รถยนต์ EREV: นวัตกรรมแห่งอนาคตที่กำลังจะมาเขย่าตลาดไทย
ในฐานะผู้คร่ำหวอดในอุตสาหกรรมยานยนต์มากว่าทศวรรษ ผมได้เห็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา การก้าวเข้าสู่ยุคแห่งยานยนต์ไฟฟ้า (EV) ไม่ใช่เพียงแค่กระแส แต่เป็นคลื่นที่กำลังเปลี่ยนโฉมหน้าอุตสาหกรรมยานยนต์ทั่วโลก และในปี 2025 นี้ ผมเชื่อมั่นว่าเราจะได้เห็นปรากฏการณ์ใหม่ที่น่าจับตามอง นั่นคือการเข้ามาของ รถยนต์ EREV (Extended-Range Electric Vehicle) หรือที่บางครั้งเรียกว่า REEV (Range-Extended Electric Vehicle) ซึ่งกำลังจะเข้ามาตอบโจทย์ความต้องการที่หลากหลายของผู้บริโภคชาวไทยได้อย่างน่าประทับใจ
ทำความเข้าใจแก่นแท้ของ EREV: ทางออกที่ผสมผสานความเป็นที่สุด
ก่อนอื่น เรามาทำความเข้าใจหลักการทำงานของรถยนต์ EREV ให้กระจ่างแจ้งเสียก่อนครับ โดยพื้นฐานแล้ว รถยนต์ EREV คือรถยนต์ที่ใช้พลังงานไฟฟ้า 100% ในการขับเคลื่อนหลักผ่านมอเตอร์ไฟฟ้าเช่นเดียวกับรถยนต์ไฟฟ้าแบตเตอรี่ (BEV) ทั่วไป แต่สิ่งที่ทำให้ EREV แตกต่างและโดดเด่นอย่างมีนัยสำคัญคือการมีเครื่องยนต์สันดาปภายในเข้ามาเสริมในบทบาทที่พิเศษยิ่งกว่า
เครื่องยนต์สันดาปภายในใน รถยนต์ EREV จะไม่ทำหน้าที่ส่งกำลังไปขับเคลื่อนล้อโดยตรง แต่จะทำหน้าที่เป็น “เครื่องปั่นไฟ” เพียงอย่างเดียว เพื่อผลิตกระแสไฟฟ้ามาป้อนให้กับแบตเตอรี่ หรือส่งตรงไปยังมอเตอร์ขับเคลื่อนในกรณีที่แบตเตอรี่มีพลังงานไม่เพียงพอ ซึ่งนี่คือจุดสำคัญที่แตกต่างอย่างชัดเจนจากรถยนต์ Plug-in Hybrid (PHEV) ที่เครื่องยนต์สามารถขับเคลื่อนล้อได้โดยตรง หรือทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้าในลักษณะขนาน (Parallel) ได้
การทำงานลักษณะนี้ทำให้ EREV มอบประสบการณ์การขับขี่ที่ใกล้เคียงกับ BEV อย่างสมบูรณ์แบบ ด้วยความเงียบ นุ่มนวล และอัตราเร่งที่ทันใจจากการใช้มอเตอร์ไฟฟ้าขับเคลื่อนเป็นหลัก แต่ที่เหนือกว่านั้นคือ การมีเครื่องยนต์สันดาปภายในเป็น “แหล่งพลังงานสำรอง” ที่ไร้ขีดจำกัด ทำให้ผู้ขับขี่สามารถเติมน้ำมันเชื้อเพลิงได้ตามปกติ เมื่อแบตเตอรี่ใกล้หมด หรือต้องการเดินทางไกล ความกังวลเรื่อง “ระยะทางวิ่ง” หรือ Range Anxiety ที่เป็นอุปสรรคสำคัญสำหรับผู้ใช้ BEV จะหมดไป
ลองนึกภาพตามนะครับ คุณสามารถขับรถยนต์ EREV ด้วยพลังงานไฟฟ้าล้วนได้ในชีวิตประจำวัน เดินทางไปทำงาน ช้อปปิ้ง หรือทำกิจกรรมต่างๆ ในเมือง โดยไม่ต้องกังวลเรื่องการหาที่ชาร์จ เมื่อต้องการเดินทางไกลข้ามจังหวัดเพียงเติมน้ำมันตามสถานีบริการทั่วไป เครื่องยนต์ก็จะทำหน้าที่ผลิตไฟฟ้าเพื่อชาร์จแบตเตอรี่และให้พลังงานแก่รถได้อย่างต่อเนื่อง หลายรุ่นในตลาดปัจจุบันเคลมระยะทางวิ่งด้วยไฟฟ้าล้วนได้สูงถึง 200-300 กิโลเมตร และเมื่อรวมระยะทางที่วิ่งได้ด้วยน้ำมันและไฟฟ้า สามารถทำได้ไกลกว่า 1,000 กิโลเมตรต่อการเติมหนึ่งครั้ง นี่คือความอเนกประสงค์ที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ที่หลากหลายอย่างแท้จริง
