารา ด้วยรูปลักษณ์ที่สง่างาม โดดเด่น และดูแพง แม้จะมีราคาที่สูงกว่า แต่ความหรูหราและฟังก์ชันการใช้งานที่ครบครันก็ทำให้เป็นที่ปรารถนา
ภายในห้องโดยสาร 7 ที่นั่งของ Alphard / Vellfire เพียบพร้อมไปด้วยเทคโนโลยีที่ทันสมัยและสิ่งอำนวยความสะดวกมากมาย เช่น ที่ชาร์จไฟแบบ Wireless Charger, ไฟอ่านหนังสือบริเวณเบาะนั่งแถวหลังแถวที่ 1, เบาะนั่งแบบ Seat Ventilator & Heater บริเวณเบาะนั่งคู่หน้าพร้อมระบบนวดหลังไฟฟ้า Air Lumba Pro และกล่องรับสัญญาณทีวีดิจิทัล มอบประสบการณ์การเดินทางที่เหนือระดับอย่างแท้จริง
มีเครื่องยนต์ให้เลือกหลากหลาย ทั้งเครื่องยนต์เบนซิน 2.5 ลิตร + ไฮบริด และเครื่องยนต์เบนซิน 3.5 ลิตร VIP ที่ให้พละกำลังและความนุ่มนวลในการขับขี่ที่แตกต่างกันไป ระบบความปลอดภัยก็จัดเต็มเช่นกัน อาทิ ระบบความปลอดภัยก่อนการชน (Pre-Collision System), ระบบเตือนเมื่อออกนอกเลนพร้อมพวงมาลัยหน่วงกลับอัตโนมัติ (Lane Departure Alert), ระบบควบคุมและปรับลดความเร็วอัตโนมัติ (Dynamic Radar Cruise Control), ระบบช่วยควบคุมให้รถอยู่กลางเลน (Lane Tracing Assist), กล้องมองรอบคัน (Panoramic View Monitor) และกล้องวิดีโอบันทึกภาพติดรถยนต์ (Digital Video Recorder) พร้อมระบบ T-CONNECT TELEMATICS ที่ครอบคลุมทุกการใช้งานตั้งแต่การค้นหาตำแหน่งรถจนถึงบริการผู้ช่วยส่วนตัว OPS ตลอด 24 ชั่วโมง
Lexus LM300h: สุนทรียะแห่งความหรูหราขั้นสูงสุดในแบบ MPV
Lexus LM300h คือนิยามใหม่ของ Luxury MPV ที่ถูกยกให้เป็นรถตู้ผู้บริหารอย่างแท้จริงในปี 2025 โดดเด่นด้วยกระจังหน้าขนาดใหญ่ที่ประกาศถึงการมาถึงของผู้ทรงอิทธิพล ดีไซน์ที่เหนือชั้นและแตกต่าง พร้อมมูนรูฟทั้ง 2 บานที่ช่วยเปิดรับแสงและเพิ่มความโปร่งโล่งให้ห้องโดยสาร
สิ่งที่ทำให้ Lexus LM300h ก้าวสู่จุดสูงสุดคือการเน้นความสะดวกสบายและความเป็นส่วนตัวเป็นพิเศษ โดยเฉพาะรุ่น Executive 4 ที่นั่ง ที่มาพร้อมระบบเบาะนวดบริเวณต้นขา หลัง และไหล่ ซึ่งใช้วัสดุเสริมความนุ่มของเบาะที่รองรับแรงกระแทกได้อย่างดีเยี่ยม พร้อมระบบระบายอากาศและทำความร้อน และระบบเลื่อนเบาะอัตโนมัติ ภายในห้องโดยสารติดตั้งหน้าจอความละเอียดสูงขนาด 26 นิ้ว บริเวณผนังกั้นกลาง เพิ่มความเป็นส่วนตัวและสุนทรียภาพในการรับชมความบันเทิง ระบบเครื่องเสียงพรีเมียมรอบทิศทางจาก Mark Levinson และช่องเชื่อมต่อหลากหลายชนิด ให้คุณเพลิดเพลินกับดนตรี ภาพยนตร์ หรือสื่ออื่น ๆ ได้อย่างเต็มที่ และที่ขาดไม่ได้คือตู้แช่เครื่องดื่มขนาด 14 ลิตรที่บริเวณด้านล่างของผนังกั้น มอบความรู้สึกเหมือนกำลังพักผ่อนอยู่ในบ้านอันแสนสบาย
ขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์เบนซิน 2.5 ลิตร ผสานการทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้าแบบ Hybrid ให้พละกำลังรวมที่ทรงประสิทธิภาพและนุ่มนวล พร้อมระบบความปลอดภัยระดับสูงสุด ทั้งระบบป้องกันก่อนการชน, ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติแบบแปรผัน, ระบบติดตามช่องทางวิ่ง, ระบบช่วยเปลี่ยนเลนพร้อมสัญญาณเตือนมุมอับสายตา และถุงลมนิรภัย SRS ครบครันในทุกตำแหน่ง
