โตโยต้า ยาริส (Toyota Yaris): การกลับมาพร้อมความท้าทายที่ไม่เหมือนเดิม
ในฐานะผู้คร่ำหวอดในวงการยานยนต์มายาวนานกว่าทศวรรษ ผมได้เห็นวิวัฒนาการของรถยนต์หลายรุ่นหลายแบรนด์ การเปิดตัวรถยนต์รุ่นใหม่แต่ละครั้ง มักเต็มไปด้วยความคาดหวังและเสียงวิพากษ์วิจารณ์ที่หลากหลาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับรถยนต์ที่อยู่ในกลุ่มที่ได้รับความนิยมสูงสุดอย่าง อีโคคาร์ (Eco Car) และ รถยนต์ซับคอมแพ็ค (Sub-Compact Car) ซึ่งตลาดในประเทศไทยถือเป็นสมรภูมิที่ดุเดือด และ Toyota Yaris ถือเป็นหนึ่งในตัวละครสำคัญที่สร้างความเคลื่อนไหวให้ตลาดนี้มาโดยตลอด
เมื่อสองปีก่อน มีคำกล่าวหนึ่งที่ผมได้ยินจากคนในวงการเกี่ยวกับดีไซน์ของ Yaris รุ่นใหม่ ที่กำลังจะมา ว่าจะมาในแนว “เหลี่ยมๆ ดูสปอร์ตๆ” พร้อมกับกระจังหน้าที่ชวนให้นึกถึง Mitsubishi RVR / ASX ซึ่งในตอนนั้น ผมได้แต่ถอนหายใจและอดสงสัยไม่ได้ว่า ดีไซน์เช่นนั้นจะเหมาะกับตลาดรถยนต์ที่ผู้บริโภคส่วนใหญ่ โดยเฉพาะกลุ่มลูกค้าผู้หญิง ซึ่งเป็นฐานลูกค้าสำคัญของรถยนต์กลุ่มนี้ ชื่นชอบรถยนต์ที่มีเส้นสายโค้งมน น่ารักๆ หรือไม่? ประสบการณ์ที่ผ่านมากับรถยนต์บางรุ่นที่มีดีไซน์ “ดุดัน” เกินไป กลับไม่ประสบความสำเร็จเท่าที่ควรในตลาดกลุ่มนี้ ยิ่งทำให้ความกังวลของผมทวีคูณขึ้น
คืนนั้น ผมหลับตาลงพร้อมกับจินตนาการถึงรถยนต์ Yaris ใหม่ ที่น่าจะออกมาในรูปแบบแฮทช์แบ็ก 5 ประตูที่ใหญ่ขึ้น ใช้โครงสร้างร่วมกับ Vios รุ่นใหม่ ซึ่งในขณะนั้นยังไม่มีใครได้เห็นตัวจริงเลย
พลิกโฉมสู่ความจริง: การเปิดตัวที่สร้างความประหลาดใจ
เช้าวันหนึ่งในเดือนเมษายน 2013 ความกังวลของผมได้กลายเป็นจริง เมื่อภาพถ่ายจากงาน Auto Shanghai 2013 เผยให้เห็น Yaris รุ่นใหม่ ในเวอร์ชันตลาดโลก ด้านหน้าที่ดูคล้ายกับ Mitsubishi Lancer EX ที่เคยสร้างกระแสฮือฮาแต่ก็มีข้อถกเถียงเรื่องดีไซน์มาแล้ว บวกกับชุดไฟท้ายที่ดูแปลกตาจนผมอดเปรียบเทียบกับ “ก้อนน้ำมูก” ในวันที่เลือดกำเดาไหลไม่ได้
“จบกัน…แบบนี้ ขายผู้ชายได้ แต่ขายผู้หญิงยาก” ผมคิดในใจ “ทางเดียวที่จะรอดคือการตลาดแบบสีสัน (Colorful Marketing) ต้องพยายามหาเฉดสีตัวถังสวยๆ มานำเสนอ ไม่อย่างนั้นแล้ว ผู้หญิงคงไม่เหลียวแล”
ยิ่งไปกว่านั้น การเปิดตัว Yaris รุ่นใหม่ ในช่วงเวลานั้น ยังเกิดขึ้นท่ามกลางสภาวะตลาดรถยนต์ที่ปั่นป่วนหลังสิ้นสุดโครงการรถคันแรกของรัฐบาล ทำให้กำลังซื้อหดหาย รถค้างสต็อกจำนวนมาก และค่ายรถต่างๆ ต้องเร่งระบายสต็อกด้วยโปรโมชันที่ไม่เคยมีมาก่อน กลุ่ม B-Segment และ Eco Car ได้รับผลกระทบหนักที่สุด การเปิดตัวรถรุ่นใหม่ในช่วงนี้จึงเป็นความท้าทายอย่างยิ่ง
