Prodrive P25: ตำนาน 22B ฟื้นคืนชีพ สู่รถซูเปอร์คาร์สุดพิเศษ ราคาสูงลิ่ว 55 ล้านบาท ที่งาน Bangkok International Motor Show 2023
ในโลกของยานยนต์สมรรถนะสูง มีรถยนต์บางรุ่นที่ไม่ได้เป็นเพียงพาหนะ แต่คือสัญลักษณ์ของประวัติศาสตร์ ความสำเร็จ และความปรารถนาอันแรงกล้า การกลับมาของ Prodrive P25 ในงาน Bangkok International Motor Show ครั้งที่ 44 ปี 2566 นี้ จึงเป็นปรากฏการณ์ที่สร้างความตื่นเต้นให้กับเหล่าสาวก Subaru โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่ชื่นชมในตำนานของ Subaru Impreza 22B ในเวอร์ชันที่ถูกตีความใหม่ให้ล้ำสมัยและมีเอกลักษณ์ยิ่งขึ้น ในฐานะ “Ultra Rare Item” ที่มีเพียงคันเดียวในประเทศไทย และจำกัดการผลิตเพียง 25 คันทั่วโลก ราคาค่าตัว 55 ล้านบาท สะท้อนถึงความพิเศษที่เหนือกว่าคำว่ารถยนต์ทั่วไป
จากตำนานสู่การตีความใหม่: Prodrive P25 กับจิตวิญญาณของ 22B
Prodrive คือชื่อที่ผูกพันอย่างแยกไม่ออกกับความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ของ Subaru ในเวทีการแข่งขันแรลลี่ระดับโลก WRC การถือกำเนิดของ Subaru Impreza 22B ในปี 1998 เพื่อเฉลิมฉลองชัยชนะเหล่านั้น ได้กลายเป็นตำนานบทสำคัญในประวัติศาสตร์ยานยนต์ และยังคงเป็นที่ต้องการอย่างสูงในตลาดรถยนต์มือสองจนถึงปัจจุบัน แต่ Prodrive ไม่ได้หยุดเพียงแค่นั้น พวกเขาได้นำแรงบันดาลใจจาก 22B มาผสานกับเทคโนโลยีและวิศวกรรมสมัยใหม่ สร้างสรรค์ “Prodrive P25” ขึ้นมา โดยจำกัดการผลิตเพียง 25 คันทั่วโลก และคันที่มาจัดแสดงในงานนี้ ถือเป็นเพียงหนึ่งเดียวในประเทศไทย
P25 ไม่ใช่การลอกเลียนแบบ 22B เสียทีเดียว แต่เป็นการพัฒนาต่อยอดบนพื้นฐานของ Subaru WRX รุ่น 2 ประตูแบบดั้งเดิม โดยชิ้นส่วนตัวถังส่วนใหญ่ทำจากคาร์บอนไฟเบอร์ ซึ่งเป็นผลงานการออกแบบของ Peter Stevens ชายผู้มีส่วนสำคัญในการสร้างสรรค์รูปลักษณ์อันเป็นเอกลักษณ์ของ 22B ดั้งเดิม และยังเป็นผู้ออกแบบ McLaren F1 อันเลื่องชื่อ การเลือกใช้วัสดุน้ำหนักเบา ไม่เพียงแต่ช่วยลดน้ำหนักตัวรถลงเหลือเพียง 1,200 กิโลกรัม (เบากว่า 22B ดั้งเดิมเล็กน้อย) แต่ยังเพิ่มความแข็งแกร่งและความปราดเปรียวในการขับขี่อีกด้วย การติดตั้งแบตเตอรี่ลิเธียมไอออน และเบาะนั่งคาร์บอนไฟเบอร์ ยังเป็นอีกจุดที่แสดงให้เห็นถึงความใส่ใจในทุกรายละเอียดเพื่อรีดสมรรถนะสูงสุด
หัวใจของสมรรถนะ: พละกำลัง 400 แรงม้า และเทคโนโลยีที่เหนือชั้น