การมาถึงของ EREV ในประเทศไทย: รุ่นเด่นที่น่าจับตามอง
ปี 2025 กำลังจะกลายเป็นปีที่น่าตื่นเต้นสำหรับตลาดรถยนต์ไทย ด้วยข่าวคราวที่หนาหูเกี่ยวกับการเข้ามาของ รถยนต์ EREV รุ่นใหม่ๆ จากค่ายรถชั้นนำ โดยเฉพาะจากประเทศจีนที่กำลังรุกคืบอย่างหนัก เราได้เห็นสัญญาณที่ชัดเจนจากผู้ผลิตหลายรายที่เตรียมส่งรถยนต์ EREV เข้ามาทำตลาด และนี่คือบางรุ่นที่ผมเชื่อว่าจะสร้างความฮือฮาอย่างแน่นอน:
Deepal S05 EREV: แบรนด์ภายใต้ Changan Auto ที่กำลังได้รับความสนใจอย่างสูง Deepal S05 EREV คาดว่าจะเป็น SUV ที่ผสมผสานดีไซน์ที่ทันสมัยเข้ากับเทคโนโลยี EREV ได้อย่างลงตัว มอบสมรรถนะและความอเนกประสงค์ที่น่าจับตามอง
Avatr 07 EREV: Changan Auto ร่วมมือกับ Huawei และ CATL ในการพัฒนารถยนต์ไฟฟ้าสุดล้ำ Avatr 07 EREV คาดว่าจะมาพร้อมดีไซน์อันโดดเด่น เทคโนโลยีอัจฉริยะ และระบบ EREV ที่มอบประสบการณ์การขับขี่ที่เหนือระดับ
Changan Hunter EREV: สำหรับตลาดปิกอัพที่ได้รับความนิยมในไทย Changan Hunter EREV คือตัวเลือกที่น่าสนใจอย่างยิ่ง เป็นปิกอัพที่ขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ไฟฟ้าเป็นหลัก แต่มีเครื่องยนต์ช่วยผลิตไฟฟ้า ทำให้สามารถวิ่งได้ไกลกว่า 1,000 กิโลเมตรต่อการเติมน้ำมันหนึ่งถัง เป็นการผสมผสานที่ลงตัวสำหรับผู้ที่ต้องการทั้งสมรรถนะการบรรทุกและความยั่งยืน
นอกจากนี้ ยังมีรถยนต์ EREV รุ่นอื่นๆ ที่น่าสนใจ เช่น Avatr 12, Mazda EZ-6 EREV, ตระกูล Li L (L6, L7, L8, L9), NETA L EREV, และ Leapmotor C10 EREV ที่ล้วนมีศักยภาพในการเข้ามาสร้างสีสันและความตื่นเต้นให้กับตลาดรถยนต์ไทยในปีนี้
ทำไม EREV ถึงน่าสนใจ? ไขข้อสงสัยสำหรับผู้บริโภคยุคใหม่
ในยุคที่ผู้บริโภคมีความต้องการที่ซับซ้อนและหลากหลายมากขึ้น รถยนต์ EREV ถือเป็นคำตอบที่ตอบโจทย์ได้หลายมิติ:
หมดกังวลเรื่องระยะทางวิ่ง (Range Anxiety): นี่คือจุดแข็งที่สุดของ EREV ผู้ขับขี่สามารถเดินทางได้อย่างอิสระ ไม่ต้องวางแผนการเดินทางล่วงหน้าเพื่อหาจุดชาร์จ และไม่ต้องกังวลว่าแบตเตอรี่จะหมดกลางทาง
ประสบการณ์ขับขี่แบบรถยนต์ไฟฟ้า 100%: คุณจะได้รับความเงียบ นุ่มนวล และอัตราเร่งที่ทันใจจากการขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ไฟฟ้า ซึ่งเป็นประสบการณ์ที่แตกต่างจากรถยนต์สันดาปทั่วไปอย่างสิ้นเชิง
ประหยัดพลังงานและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม: การใช้พลังงานไฟฟ้าเป็นหลักในชีวิตประจำวันช่วยลดการปล่อยมลพิษทางอากาศและลดการพึ่งพาเชื้อเพลิงฟอสซิล แม้จะมีเครื่องยนต์สันดาปภายใน แต่ก็ถูกใช้งานอย่างมีประสิทธิภาพสูงสุดเพื่อการผลิตไฟฟ้าเท่านั้น
ความยืดหยุ่นในการใช้งาน: สามารถชาร์จไฟฟ้าจากบ้านหรือสถานีชาร์จเพื่อใช้งานในชีวิตประจำวัน และสามารถเติมน้ำมันเพื่อเดินทางไกลได้อย่างไร้กังวล นี่คือความลงตัวที่ไม่มีรถยนต์ประเภทอื่นมอบให้ได้
การเลือกประเภทรถยนต์ให้เหมาะกับไลฟ์สไตล์: HEV, PHEV, EREV, BEV
เพื่อช่วยให้คุณตัดสินใจได้ง่ายขึ้น ผมขอสรุปความเหมาะสมของรถยนต์แต่ละประเภทกับไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภค:
HEV (Hybrid Electric Vehicle): เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการประหยัดน้ำมันกว่ารถยนต์สันดาปทั่วไป แต่ไม่ต้องการยุ่งยากกับการเสียบปลั๊กชาร์จไฟ
PHEV (Plug-in Hybrid Electric Vehicle): เหมาะสำหรับผู้ที่ใช้งานในเมืองเป็นหลัก สามารถวิ่งด้วยไฟฟ้าล้วนในชีวิตประจำวัน และยังมีความยืดหยุ่นในการเดินทางไกลด้วยเครื่องยนต์สันดาป
EREV (Extended-Range Electric Vehicle): คือตัวเลือกที่สมบูรณ์แบบสำหรับผู้ที่ต้องการสัมผัสประสบการณ์การขับขี่แบบรถยนต์ไฟฟ้า 100% แต่ยังคงต้องการความสบายใจในการเดินทางไกลโดยไม่ต้องกังวลเรื่องระยะทางวิ่ง EREV เหมาะกับแบตเตอรี่ขนาดใหญ่ที่รองรับการชาร์จเร็ว และสามารถเติมน้ำมันได้
BEV (Battery Electric Vehicle): เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการขับเคลื่อนและใช้ชีวิตด้วยพลังงานไฟฟ้า 100% เต็มรูปแบบ มีจุดชาร์จที่สะดวก และใช้รถในระยะทางที่ครอบคลุม
แนวโน้มตลาดรถยนต์ปี 2025: ความท้าทายและโอกาส
ปี 2025 เป็นปีที่เต็มไปด้วยความท้าทายและโอกาสสำหรับอุตสาหกรรมยานยนต์ทั่วโลก เศรษฐกิจโลกที่ยังคงมีความผันผวนส่งผลกระทบต่อแผนการเปิดตัวรถยนต์รุ่นใหม่ของผู้ผลิตหลายราย ทำให้บางรุ่นอาจมีการเลื่อนกำหนดการออกไป อย่างไรก็ตาม ในส่วนของตลาดรถยนต์ในประเทศไทย เรายังคงเห็นการแข่งขันที่เข้มข้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากผู้ผลิตชาวจีนที่นำเสนอเทคโนโลยีที่ก้าวล้ำและราคาที่น่าสนใจ
การที่แม้แต่แบรนด์ใหญ่อย่าง BYD ยังคงนำเสนอรถยนต์ปลั๊กอินไฮบริด (PHEV) ออกมาทำตลาดควบคู่กับรถยนต์ไฟฟ้าแบตเตอรี่ (BEV) สะท้อนให้เห็นว่าตลาดยังมีความต้องการที่หลากหลาย และ EREV ก็เข้ามาเติมเต็มช่องว่างนี้ได้อย่างสมบูรณ์แบบ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับผู้ที่ต้องเดินทางข้ามจังหวัดบ่อยครั้ง