Yaris เองก็หนีไม่พ้นชะตากรรมนี้ ร่วมกับ Vios พี่น้องร่วมแพลตฟอร์ม การที่ Toyota ต้องเปิดตัว Yaris ในเวลานี้ ดูเหมือนเป็น “ไฟท์บังคับ” ที่เลี่ยงไม่ได้
และแล้ว เป็นไปตามคาด กระแสการพูดถึง Yaris ในโซเชียลมีเดียบางตาอย่างน่าผิดหวัง เมื่อเทียบกับรถรุ่นใหม่ของ Toyota ในอดีต น้อยคนที่จะถามถึง ยิ่งเมื่อเทียบกับการเปิดตัว Nissan Teana (ซึ่งอยู่คนละกลุ่มตลาด) เพียงวันเดียวก่อนหน้า ก็แทบจะกลบกระแสของ Yaris หายไปจนหมดสิ้น
การกลับมาของกระแส: ความนิยมที่เพิ่มขึ้นตามกาลเวลา
แต่แล้ว เวลาได้พิสูจน์ว่า การประเมินของผมอาจจะคลาดเคลื่อนไปบ้าง หลังจากนั้นไม่นาน กระแสการพูดถึง Yaris ในโลกโซเชียลมีเดียกลับเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง และที่สำคัญ ปริมาณ Yaris ใหม่ ที่เริ่มวิ่งอยู่บนท้องถนนมีจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ ทุกวัน แสดงให้เห็นว่า ลูกค้าเริ่มเปิดใจยอมรับ “น้องใหม่ หน้าตาประหลาด” คันนี้แล้ว
วันนี้ คำถามมากมายยังคงวนเวียนอยู่ในความคิดของผู้บริโภค: อัตราเร่งจะอืดหรือไม่? กินน้ำมันแค่ไหน? ประหยัดจริงหรือ? ขับขี่ดีไหม? พวงมาลัยได้รับการแก้ไขแล้วหรือยัง? ช่วงล่างเป็นอย่างไร? ควรซื้อหรือไม่? หากซื้อควรเลือกรุ่นย่อยใด? บางคนถึงขั้นเปรียบเทียบ Yaris กับ Suzuki Swift หรือแม้แต่พิจารณา เปลี่ยนใจจาก Vios มาเป็น Yaris
ในบทความรีวิวฉบับนี้ ผมจะพาทุกท่านไปเจาะลึกทุกประเด็นที่คาใจ และคำตอบที่ผมจะให้ต่อไปนี้ อาจสร้างความประหลาดใจให้คุณได้ไม่น้อย หากผมจะบอกว่า ตัวเลขอัตราเร่งของ Yaris ใหม่ นั้น “ไวพอกันกับ Vios” แถมยัง “ประหยัดกว่า Vios” และมี “พื้นที่ห้องโดยสารกว้างขวางกว่า Vios (โดยเฉพาะด้านหลัง)” !!
ไม่เชื่อใช่ไหมละ? Toyota Yaris ยังคงทำหน้าที่รถยนต์ที่สร้างความแปลกใจให้กับลูกค้าทั่วโลกในแทบทุกครั้งที่เปิดตัว เหมือนเช่นรุ่นแรกของมันเมื่อ 15 ปีก่อนหน้านี้!
ย้อนรอยประวัติศาสตร์: วิวัฒนาการของ Yaris สู่ตลาดโลก
กว่าจะมาเป็น Yaris ในปัจจุบัน Toyota ได้พยายามบุกตลาดรถยนต์ขนาดเล็ก Sub-Compact Hatchback ในยุโรปมาอย่างยาวนาน เริ่มจากการปรับปรุงตระกูล Publica จนกลายเป็น Toyota Starlet ซึ่งก็ทำตลาดมาเรื่อยๆ แต่ก็ดูจะกลายเป็นรถยนต์ขนาดเล็กที่น่าเบื่อสำหรับชาวยุโรปและชาวญี่ปุ่นเอง
ด้วยเหตุนี้ Toyota จึงได้มอบหมายให้ Sotiris Kovos นักออกแบบดาวรุ่งจากศูนย์ออกแบบ Toyota European Office of Creation (EPOC) ในยุโรป พัฒนาแนวทางใหม่สำหรับรถยนต์นั่งขนาดเล็กเพื่อเอาใจตลาดยุโรปโดยเฉพาะ