ใต้ฝากระโปรงหน้าของ Prodrive P25 คือขุมพลังที่ได้รับการปรับปรุงอย่างครอบคลุม เครื่องยนต์ Subaru 2.5 ลิตร รุ่นล่าสุด ถูกนำมาปรับแต่งใหม่ทั้งหมด ตั้งแต่ลูกสูบ ก้านสูบ ไปจนถึงชุดวาล์ว ผสานกับเทอร์โบชาร์จเจอร์ Garrett อินเตอร์คูลเลอร์ประสิทธิภาพสูง และระบบไอเสียไทเทเนียมจาก Akrapovič ส่งผลให้ P25 สามารถรีดกำลังได้ถึง 400 แรงม้า และแรงบิด 600 นิวตันเมตร เพิ่มขึ้นกว่า 30% เมื่อเทียบกับ 22B ดั้งเดิม
การส่งกำลังสู่พื้นถนนเป็นหน้าที่ของเกียร์ Sequential 6 จังหวะ ที่มีความสามารถในการเปลี่ยนเกียร์ในระดับ 80 มิลลิวินาที อันเป็นเทคโนโลยีที่หาได้ยากในรถยนต์ทั่วไป ส่งผลให้อัตราเร่งจาก 0-100 กม./ชม. ทำได้ในเวลาน้อยกว่า 3.5 วินาที ซึ่งเร็วกว่า 22B ดั้งเดิมประมาณ 1 วินาที สะท้อนถึงความเหนือชั้นด้านสมรรถนะที่ Prodrive P25 มอบให้
นอกจากขุมพลังแล้ว ระบบช่วงล่างและเบรกก็ได้รับการอัปเกรดให้ทันสมัยไม่แพ้กัน ด้วยชุดเฟืองท้ายแบบแอ็คทีฟ, ช่วงล่าง Bilstein แบบปรับได้, และระบบเบรก AP Racing พร้อมจานเบรกขนาดใหญ่ถึง 380 มม. ด้านหน้า และ 350 มม. ด้านหลัง พร้อมคาลิปเปอร์เบรก 6 ลูกสูบ และ 4 ลูกสูบ ตามลำดับ เพื่อการหยุดรถที่มั่นคงและแม่นยำ
ประสบการณ์สัมผัสสุดพิเศษ ณ บูธ Target Car Center (Thailand)
สำหรับผู้ที่หลงใหลในสมรรถนะ ประวัติศาสตร์ และความพิเศษที่ไม่เหมือนใคร Prodrive P25 คือสุดยอดปรารถนาที่กำลังปรากฏต่อสายตาผู้เข้าชมงาน Bangkok International Motor Show 2023 ที่บูธ Target Car Center (Thailand) ในฐานะผู้จำหน่ายแต่เพียงผู้เดียวในประเทศไทย โดยราคาค่าตัว 55 ล้านบาท ไม่เพียงสะท้อนถึงเทคโนโลยี วิศวกรรม และความพิเศษของการผลิตแบบจำกัดจำนวน แต่ยังรวมถึงมูลค่าของตำนานที่ถูกปลุกขึ้นมาอีกครั้ง
การเดินทางของยนตรกรรมไฟฟ้าในประเทศไทย: จากความตื่นเต้นสู่การยอมรับที่เติบโต
หากมองย้อนกลับไปในช่วงเวลาไม่กี่ปีที่ผ่านมา ตลาดรถยนต์ไฟฟ้า (EV) ในประเทศไทย มีการเปลี่ยนแปลงอย่างก้าวกระโดด จากที่เคยเป็นเพียงทางเลือกสำหรับกลุ่มคนเฉพาะ ที่ให้ความสำคัญกับเทคโนโลยีและความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ปัจจุบัน รถยนต์ไฟฟ้าได้กลายเป็นกระแสหลักที่กำลังเข้ามากระตุ้นตลาดและเปลี่ยนพฤติกรรมการเลือกซื้อรถของผู้บริโภคชาวไทยอย่างชัดเจน
จากจุดเริ่มต้นที่น่าตื่นเต้น สู่ความนิยมที่เพิ่มขึ้น