การเปลี่ยนแปลงที่กำลังจะมาถึง: นวัตกรรมจากแบรนด์ชั้นนำ
นอกเหนือจาก EREV แล้ว ตลาดรถยนต์ในปี 2025 จะเต็มไปด้วยนวัตกรรมจากแบรนด์ต่างๆ ที่น่าจับตา:
Audi RS5 Avant: มาพร้อมขุมพลัง Plug-in Hybrid V6 Twin-turbo ผสานมอเตอร์ไฟฟ้า ให้กำลัง 530 แรงม้า ตอกย้ำความเป็นซูเปอร์วากอนที่ทรงพลัง
BMW Neue Klasse: แพลตฟอร์มใหม่สำหรับรถยนต์ไฟฟ้าของ BMW ที่มุ่งหวังการเป็นผู้นำด้านระยะทางวิ่งที่ยาวนานและสมรรถนะการขับขี่ที่เหนือกว่าคู่แข่ง
Ferrari EV: การมาถึงของ Ferrari ในรูปแบบรถยนต์ไฟฟ้าเต็มตัว ถือเป็นปรากฏการณ์ที่น่าจับตา แฟนๆ ทั่วโลกรอคอยว่า Ferrari จะนำเสนอ EV ในรูปแบบใด
Honda 0 Series Saloon: Honda กำลังเร่งเครื่องเพื่อทวงคืนส่วนแบ่งตลาด EV ด้วยดีไซน์ที่ล้ำสมัยและสมรรถนะที่ได้รับการปรับปรุง
Jaguar EV GT: Jaguar กำลังก้าวเข้าสู่ยุคใหม่ของรถยนต์ไฟฟ้าเต็มตัว โดยมุ่งเน้นดีไซน์ที่สง่างามและประสบการณ์การขับขี่ที่หรูหรา
Lexus LFR: ซูเปอร์คาร์รุ่นใหม่ที่สานต่อตำนาน LFA มาพร้อมขุมพลัง V8 Twin-turbo ที่พร้อมสำหรับสนามแข่งและลูกค้าผู้มั่งคั่ง
Mercedes AMG 4dr EV: รถยนต์ไฟฟ้าไฮเปอร์ซาลูนที่คาดว่าจะมีกำลังสูงถึง 1,000 แรงม้า วิ่งได้ไกลเกือบ 800 กิโลเมตร
Porsche 718 Boxster EV: การเปลี่ยนผ่านสู่ยุคไฟฟ้าของรถสปอร์ตยอดนิยม ที่ยังคงรักษาเอกลักษณ์การขับขี่ที่เร้าใจ
BMW M2 CS: รุ่นสมรรถนะสูงที่มาพร้อมขุมพลัง 6 สูบ เทอร์โบ และการปรับปรุงช่วงล่างและระบบเบรกเพื่อความเร้าใจในการขับขี่
Toyota FJ Cruiser (Concept): รถออฟโรดดีไซน์สุดคลาสสิกที่อาจจะกลับมาในรูปแบบใหม่ พร้อมขุมพลังไฮบริด
Mini John Cooper Works (EV): การผสมผสานระหว่างดีไซน์อันเป็นเอกลักษณ์ของ Mini กับสมรรถนะอันเร้าใจของ JCW ในรูปแบบรถยนต์ไฟฟ้า
Toyota Century Coupé Concept: การยกระดับแบรนด์ Century สู่ระดับ Ultra-Luxury เพื่อท้าชน Rolls-Royce และ Bentley
BMW Group ประเทศไทย: ผู้นำตลาดพรีเมียม พร้อมยกระดับประสบการณ์ลูกค้า
ในส่วนของตลาดพรีเมียม BMW Group ประเทศไทย ยังคงตอกย้ำความเป็นผู้นำด้วยการเปิดตัวรถยนต์และมอเตอร์ไซค์รุ่นใหม่ถึง 9 รุ่นในช่วงต้นปี 2568 พร้อมกับการยกระดับบริการทางการเงินด้วยเทคโนโลยีดิจิทัลและ AI การรักษาตำแหน่งผู้นำตลาดพรีเมียมมาอย่างต่อเนื่อง 5 ปีซ้อน สะท้อนให้เห็นถึงความแข็งแกร่งของแบรนด์และการตอบรับที่ดีจากผู้บริโภคชาวไทย