Mercedes-Benz V-Class: ความอเนกประสงค์ที่มาพร้อมความหรูหราแบบฉบับเบนซ์
Mercedes-Benz V-Class เป็นรถตู้ที่สามารถตอบโจทย์ได้หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นรถตู้ครอบครัว รถตู้สำหรับติดต่อธุรกิจ หรือแม้แต่รถตู้เพื่อการผจญภัย ด้วยระบบขับขี่อัจฉริยะ Mercedes-Benz Intelligent Drive ที่ทำให้ผู้โดยสารมั่นใจได้ว่าจะถึงที่หมายได้อย่างปลอดภัยและสะดวกสบายสูงสุด สมกับเป็นแบรนด์หรูระดับโลก
ที่นั่งตอนหน้าสามารถปรับไฟฟ้าพร้อมตั้งค่าหน่วยความจำได้ถึง 3 ตำแหน่ง ส่วนที่นั่งของผู้โดยสารตอนหลังแถวที่ 1 เป็น Luxury Captain Seat แยกซ้าย-ขวา ปรับด้วยไฟฟ้าและหน่วยความจำ 2 ตำแหน่ง และยังมีระบบนวดหลัง ระบบระบายอากาศ และระบบควบคุมอุณหภูมิอัตโนมัติแบบแยกโซน มอบความสบายขั้นสูงสุดตลอดการเดินทาง
ขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์ดีเซลขนาด 1,950 ซีซี ให้พละกำลัง 190 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 440 นิวตันเมตร ระบบความปลอดภัยครบถ้วนตามมาตรฐานและขั้นสูง สมคำร่ำลือของการเป็นรถเบนซ์ที่เน้นเรื่องคุณภาพและดีไซน์เป็นที่หนึ่ง อาทิ ถุงลมนิรภัยสำหรับคนขับและผู้โดยสารตอนหน้า ด้านข้างและม่านถุงลมนิรภัย, ระบบช่วยเตือนอาการเหนื่อยล้าขณะขับขี่ (Attention Assist), ระบบช่วยเบรกแบบแอคทีฟ (Active Brake Assist), โปรแกรมควบคุมการทรงตัวอัตโนมัติ ADAPTIVE ESP®, ระบบรักษาการทรงตัวกรณีมีลมขวางปะทะตัวรถด้านข้าง (Crosswind Assist) และกล้องแสดงภาพแบบรอบทิศทาง (360º Camera)
Volkswagen Caravelle T6 Touring: ห้องโดยสารกว้างขวาง อากาศบริสุทธิ์เพื่อสุขภาพ
Volkswagen Caravelle T6 Touring คือ Luxury Van อีกรุ่นที่น่าสนใจสำหรับปี 2025 โดดเด่นด้วยการดีไซน์ห้องโดยสารที่พิถีพิถัน และมีพื้นที่ห้องโดยสารกว้างขวางที่สุดในกลุ่ม ให้ความรู้สึกโปร่งสบายและไม่อึดอัด
พร้อมความสะดวกสบายและครบครันด้วยเทคโนโลยี และที่สำคัญคือการติดตั้งนวัตกรรมเครื่องฟอกอากาศระดับ Hospital Grade เพื่อมอบอากาศสะอาดบริสุทธิ์และความปลอดภัยด้านสุขอนามัยตลอดการเดินทาง ซึ่งเป็นคุณสมบัติที่สำคัญอย่างยิ่งในยุคปัจจุบัน นวัตกรรมนี้ได้รับการทดสอบและรับรองจากสถาบันและองค์กรทางด้านวิทยาศาสตร์ระดับนานาชาติจากหลากหลายประเทศทั่วโลก สร้างความมั่นใจในคุณภาพอากาศภายในห้องโดยสาร
เบาะนั่งใช้หนังแท้ Dakota หรือ Nappa คุณภาพสูงมาตรฐานเดียวกับโรงงานผู้ผลิตรถยนต์ชั้นนำของโลก รูปทรงของเบาะ VIP Seat ถูกออกแบบมาให้รองรับสรีระของคนเอเชียเป็นพิเศษ พร้อมควบคุมการทำงานต่าง ๆ ด้วยระบบไฟฟ้าที่ทันสมัยและใช้งานสะดวกสบายสูงสุด ขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์ดีเซล 4 สูบ Commonrail ขนาด 2.0 ลิตร เทอร์โบคู่ ให้พละกำลัง 180 แรงม้า แรงบิด 400 นิวตันเมตร พร้อม 8 ที่นั่ง มอบการเดินทางที่เหนือระดับทั้งความสบายและสุขภาพที่ดี
KIA Carnival: MPV อเนกประสงค์ ดีไซน์สไตล์ SUV ที่ตอบโจทย์ทุกความต้องการ