ในช่วงปี 2565-2566 เราได้เห็นการเปิดตัวรถยนต์ไฟฟ้าจากหลากหลายแบรนด์ ทั้งแบรนด์ยุโรปที่มีประวัติศาสตร์ยาวนานอย่าง Mercedes-Benz, BMW, Volvo ที่เริ่มนำเสนอรุ่นใหม่ๆ ที่น่าสนใจในตลาดไทย อาทิ Mercedes-Benz EQB, EQE, EQS, BMW i7, iX, Volvo C40 Recharge, และแบรนด์จากจีนที่เข้ามาเขย่าตลาดอย่าง GWM Ora Good Cat, BYD Atto 3, NETA V ที่มาพร้อมจุดเด่นด้านราคาที่เข้าถึงง่าย เทคโนโลยีที่ทันสมัย และระยะทางวิ่งที่เพียงพอต่อการใช้งานในชีวิตประจำวัน
Mercedes-Benz ตอกย้ำความเป็นผู้นำในกลุ่มรถยนต์หรูด้วยการเปิดตัว Mercedes-Benz EQB คอมแพคเอสยูวีไฟฟ้า 7 ที่นั่ง ที่เน้นกลุ่มครอบครัวขนาดเล็ก, EQE SUV ที่ผสมผสานความสปอร์ตและความยั่งยืน, และ EQS ซาลูนสุดหรูที่มาพร้อมเทคโนโลยีล้ำสมัยอย่าง MBUX Hyperscreen และระยะทางวิ่งที่ไกลถึง 770 กิโลเมตร (WLTP) การลงทุนในโรงงานผลิตแบตเตอรี่ในประเทศไทย และการเตรียมความพร้อมในการผลิตรถยนต์ไฟฟ้า 100% ตามกลยุทธ์ “Ambition 2036” แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของแบรนด์ในการผลักดันยานยนต์ไฟฟ้าในระยะยาว
BMW ก็ไม่น้อยหน้า ด้วยการเปิดตัว BMW i7 รถยนต์ไฟฟ้า 100% ที่มาพร้อมความหรูหราขั้นสุด, BMW iX ที่ผสานเทคโนโลยีและดีไซน์แห่งอนาคต, และ BMW CE 04 มอเตอร์ไซค์ไฟฟ้าครั้งแรกในไทย การขยายเครือข่ายสถานีชาร์จ ChargeNow ก็เป็นอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญที่ช่วยเพิ่มความสะดวกสบายให้กับผู้ใช้รถยนต์ไฟฟ้าของ BMW
Volvo ได้นำเสนอ C40 Recharge Pure Electric รถสไตล์คูเป้ ครอสโอเวอร์ ที่โดดเด่นทั้งดีไซน์และสมรรถนะ พร้อมการรับประกันที่ครอบคลุม และ EX30 เอสยูวีไฟฟ้าขนาดเล็กที่มาพร้อมแนวคิด “Less is More” เน้นความเรียบง่ายแต่ทรงพลัง
BYD กลายเป็นผู้เล่นสำคัญที่สร้างความเปลี่ยนแปลงอย่างมาก ด้วย BYD Atto 3 ที่ได้รับความนิยมอย่างสูงจากสมรรถนะ ราคาที่เข้าถึงง่าย และเทคโนโลยีที่ครบครัน รวมถึง BYD Dolphin และ BYD Seal ที่มาเติมเต็มไลน์อัพให้ครอบคลุมทุกกลุ่มเป้าหมาย
GWM ยังคงเดินหน้าด้วย ORA Good Cat ในรุ่นปรับปรุงที่เพิ่มระยะทางวิ่งและออปชั่นต่างๆ ให้ดียิ่งขึ้น เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคที่มองหารถยนต์ไฟฟ้าขนาดเล็ก ดีไซน์น่ารัก และราคาคุ้มค่า
NETA ได้นำ NETA V เข้ามาเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่น่าสนใจในกลุ่มรถยนต์ไฟฟ้าขนาดเล็ก ราคาประหยัด พร้อมออปชั่นที่เพียงพอต่อการใช้งาน
ปัจจัยขับเคลื่อนการเติบโตของตลาดรถยนต์ไฟฟ้าในไทย