เดือนกันยายน 1997 Toyota ได้เปิดตัวรถยนต์ต้นแบบตระกูล Fun 3 รุ่น คือ FunTime, FunCoupe และ FunCargo ในงาน Frankfurt Motor Show เพื่อส่งสัญญาณว่า รถยนต์ขนาดเล็กจาก Toyota นับจากนั้น จะถูกผลิตขายจริงโดยมีเส้นสายถอดแบบมาจากรถต้นแบบเหล่านี้ และมาพร้อมโครงสร้างพื้นฐานทางวิศวกรรมใหม่ที่เรียกว่า NBC (New Basic Car)
ปี 1998 Toyota ได้เผยโฉม Yaris เป็นครั้งแรก และเริ่มทำตลาดในยุโรป ปี 1999 ถือเป็นภาพลักษณ์ใหม่ที่ทำให้ชาวยุโรปหันมามองแบรนด์ Toyota กันอีกครั้งอย่างจริงจัง
ชื่อ “Yaris” มาจากการจ้างนักตั้งชื่อสินค้าชื่อดัง เดินเข้าไปดูรถในสตูดิโอออกแบบ ให้เวลา 5 นาที แล้วกลับไปหาชื่อที่เหมาะสม เขาเลือกใช้ชื่อ Yaris เพราะคำว่า “Ya” ในภาษาเยอรมันแปลว่า “Yes” หรือ “ใช่” ในภาษาอังกฤษ และ “Charis” เป็นเทพแห่งความหรูหราและความงามในตำนานกรีกโบราณ
Yaris ถูกเปิดตัวในตลาดญี่ปุ่นด้วยชื่อ VITZ เมื่อวันที่ 13 มกราคม 1999 ก่อนจะส่งไปเปิดตัวในตลาดออสเตรเลียและนิวซีแลนด์ด้วยชื่อ ECHO ส่วนตัวถัง Sedan 2 และ 4 ประตู ขายในญี่ปุ่นชื่อ Platz ขณะที่ตลาดอื่นๆ ใช้ชื่อ ECHO เช่นกัน และเป็นเพียง 2 ตัวถังที่ขายไม่ค่อยดีนัก เพราะรุ่น Hatchback ขายดีระเบิดเถิดเทิง
Yaris รุ่นแรก ประสบความสำเร็จด้านยอดขายในยุโรปและญี่ปุ่นอย่างสูง แถมยังคว้ารางวัล European Car of the Year ประจำปี 2000 ซึ่งปกติแล้วรางวัลนี้จะมีแต่รถยุโรปเท่านั้นที่ครองบัลลังก์ และในอดีตมีเพียง Nissan March ปี 1991 เท่านั้นที่เคยเป็นรถญี่ปุ่นรายแรกที่ได้รางวัลนี้
รุ่นที่ 2 เปิดตัวในญี่ปุ่นเมื่อ 1 กุมภาพันธ์ 2005 มีรหัสรุ่น NCP90-NCP91, NCP95 ถูกสร้างขึ้นภายใต้รหัสโครงการ 351L เวอร์ชันไทยเปิดตัวครั้งแรกเมื่อ 17 มกราคม 2006 ถือเป็น Yaris รุ่นแรกที่ถูกนำมาขึ้นสายการผลิตในประเทศไทย
ถึงแม้ยอดขายในตลาดโลกจะยังดี แต่ในไทย ด้วยราคาที่ตั้งสูงกว่าคาดการณ์ เพราะอัดออปชันมาเต็มที่ ทำให้ยอดขายช่วงแรกไม่ดีนัก จนชมรมดีลเลอร์ Toyota ในกรุงเทพฯ ต้องประชุมเรียกร้องให้ Toyota Motor Thailand ออกแคมเปญกระตุ้นยอดขาย จึงทำให้ Yaris ขายออกไปได้ในระดับเรื่อยๆ
รุ่นที่ 3 เปิดตัวในญี่ปุ่นเมื่อ 22 ธันวาคม 2010 คราวนี้ Toyota เลือกทำตลาด Yaris รุ่นนี้ แค่ในญี่ปุ่น ยุโรป ออสเตรเลีย และนิวซีแลนด์ แต่ยอดขายก็ยังไม่เปรี้ยงปร้างนักเมื่อเทียบกับรุ่นก่อน
ในตอนแรก คนไทยคาดหวังว่า Yaris เวอร์ชันญี่ปุ่น/ยุโรป หรือรุ่นที่ 3 นี่แหละที่จะเข้ามาประกอบขายในไทย แต่กลับเกิดการเปลี่ยนแปลงที่ไม่คาดคิด ทั้งหมดเป็นผลมาจากการที่ Toyota ตัดสินใจเข้าร่วมโครงการ Eco Car ของรัฐบาลในช่วงสุดท้าย แม้จะไม่ได้เห็นด้วยในตอนแรก
การปรับตัวเพื่อตอบโจทย์ Eco Car: Yaris L สำหรับตลาดจีนและไทย
คำถามที่ตามมาคือ Toyota จะเลือกรถยนต์รุ่นใดมาทำตลาดกลุ่ม Eco Car?