KIA Carnival จัดเป็นรถตู้อเนกประสงค์ MPV ที่มีรูปลักษณ์ไม่เหมือนใคร ด้วยดีไซน์ภายนอกที่คล้ายรถ PPV หรือ SUV แต่มาพร้อมประตูสไลด์ไฟฟ้าอัตโนมัติ เพียงแค่ยืนใกล้กับประตูรถพร้อมกุญแจ Smart Key ประตูก็เปิดให้ทันที ภายในได้รับการดีไซน์เหมือนรถตู้ผู้บริหารหรือรถตู้ที่ดาราชื่นชอบ ทำให้ได้รถสองคันในคันเดียว ทั้งความบึกบึนภายนอกและความหรูหราภายใน ทำให้ KIA Carnival ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในตลาด MPV หรูแห่งปี 2025
เกีย คาร์นิวัล มาพร้อมกับโหมดการขับขี่ที่หลากหลาย ทั้งแบบ Normal, Sport, Eco และ Smart ตอบสนองทุกสไตล์การขับขี่ นอกจากนี้ยังมาพร้อมอุปกรณ์อำนวยความสะดวกมากมาย และระบบความปลอดภัยแบบเต็มพิกัด ขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์ Smartstream Diesel 2.2 ให้พละกำลัง 202 แรงม้า แรงบิด 45 กิโลกรัม-เมตร พร้อม 11 ที่นั่ง มอบทั้งสมรรถนะและความประหยัด
ระบบความปลอดภัยของ KIA Carnival นั้นล้ำสมัย อาทิ ระบบป้องกันการชนและช่วยหยุดรถอัตโนมัติ (FCA-JT), ระบบช่วยเตือนเมื่อรถออกนอกเลนพร้อมดึงพวงมาลัยกลับอัตโนมัติ (Lane Keeping Assist), ระบบควบคุมรถให้อยู่กึ่งกลางเลน (Lane Following Assist – LFA), ระบบตรวจจับรถในมุมอับสายตา (Blind Spot Collision-Avoidance Assist – BCA), ระบบช่วยหยุดรถอัตโนมัติพร้อมสัญญาณเตือนเมื่อมีรถกำลังวิ่งมาทางด้านหลังขณะถอยหลัง (Rear Cross-Traffic Collision-Avoidance Assist – RCCA), ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติแบบรักษาระยะห่าง (Smart Cruise Control – SCC) และหน้าจอขนาด 12.3 นิ้วที่แสดงผลจากกล้องรอบคัน (Surround View Monitor – SVM) เพื่อการขับขี่ที่มั่นใจในทุกสถานการณ์
บทสรุป: เมื่อความสมบูรณ์แบบไม่เคยหยุดนิ่ง
จากจุดเริ่มต้นของ เออิจิ โตโยดะ ผู้ที่กล้าฝันถึง “รถยนต์ที่ดีที่สุดในโลก” สู่การสานต่อวิสัยทัศน์ของ อากิโอะ โตโยดะ ที่ขยายขอบเขตของความหรูหราให้เป็นมากกว่าแค่รถยนต์ แต่คือวิถีชีวิต นี่คือเครื่องพิสูจน์ว่าปรัชญาแห่ง “การแสวงหาความสมบูรณ์แบบอย่างไม่มีที่สิ้นสุด” คือหัวใจสำคัญที่ขับเคลื่อนแบรนด์ระดับโลกให้ก้าวไปข้างหน้าอย่างไม่หยุดยั้ง
ในโลกของปี 2025 ที่เทคโนโลยีและไลฟ์สไตล์เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ยนตรกรรมหรูต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นรถซีดาน รถ SUV หรือแม้แต่รถตู้ VIP ล้วนต้องปรับตัวเพื่อตอบสนองความต้องการที่ซับซ้อนของผู้บริโภคที่มองหามากกว่าแค่การเดินทาง พวกเขาต้องการประสบการณ์ที่สมบูรณ์แบบ ที่ผสมผสานความสะดวกสบาย ความปลอดภัย นวัตกรรม และความรู้สึกพิเศษที่ไม่สามารถหาได้จากที่อื่น
แบรนด์รถหรูในปัจจุบันจึงไม่เพียงแต่ต้องสร้างรถยนต์ที่มีคุณภาพเยี่ยมยอด แต่ยังต้องสร้างความเชื่อมโยงทางอารมณ์ และเป็นส่วนหนึ่งของไลฟ์สไตล์ที่เหนือระดับ การรับฟังความคิดเห็น การปรับปรุงอย่างต่อเนื่อง และการกล้าที่จะก้าวออกจากกรอบเดิม ๆ คือกุญแจสำคัญที่ทำให้แบรนด์เหล่านี้ยังคงสามารถครองใจผู้บริโภค และกำหนดทิศทางของตลาดรถหรูในอนาคตได้อย่างมั่นคง และนั่นคือเหตุผลว่าทำไมการแสวงหาความสมบูรณ์แบบจึงไม่มีวันสิ้นสุด ตราบใดที่ยังมีผู้คนที่ปรารถนาประสบการณ์ที่เหนือกว่าอย่างแท้จริง