การเติบโตอย่างต่อเนื่องของตลาดรถยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทย เกิดจากปัจจัยสำคัญหลายประการ:
นโยบายภาครัฐ: การสนับสนุนจากภาครัฐผ่านนโยบายต่างๆ เช่น การลดหย่อนภาษี, การให้เงินอุดหนุน, การส่งเสริมการลงทุนในอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า (EV Thailand) และการขยายโครงสร้างพื้นฐานสถานีชาร์จ ทำให้ผู้บริโภคมีความมั่นใจในการตัดสินใจซื้อรถยนต์ไฟฟ้ามากขึ้น
เทคโนโลยีที่พัฒนาขึ้น: รถยนต์ไฟฟ้าในปัจจุบันมีระยะทางวิ่งที่ไกลขึ้น ชาร์จได้เร็วขึ้น และมีสมรรถนะที่เทียบเท่าหรือเหนือกว่ารถยนต์สันดาปภายใน ทำให้สามารถตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคส่วนใหญ่ได้
ความตระหนักด้านสิ่งแวดล้อม: ผู้บริโภคชาวไทยให้ความสำคัญกับปัญหาสิ่งแวดล้อมและมลพิษทางอากาศมากขึ้น การเลือกใช้รถยนต์ไฟฟ้าจึงเป็นอีกหนึ่งทางเลือกในการลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม
ต้นทุนการใช้งานที่ต่ำกว่า: แม้ราคารถยนต์ไฟฟ้าในปัจจุบันอาจจะยังสูงกว่ารถยนต์สันดาปในบางรุ่น แต่เมื่อพิจารณาถึงค่าพลังงาน (ค่าไฟฟ้า) และค่าบำรุงรักษาที่ต่ำกว่า การใช้งานรถยนต์ไฟฟ้าในระยะยาวถือว่ามีความคุ้มค่ากว่า
ความหลากหลายของผลิตภัณฑ์: การเข้ามาของรถยนต์ไฟฟ้าหลากหลายรุ่น หลายแบรนด์ และหลากหลายระดับราคา ทำให้ผู้บริโภคมีทางเลือกในการจับจองเป็นเจ้าของได้ง่ายขึ้น
การปรับตัวของอุตสาหกรรมยานยนต์ไทย
การเติบโตของตลาดรถยนต์ไฟฟ้าส่งผลให้เกิดการปรับตัวอย่างมีนัยสำคัญในอุตสาหกรรมยานยนต์ไทย ผู้ผลิตรถยนต์ทั้งแบรนด์ไทยและต่างชาติ ต่างเร่งพัฒนากลยุทธ์เพื่อรองรับเทรนด์นี้ ไม่ว่าจะเป็นการลงทุนในการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าและแบตเตอรี่ในประเทศ, การขยายเครือข่ายสถานีชาร์จ, และการพัฒนาบริการหลังการขายที่ตอบโจทย์รถยนต์ไฟฟ้าโดยเฉพาะ
โอกาสและความท้าทายในอนาคต
แม้ว่าตลาดรถยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทยจะเติบโตอย่างน่าประทับใจ แต่ก็ยังมีประเด็นท้าทายที่ต้องได้รับการแก้ไข เช่น:
โครงสร้างพื้นฐานสถานีชาร์จ: แม้จะมีการขยายตัวอย่างต่อเนื่อง แต่ความครอบคลุมและจำนวนจุดชาร์จสาธารณะยังคงเป็นเรื่องที่ต้องเร่งพัฒนา โดยเฉพาะในพื้นที่ต่างจังหวัด
ราคาขายต่อ: ความกังวลเรื่องราคาขายต่อของรถยนต์ไฟฟ้ามือสอง อาจเป็นปัจจัยที่ทำให้บางคนลังเลในการตัดสินใจซื้อ
อายุการใช้งานแบตเตอรี่และการเปลี่ยนแบตเตอรี่: การพัฒนาเทคโนโลยีแบตเตอรี่ให้มีอายุการใช้งานยาวนานขึ้น และการบริหารจัดการแบตเตอรี่เมื่อหมดอายุการใช้งาน ก็เป็นอีกเรื่องที่ต้องให้ความสำคัญ