จากข้อจำกัดมากมาย จนในที่สุดก็ลงตัวว่า ในเมื่อข้อกำหนดของโครงการ Eco Car ระบุชัดเจนว่า ต้องผลิตรถยนต์รุ่นใหม่ที่ยังไม่เคยผลิตออกจำหน่ายในประเทศใดมาก่อน การนำ Yaris รุ่นที่ 3 ที่กำลังจะผลิตขายในญี่ปุ่นและยุโรปมาพัฒนาเพื่อผลิตขายในไทย จึงเป็นไปไม่ได้
การนำ Aygo ซึ่งพัฒนาร่วมกับกลุ่ม PSA Peugeot Citroen มาทำ ก็ดูจะเล็กไปสำหรับตลาดไทย ซึ่งลูกค้าให้ความสำคัญกับภาพลักษณ์ทางสังคมมาก และยังมีข้อตกลงกับ PSA ว่าไม่สามารถผลิตขายที่อื่นได้นอกเหนือจากโรงงานในสาธารณรัฐเช็ก และไม่สามารถขายในโซนอื่นนอกจากยุโรปได้
ดังนั้น จึงเหลือทางเลือกเพียงทางเดียว คือ Toyota ต้องพัฒนา Yaris รุ่นใหม่ ขึ้นมาอีก 1 ตัวถัง เพื่อเอาใจตลาดที่มีศักยภาพสูงอย่างจีน ซึ่งต้องการรถยนต์ hatchback ขนาดเล็ก แต่มีพื้นที่ใช้สอยเยอะกว่า Yaris เวอร์ชันญี่ปุ่น/ยุโรปอย่างชัดเจน โดยใช้ Platform และโครงสร้างวิศวกรรมบางส่วนร่วมกับ Vios แต่มีการปรับปรุงให้เข้ากับข้อกำหนดของโครงการ Eco Car
TakeShi Matsuda : Chief Engineer ผู้พัฒนาทั้ง Yaris และ Vios รุ่นล่าสุด กล่าวว่า “ความตั้งใจของเขาตอนแรกคือ ทำ Yaris รุ่นนี้ให้เป็นรุ่นเปลี่ยนโฉม Full Model Change ของ Yaris สำหรับตลาดทั่วโลกที่ไม่ใช่ในยุโรปหรือญี่ปุ่น แต่เมื่อตลาดไทยมีนโยบายให้ทำ Yaris รุ่นนี้เป็น Eco Car เขาจึงต้องหาทางออกสำหรับข้อจำกัดและคำถามมากมาย ซึ่งผลลัพธ์ก็ออกมาเป็น Yaris อย่างที่เห็นกันอยู่นี้”
Toyota Dear Qin: ต้นแบบของ Yaris สำหรับตลาดจีน
หนึ่งปีก่อนการเปิดตัวเวอร์ชันจำหน่ายจริง Toyota เลือกที่จะเริ่มส่งสัญญาณให้โลกรู้ถึงการมาถึงของ Hatchback รุ่นใหม่คันนี้ ด้วยการสร้างรถยนต์ต้นแบบในชื่อ Toyota Dear Qin Hatchback สีเขียว ควบคู่กับ Toyota Dear Qin Sedan สีแดงเลือดหมู เปิดตัวสู่สายตาชาวโลกครั้งแรกในงาน Beijing Automotive Show ครั้งที่ 12 เมื่อวันที่ 23 เมษายน 2012
Dear Qin ทั้ง 2 คัน เผยให้เห็นถึงแนวโน้มเส้นสายของ Vios และ Hatchback 5 ประตูรุ่นต่อไปสำหรับตลาดโลก ที่จะแตกต่างจากรถยนต์รุ่นเดิมโดยสิ้นเชิง การเผยโฉม Dear Qin คันสีเขียว ซึ่งเป็นตัวแทนของ Yaris ใหม่ที่จะเปิดตัวในอีก 1 ปีหลังจากนั้น เป็นการสื่อสารให้โลกรู้ว่า รถคันนี้ถูกออกแบบมาเพื่อเอาใจลูกค้าชาวจีน ในฐานะตลาดเป้าหมายหลัก
เปิดตัว Yaris L ที่จีน และ Yaris ใหม่ที่ไทย
เมื่อเป้าหมายในการพัฒนารถยนต์คันนี้อยู่ที่การเอาใจลูกค้าชาวจีน พวกเขาก็เลยเลือกเปิดตัว Yaris รุ่นนี้เป็นครั้งแรกในโลกที่งาน Auto Shanghai 2013 เมื่อวันที่ 20 เมษายน 2013 แต่กว่าจะพร้อมออกสู่ตลาดจีน GAC-Toyota ต้องรอถึงวันที่ 26 สิงหาคม 2013 จึงจะเริ่มปล่อยข้อมูลตัวรถทั้งหมดออกมา และเริ่มส่งรถยนต์ขึ้นโชว์รูมในชื่อ Yaris-L เมื่อวันที่ 1 กันยายน 2013
ไทย ถือเป็นประเทศลำดับที่ 2 ของโลก ที่ Toyota เผยโฉม Yaris ใหม่ งานเปิดตัวมีขึ้นเมื่อวันที่ 22 ตุลาคม 2013 ณ ห้างสรรพสินค้า Central World
TakeShi Matsuda : Chief Engineer ผู้รับผิดชอบโครงการพัฒนา Vios และ Yaris สำหรับตลาดกลุ่มเอเชีย กล่าวว่า ในตอนแรก เขาตั้งใจสร้างรถคันนี้ให้เป็น B-Segment Hatchback ในฐานะรุ่นเปลี่ยนโฉมใหม่ทั้งคันของ Yaris สำหรับตลาดเอเชีย โดย “ไม่ได้ตั้งใจทำรถคันนี้ให้เป็น Eco Car มาตั้งแต่แรก”
ทว่า เมื่อนโยบายของผู้บริหารกำหนดว่า สำหรับตลาดเมืองไทย รถคันนี้ต้องเข้ามาทำตลาดในฐานะ Eco Car จึงเกิดข้อจำกัดต่างๆ มากมาย เขาและทีมงานจึงพยายามเอาชนะอุปสรรคเหล่านั้นอย่างดีที่สุด
Matsuda-san จึงเลือกที่จะไม่ประนีประนอมกับประเด็นเรื่องเส้นสายของตัวรถ เขาให้ความสำคัญกับการออกแบบภายนอกและภายใน ซึ่งต้องนั่งสบาย ไม่เบียดเสียดกัน ขณะเดียวกัน ต้องยกระดับความประหยัดน้ำมันให้เพิ่มมากขึ้น ยกระดับความเงียบในห้องโดยสาร รวมถึงการเกาะถนนชนิดที่ว่าถ้าเทียบกับรุ่นก่อนแล้ว ต้องเห็นความแตกต่างอย่างชัดเจน
ดีไซน์ภายนอก: การผสมผสานที่ลงตัว?