BMW Group ประเทศไทย ได้พิสูจน์ตัวเองอีกครั้งในปี 2567 ด้วยยอดส่งมอบรถยนต์รวม 13,659 คัน ครองส่วนแบ่งตลาด 45% ในกลุ่มรถยนต์พรีเมียม และการเติบโตอย่างน่าประทับใจของยอดขายรถยนต์ไฟฟ้า โดยส่วนแบ่งตลาดรถยนต์ไฟฟ้าระดับพรีเมียมของ BMW พุ่งขึ้นเป็น 22.6%
“เราได้ก้าวเข้าสู่ปี 2568 อย่างเต็มตัว ด้วยความมุ่งมั่นที่แรงกล้ายิ่งขึ้นในการยกระดับทั้งนวัตกรรมการขับขี่และความพึงพอใจของลูกค้า” มร. เรเน่ แกร์ฮาร์ด ประธานและซีอีโอ บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทย กล่าว “ในปีที่ผ่านมา รถยนต์พลังงานไฟฟ้าและรุ่นสมรรถนะสูงของเราได้รับการต้อนรับอย่างอบอุ่นในตลาด เราจึงพร้อมสนองความต้องการของลูกค้าทันทีด้วยทัพรถยนต์ใหม่จากตระกูล M และ M Performance”
การปรับปรุงแนวคิด ‘Retail Next’ ในโชว์รูมและศูนย์บริการทั่วประเทศ รวมถึงการกลับมาประกอบ MINI Countryman ในประเทศไทย สะท้อนถึงความมุ่งมั่นในการมอบประสบการณ์ที่ดีที่สุดให้กับลูกค้า
รถยนต์ Coupe 2 ประตู: นิยามใหม่ของความสปอร์ตและความหรูหรา
นอกเหนือจากเทรนด์รถยนต์ไฟฟ้าแล้ว รถยนต์ Coupe 2 ประตู ยังคงเป็นที่ต้องการของผู้ที่ชื่นชอบดีไซน์สปอร์ตและสมรรถนะที่เร้าใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในตลาดรถยนต์มือสองที่ยังคงมีรุ่นคลาสสิกดีไซน์อมตะที่น่าจับตามองในปี 2025:
Mercedes-Benz C-Class Coupé: โดดเด่นด้วยดีไซน์โค้งมน ทันสมัย ออปชันครบครัน และช่วงล่างที่กระชับ
BMW 4 Series Coupé: เสน่ห์ความหล่อ ความเท่ ดุดัน และสมรรถนะที่ไม่เป็นรองใคร
Audi TT: สวยงาม ระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ ความแรงที่ขับสนุก ในราคาที่เข้าถึงได้
Ford Mustang: รถสปอร์ตในตำนาน การันตีด้วยยอดขายทั่วโลก ดีไซน์ดุดันและสมรรถนะอันเป็นเอกลักษณ์
Mini Cooper: รถ Coupe ขนาดกะทัดรัด ขับสนุก คล่องตัว เหมาะสำหรับผู้ที่ชื่นชอบความน่ารักแต่แฝงด้วยสมรรถนะ
บทสรุป: การเดินทางสู่อนาคตแห่งยานยนต์
ปี 2025 ถือเป็นปีแห่งการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญในอุตสาหกรรมยานยนต์ไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับการมาถึงของ รถยนต์ EREV ที่จะเข้ามาเติมเต็มความต้องการของผู้บริโภคที่มองหาความสมดุลระหว่างสมรรถนะ ความสะดวกสบาย และความยั่งยืน พร้อมกันนี้ การเปิดตัวรถยนต์รุ่นใหม่ๆ จากแบรนด์ชั้นนำ และความต่อเนื่องของเทรนด์รถยนต์ไฟฟ้า 100% และรถยนต์ไฮบริด จะยิ่งทำให้ตลาดมีความน่าสนใจมากยิ่งขึ้น
ในฐานะผู้คร่ำหวอดในวงการ ผมมองว่า EREV คือก้าวต่อไปที่สำคัญของการพัฒนารถยนต์ไฟฟ้า มันคือโซลูชันที่ผสมผสานข้อดีของ BEV และรถยนต์สันดาปเข้าไว้ด้วยกันอย่างลงตัว มอบประสบการณ์การขับขี่ที่ยอดเยี่ยมไร้กังวลเรื่องระยะทางวิ่ง