อย่างไรก็ตาม ด้วยแนวโน้มการพัฒนาเทคโนโลยีที่รวดเร็ว และการสนับสนุนจากภาครัฐอย่างต่อเนื่อง ตลาดรถยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทยมีศักยภาพที่จะเติบโตอย่างก้าวกระโดด และจะเข้ามามีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมยานยนต์ไทยสู่อนาคตที่ยั่งยืนต่อไป
การเดินทางสู่ “รถยนต์ไฟฟ้า 100%”: บทพิสูจน์ความตั้งใจของแบรนด์รถหรู
ในยุคที่โลกยานยนต์กำลังก้าวเข้าสู่ยุคแห่งการปฏิวัติพลังงาน การเปลี่ยนผ่านสู่รถยนต์ไฟฟ้า 100% ไม่ใช่เพียงแค่เทรนด์ แต่คือวิสัยทัศน์แห่งอนาคตที่แบรนด์รถหรูระดับโลกหลายค่ายต่างยึดมั่น และ Mercedes-Benz คือหนึ่งในผู้ที่แสดงจุดยืนที่ชัดเจนที่สุด
Ambition 2036: แผนการสู่การเป็นแบรนด์รถไฟฟ้าเต็มตัว
Mercedes-Benz ได้ประกาศแผนกลยุทธ์ “Ambition 2036” ที่มีเป้าหมายในการปรับเปลี่ยนสู่การเป็นแบรนด์รถยนต์ไฟฟ้า 100% ภายในปี 2030 โดยมีเป้าหมายที่ทะเยอทะยาน คือการมีรถยนต์ไฟฟ้า 100% ในทุกเซกเมนต์ที่บริษัทผลิต และจะสามารถเลือกรถยนต์ที่ขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้าได้ในทุกรุ่นที่บริษัทผลิตขึ้น แผนการนี้ไม่ใช่เพียงแค่การปรับตัวตามกระแส แต่คือการลงทุนอย่างมหาศาลในด้านการวิจัย พัฒนา และโครงสร้างพื้นฐาน เพื่อให้บรรลุเป้าหมายดังกล่าว
ก้าวสำคัญในปี 2025: แพลตฟอร์มรถยนต์ไฟฟ้าใหม่ 3 รูปแบบ
เพื่อเร่งความเร็วในการบรรลุเป้าหมาย Mercedes-Benz จะเปิดตัวโครงสร้างรถยนต์ไฟฟ้าใหม่ 3 แบบในปี 2025 ซึ่งจะกลายเป็นรากฐานสำคัญในการพัฒนารถยนต์ไฟฟ้ารุ่นต่อไป:
MB.EA (Electric Architecture): ออกแบบมาสำหรับรถยนต์นั่งขนาดกลางถึงขนาดใหญ่ ครอบคลุมตั้งแต่ซีดาน สเตชั่นวากอน ไปจนถึงเอสยูวี เพื่อมอบประสบการณ์การขับขี่ที่เหนือระดับ
AMG.EA: แพลตฟอร์มสมรรถนะสูงสำหรับรถยนต์ไฟฟ้าสมรรถนะสูงภายใต้แบรนด์ Mercedes-AMG โดยเฉพาะ เน้นการออกแบบที่เฉียบคม สมรรถนะที่ดุดัน และประสบการณ์การขับขี่ที่เร้าใจ
VAN.EA: แพลตฟอร์มสำหรับรถตู้ไฟฟ้า และรถยนต์เพื่อการพาณิชย์ขนาดเล็ก ซึ่งจะเข้ามามีบทบาทสำคัญในการขนส่งและการให้บริการในอนาคต
การลงทุนในประเทศไทย: โรงงานผลิตแบตเตอรี่และการเตรียมความพร้อม