Yaris ใหม่ มีตัวถังยาว 4,115 มิลลิเมตร กว้าง 1,700 มิลลิเมตร สูง 1,475 มิลลิเมตร ระยะฐานล้อ 2,550 มิลลิเมตร เมื่อเทียบกับ Yaris รุ่นก่อน (ยาว 3,800 มม., กว้าง 1,695 มม., สูง 1,520 มม., ฐานล้อ 2,460 มม.) จะพบว่า Yaris ใหม่ ยาวขึ้น 315 มิลลิเมตร กว้างขึ้น 5 มิลลิเมตร เตี้ยลง 45 มิลลิเมตร และมีระยะฐานล้อ ยาวขึ้น 90 มิลลิเมตร
สิ่งที่เพิ่มขึ้นตามมาคือ มิติภายในต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นระยะห่างระหว่างผู้โดยสารตอนหน้าและหลังที่เพิ่มขึ้นเป็น 912 มิลลิเมตร (มากกว่าเดิม 46 มม.) พื้นที่วางเท้าด้านหลังยาวถึง 663 มิลลิเมตร (ยาวกว่าเดิม 77 มม.) แผงพนักพิงเบาะหลังกว้างขวางขึ้น 1,310 มิลลิเมตร (มากกว่ารุ่นเดิม 10 มม.) ระยะห่างจากจุดกึ่งกลางล้อหลัง – กันชนหลัง ยาวขึ้น 110 มิลลิเมตร ทำให้ห้องเก็บสัมภาระท้ายรถยาว 734 มิลลิเมตร (ยาวกว่าเดิม 140 มม.) จนมีปริมาตรความจุถึง 326 ลิตร
เส้นสายภายนอกมาในสไตล์เฉียบคม เน้นเหลี่ยมสัน พร้อมกระจังหน้าที่ดูคล้าย Mitsubishi RVR / ASX หรือ Lancer EX แต่เพิ่มความแตกต่างด้วยแถบสีเงินแบบ “หนวดปลาดุก” ทำให้ผมนึกอยากตั้งฉายาให้รถคันนี้ว่า “Yaris รุ่นลุงหนวด!”
กระจังหน้าในรุ่น G และ E จะเป็น “หนวด” สีเงิน ส่วนรุ่น J และ J ECO เป็น “หนวด” สีดำ มือจับประตูด้านข้างรุ่น G เป็นโครเมียม ส่วนรุ่นอื่นๆ เป็นสีเดียวกับตัวถัง
ชุดไฟหน้ารุ่น G เป็นโคมไฟแบบโปรเจคเตอร์ ส่วนรุ่นอื่นๆ เป็นไฟหน้าแบบ Multi Reflector ธรรมดา กระจกมองข้างรุ่น G, E, J เป็นสีเดียวกับตัวถัง ส่วนรุ่น J ECO เป็นสีดำ เฉพาะรุ่น G จะมีไฟเลี้ยวติดตั้งมาให้
รายละเอียดภายนอกบางชิ้นสามารถใช้ร่วมกับ Vios ได้ เช่น ครีบรีดอากาศที่เสาขอบประตู หรือมือจับประตูทั้ง 4 บาน กระจกหน้าต่างคู่หน้าก็สามารถใช้ทดแทนร่วมกับ Vios ได้ กระจกบังลมหน้าในรุ่น G เป็นแบบ Acoustic Glass เสริมฟิล์มเพื่อลดเสียงรบกวน
ส่วนบั้นท้าย ด้วยเหตุที่ทีมออกแบบน่าจะอยากสร้างความต่อเนื่องของเส้นสายจากหน้าต่างคู่หลังจรดกระจกบังลมหลัง จึงต้องมีแผงพลาสติกสีดำ Glossy มาแปะไว้เชื่อมต่อ แล้วทำชุดไฟท้ายให้มีกรอบทรงประหลาดๆ โดยใช้กรอบท่อนล่างของ Vios ลากเส้นขึ้นไปยาวๆ ในแบบที่ไม่เหมือนใคร
เข้าใจว่าอยากทำไฟท้ายให้ฉีกแนว ล้ำอวกาศเหมือนในรถต้นแบบ Dear Qin แต่พอออกมาจริงๆ นอกจากจะคล้ายคลึงกับไฟท้ายของ Peugeot 208 รุ่นใหม่แล้ว ยังทำลายความลงตัวของงานออกแบบฝาประตูคู่หลัง และบานประตูคู่หลัง จนทำให้บั้นท้ายดูแปลกๆ ประดักประเดิดในเส้นสายอย่างน่าเสียดาย
เหมือนมีใครเอาก้อนเลือดกำเดาไหลไปแปะอยู่กับไฟท้ายของ Vios ยังไงยังงั้น!
ทุกรุ่นติดตั้งใบปัดน้ำฝนพร้อมที่ฉีดน้ำล้างกระจกบังลมหลัง ทับทิมสะท้อนแสงมุมกันชนด้านล่าง รวมถึงสปอยเลอร์เหนือกระจกบานหลังมาให้เกือบทุกรุ่น
ส่วนแถบประดับเหนือช่องใส่ป้ายทะเบียนหลัง ในรุ่น G เป็นแถบโครเมียม รุ่น E เป็นสีเดียวกับตัวถัง ส่วนรุ่น J เป็นสีดำ
รุ่น G ให้ล้ออัลลอยขนาด 15 นิ้ว พร้อมยาง 185/60 R15 ขณะที่รุ่น E จะได้ล้อกระทะ 15 นิ้วพร้อมฝาครอบล้อ แต่ถ้าเป็นรุ่น J จะได้ล้อกระทะ 14 นิ้วพร้อมฝาครอบล้อที่สวมยาง 175/65 R14 รุ่นถูกสุด J Eco จะไม่มีแม้แต่ฝาครอบล้อมาให้ เป็นเพียงล้อกระทะเหล็กสีดำ พร้อมยางขนาดเดียวกันกับรุ่น J
การเข้า-ออก และภายในห้องโดยสาร: ความสะดวกสบายที่ถูกพัฒนา
เมื่อเสาหลังคาคู่หน้า A-Pillar, กรอบช่องประตูคู่หน้า และเสาหลังคาคู่กลาง B-Pillar ยกชุดมาจาก Vios ดังนั้น การลุกเข้า-ออกเบาะนั่งคู่หน้าของทั้ง 2 รุ่น จึงเหมือนกันเป๊ะ!
การเข้า-ออกบานประตูคู่อาจต้องใช้ความระมัดระวังสักเล็กน้อย เนื่องจากเสาหลังคาคู่หน้า A-Pillar ค่อนข้างลาดเอียง แนะนำว่าสำหรับคนตัวสูงหรือศีรษะใหญ่ ควรปรับตำแหน่งเบาะคนขับให้ต่ำที่สุดก่อน เพื่อลดโอกาสศีรษะไปโขกกับเสา
แผงประตูด้านข้าง ออกแบบให้ตำแหน่งวางแขนอยู่ในระดับที่เหมาะสมเหมือนใน Vios รุ่น G ตกแต่งด้วยวัสดุพลาสติกสีเงิน Metallic ประดับเข้ากับพลาสติกสีดำลายขึ้นรูปเหมือนแผงหน้าปัด มือจับประตูด้านข้างออกแบบเป็นช่องวางโทรศัพท์มือถือชั่วคราวได้ ช่องวางของด้านล่างใส่ขวดน้ำได้สบาย และยังมีพื้นที่เหลือพอให้เสียบสมุดโน้ตเล่มเล็กๆ ได้
มือจับเปิดประตูด้านในรถของรุ่น G เป็นพลาสติกชุบโครเมียมทั้ง 4 จุด
เบาะนั่งคู่หน้า เป็นเบาะผ้าสีดำที่ยกมาจาก Vios ใหม่ เปลี่ยนแค่ลายผ้าตรงกลางจากสีน้ำเงินมาเป็นสีส้ม พร้อมตะเข็บสีส้ม เพื่อเพิ่มบุคลิกสปอร์ตขึ้นเล็กน้อย สัมผัสไม่ต่างจากเบาะ Vios ใหม่
โครงสร้างเบาะนั่งคู่หน้าสามารถปรับเลื่อนขึ้นหน้า-ถอยหลัง ได้มากขึ้นจากเดิม 240 มม. เป็น 260 มม. และปรับละเอียดขึ้นจาก 16 เป็น 26 จังหวะ ส่วนเบาะคนขับปรับระดับสูง-ต่ำได้ด้วยก้านโยก เพิ่มขึ้นจาก 45 เป็น 60 มม.
นอกจากนี้ ยังมีการออกแบบด้านหลังเบาะให้มีส่วนเว้าเพิ่มขึ้น 38 มม. เพื่อเพิ่มระยะห่างระหว่างเข่าผู้โดยสารด้านหลังกับเบาะหน้า เป็น 48 มม.