Mercedes-Benz ประเทศไทย ไม่ได้เป็นเพียงแค่ผู้จำหน่าย แต่ยังเป็นฐานการผลิตที่สำคัญ สอดคล้องกับกลยุทธ์โลก โดยมีการเตรียมความพร้อมในสายการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าที่โรงงานในประเทศไทย และการลงทุนอย่างต่อเนื่องในยานยนต์ไฟฟ้า ซึ่งรวมถึงการสร้างโรงงานผลิตแบตเตอรี่สำหรับรถยนต์พลังงานไฟฟ้าตั้งแต่ปี 2019 การที่ประเทศไทยเป็นผู้นำในตลาดรถยนต์ PHEV ระดับลักชัวรี ด้วยผลิตภัณฑ์ที่หลากหลายในแต่ละเซกเมนต์ ยิ่งเป็นการตอกย้ำถึงศักยภาพและความมุ่งมั่นของ Mercedes-Benz ในการผลักดันยานยนต์ไฟฟ้าในภูมิภาคนี้
The New Mercedes-Benz EQS: นิยามใหม่ของ Executive Class Electric Sedan
หนึ่งในผลลัพธ์สำคัญของกลยุทธ์นี้ คือการเปิดตัว The New Mercedes-Benz EQS รถยนต์ไฟฟ้า 100% ในรูปแบบซีดานระดับ Executive Class ที่ผลิตในประเทศไทยเป็นรุ่นแรก ถือเป็นความภาคภูมิใจของ Mercedes-Benz ประเทศไทย ในการนำเสนอเทคโนโลยีล่าสุด ดีไซน์ล้ำสมัย และฟังก์ชันการใช้งานที่มอบความสะดวกสบายสูงสุดให้กับทั้งผู้ขับขี่และผู้โดยสาร
ดีไซน์ภายนอก: ได้รับแรงบันดาลใจจากต้นแบบ Vision EQS concept เน้นความลู่ลมตามหลักอากาศพลศาสตร์ กระจังหน้าแบบ Black Panel พร้อม Daytime Running Light แบบ LED พาดยาว ไฟท้าย LED ที่เชื่อมต่อกันตลอดฝากระโปรงท้าย และตัวเลือก ล้อแม็กซ์ขนาด 19, 20, และ 21 นิ้ว
ดีไซน์ภายใน: โดดเด่นด้วย MBUX Hyperscreen หน้าจอโค้ง OLED ขนาดใหญ่ยาว 1,410 มิลลิเมตร ที่รวมหน้าจอข้อมูลการขับขี่, หน้าจอกลาง Infotainment, และหน้าจอความบันเทิงสำหรับผู้โดยสารด้านหน้าไว้ด้วยกัน ระบบเสียง Burmester, แอร์ 4 โซน, และเบาะหนังแท้คุณภาพสูง มอบประสบการณ์ความหรูหราและความสะดวกสบายที่เหนือระดับ
ขุมพลังและสมรรถนะ: มีให้เลือก 2 รุ่น คือ EQS 450+ (ขับเคลื่อนล้อหลัง) และ EQS 580 4Matic (ขับเคลื่อน 4 ล้อ) พร้อมแบตเตอรี่ Lithium-ion ขนาด 90 กิโลวัตต์ชั่วโมง ให้ระยะทางวิ่งสูงสุดถึง 770 กิโลเมตร (คาดว่าเป็นรุ่น EQS 450+) รองรับการชาร์จเร็ว DC สูงสุด 200 กิโลวัตต์ ชาร์จ 15 นาที วิ่งได้เพิ่ม 300 กม. หรือชาร์จ 10-80% ใน 31 นาที
เทคโนโลยีความปลอดภัย: ระบบช่วยเหลือผู้ขับขี่ครบครัน เช่น Adaptive Cruise Control, Lane-keep Assist, Lane-centering Assist, Blind-spot Monitoring และระบบ OTA (over-the-air update) ที่สามารถอัปเดตซอฟต์แวร์รถยนต์ได้
การเปิดตัว The New Mercedes-Benz EQS ที่ผลิตในประเทศไทย ตอกย้ำถึงการปรับตัวและวิสัยทัศน์ระยะยาวของ Mercedes-Benz ในการเป็นผู้นำแห่งยุคยานยนต์ไฟฟ้า พร้อมมอบประสบการณ์การขับขี่ที่เหนือกว่าให้แก่ผู้บริโภคชาวไทย.