พนักพิงศีรษะเบาะหน้าออกแบบให้รองรับได้สบายกำลังดี ขณะที่พนักพิงหลังถูกออกแบบให้เว้าลึกเข้าไป โอบกระชับสรีระมากขึ้น และรองรับช่วงหัวไหล่และสะโพกดีขึ้นกว่าเดิม ถือว่าแก้ปัญหาเบาะนั่งไม่สบายใน Yaris รุ่นเดิมได้จนเกือบจบ (เพราะเบาะรุ่นเดิมทำผมปวดหลังใน 15 นาที แต่เบาะใหม่ใช้เวลากว่าชั่วโมงจึงเริ่มเมื่อย)
แต่สิ่งที่ยังแก้ไม่จบและควรปรับปรุงต่อไป คือ เบาะรองนั่งยังคงสั้นไปหน่อย หากเพิ่มความยาวอีกราว 10 มม. น่าจะช่วยให้การรองรับต้นขาขณะขับขี่ทางไกลสบายขึ้น
อีกประเด็นที่น่าตำหนิคือ เข็มขัดนิรภัยแบบ ELR 3 จุด ปรับระดับสูง-ต่ำไม่ได้ที่พบใน Vios ก็ยังโผล่มาให้เห็นใน Yaris อีกด้วย ถือเป็นการลดต้นทุนที่น่าเกลียดมาก ทั้งที่ถุงลมนิรภัยก็ใส่มาให้ 2 ใบ แล้วทำไมอุปกรณ์ความปลอดภัยพื้นฐานอย่างเข็มขัดนิรภัยจึงไม่ใส่มา?
นอกจากนี้ ยังไม่มีที่พักแขนสำหรับคนขับมาให้เลยแม้แต่รุ่นเดียว น่าเสียดายจริงๆ
พื้นที่เหนือศีรษะก็ไม่ต่างไปจาก Vios ใหม่เลย สัมผัสได้ชัดเจนว่ามีพื้นที่โปร่งโล่งสบายกว่า Yaris รุ่นก่อนชัดเจน
พื้นที่โดยสารด้านหลัง: จุดเด่นที่เหนือกว่าคู่แข่ง
การลุกเข้า-ออกประตูคู่หลัง แม้ว่าช่องทางเข้าจะกว้างขึ้นกว่า Yaris รุ่นเดิม แต่ต้องก้มหัวลงเพิ่มพอสมควร ไม่เช่นนั้นศีรษะจะโขกเข้ากับด้านบนของกรอบทางเข้าเต็มๆ สภาพนี้ไม่ต่างจาก Vios ใหม่
กระจกหน้าต่างไฟฟ้าคู่หลังเลื่อนลงสุด แผงประตูคู่หลังมีที่วางแขนในระดับพอใช้งานได้ ข้อศอกเกือบจะวางลงไปได้ (แต่ถ้าเป็นเด็กตัวเล็กหรือสูงน้อยกว่าผมน่าจะวางได้พอดี) แต่ไม่มีการบุหนังหรือวัสดุอ่อนนุ่มใดๆ และไม่มีช่องใส่ของด้านข้างมาให้
จุดขายสำคัญของ Yaris ใหม่ อยู่ที่เบาะหลัง ซึ่งมีพื้นที่กว้างใหญ่และโอ่โถงที่สุด เบาะหลังมีพนักพิงที่รองรับแผ่นหลังรวมทั้งช่วงหัวไหล่พอสบาย ฟองน้ำแน่นกำลังดี ไม่แข็งและไม่นิ่มจนเกินไป
พนักศีรษะทั้ง 2 ฝั่งออกแบบให้ใช้งานได้จริง ยกเว้นพนักศีรษะตรงกลางรูปตัว L คว่ำ ซึ่งต้องยกขึ้นใช้งาน และถ้าเป็นไปได้ ถอดออกก็ไม่เสียหาย
เบาะรองนั่งออกแบบมาได้กำลังดี แต่สั้นไปหน่อย
พื้นที่เหนือศีรษะสำหรับคนสูง 171 ซม. อย่างผม จะเหลือให้สอดนิ้ว 3 นิ้วได้พอดี ผมนึกเสียดายเพราอยากได้พื้นที่เหนือศีรษะแบบนี้ใน Vios ใหม่ชะมัด
ส่วนพื้นที่วางขานั้น ใหญ่สะใจ สมกับที่ถูกออกแบบมาให้เป็นรถยนต์ B-Segment Hatchback ตั้งแต่แรก เพราะคนตัวใหญ่อย่างผมยังสามารถนั่งไขว่ห้างได้อย่างสบาย ทั้งที่ได้ปรับเบาะคนขับให้อยู่ในระดับที่ขับใช้งานตามปกติแล้ว!
ดังนั้น ผมจึงยืนยันว่า พื้นที่นั่งโดยสารของ Yaris ใหม่ ใหญ่โต โอ่อ่า เป็นที่สุดในบรรดา Eco Car ทุกคันที่ผลิตขายในประเทศไทย จนถึงปี 2016!
อุปกรณ์อำนวยความสะดวกและความปลอดภัย: การตัดทอนที่น่าเสียดาย
เหนือบานประตูทั้ง 4 บาน มีมือจับยึดเหนี่ยวจิตใจมาให้ครบทั้ง 4 ตำแหน่ง… เนี่ย ที่ของแบบนี้มีให้ครบ ทีเข็มขัดนิรภัยคู่หน้าปรับระดับสูง-ต่ำได้ กลับถอดออกไปหน้าตาเฉย!
เข็มขัดนิรภัยสำหรับเบาะแถวหลังเป็นแบบ ELR 3 จุดทุกที่นั่ง แต่สำหรับผู้โดยสารตรงกลางถูกติดตั้งไว้กับเสาหลังคาด้านหลังสุด (C-Pillar) ฝั่งซ้าย แล้วลากสายโยงเชื่อมจุดยึดมาที่กึ่งกลางเพดานหลังคา ก่อนจะลากเชื่อมลงมาให้ใช้งาน
Matsuda-san บอกว่า ในช่วงพัฒนามีการถกเถียงประเด็นนี้เยอะ เพราะตั้งใจออกแบบให้มีเข็มขัดนิรภัย 3 จุดสำหรับผู้โดยสารตรงกลาง แต่ราคาก็ต้องถูกพอที่ลูกค้าจะจ่ายได้ แถมยังต้องออกแบบไม่ให้บดบังทัศนวิสัยขณะถอยหลังอีกด้วย ซึ่งไม่ใช่เรื่องง่าย
ส่วนเข็มขัดนิรภัยสำหรับผู้โดยสารฝั่งซ้ายและขวา มีสายล็อกป้องกันไม่ให้สายเข็มขัดเคลื่อนตำแหน่งมาในแบบใช้สายผ้าติดกระดุมแป๊กเหมือนที่พบใน Toyota 86 และมีร่องสำหรับเสียบเบาะนิรภัยสำหรับเด็กมาตรฐาน ISOFIX มาให้
พนักพิงเบาะนั่งด้านหลังในรุ่น G กับ E จะแบ่งพับแยกฝั่งซ้าย-ขวาได้ในอัตราส่วน 60:40 แต่ถ้าเป็นรุ่น J กับ J ECO เบาะหลังพับได้จริง แต่ต้องพับทั้งแผงลงมาเป็นก้อนเดียวกันไปเลย
ตำแหน่งก้านปลดล็อกพนักพิงเบาะไม่ได้ติดตั้งที่หัวไหล่ แต่ติดตั้งที่ฝาผนังด้านข้างทั้ง 2 ฝั่ง เป็นปุ่มกดลงไปเพื่อปลดล็อกแล้วพับลงมาได้ทันที
ฝาประตูห้องเก็บของด้านหลัง ใช้ระบบกลอนไฟฟ้าเชื่อมต่อสัญญาณกับรีโมทกุญแจ Keyless Entry แต่บางกรณี ถ้ายังติดเครื่องยนต์อยู่ อาจไม่ยอมปลดล็อกให้ ต้องดับเครื่องยนต์ก่อน
รอบกรอบช่องทางเข้าห้องเก็บของด้านหลังบุพลาสติกมาให้เรียบร้อย ต่างจาก Eco Car หลายรุ่นที่ยังปล่อยเปลือยให้เห็นเนื้อเหล็ก ฝาประตูค้ำยันด้วยโช้คอัพไฮดรอลิก 2 ต้น มีแผงบังสัมภาระ
แต่บานประตูห้องเก็บของด้านหลังไม่บุพลาสติก มีเพียงผนังด้านใน และออกแบบช่องมือจับ
ห้องเก็บสัมภาระด้านหลังมีความยาว 734 มม. เพิ่มขึ้นจาก Yaris รุ่นเดิม 140 มม. มีปริมาตรความจุ 326 ลิตร สามารถบรรจุกระเป๋าเดินทางขนาดกลางแบบ Hard Case ได้ 3 ใบ พร้อมกระเป๋าเดินทางแบบสะพายไหล่ 1-2 ใบ ถือว่ามีความจุเยอะที่สุดในบรรดา Eco Car Hatchback ทุกคันในบ้านเราตอนนี้
ผนังด้านข้างฝั่งซ้ายมีไฟส่องสว่างในห้องเก็บของ เมื่อยกพื้นห้องเก็บของขึ้นมา จะพบยางอะไหล่ Dunlop SP10 ขนาด 175/65 R14 พร้อมเครื่องมือและแม่แรงประจำรถ
แผงหน้าปัดและคอนโซล: ความคุ้นเคยจาก Vios
แผงหน้าปัดหน้าตาคุ้นๆ ก็ไม่ต้องงงครับ ยกชุดมาจาก Vios ใหม่ทั้งดุ้นเหมือนกันอย่างกับแกะ มากันครบไม่เว้นแม้แต่แนวตะเข็บเส้นด้าย หรือ Stitch ซึ่งเป็นลายตะเข็บหลอกๆ เพื่อเพิ่มความหรู ก็ยังเหมือนกันชนิดที่ว่าพิมพ์เขียวลงประทับตราสำเนาถูกต้อง!
เพียงแต่วัสดุการตกแต่งแตกต่างกันเล็กน้อยไปตามแต่ละรุ่นย่อย แถบโค้งต่อเนื่องจากช่องแอร์ด้านข้างทั้ง 2 ฝั่งเข้าหาแผงควบคุมกลาง เป็นพลาสติกสีดำปกติ ไม่ได้ประดับด้วย Trim ดำเงา หรือสีเงินอย่างใน Vios ใหม่
ทว่า ฐานคันเกียร์ แผงมือจับประตูทั้ง 4 บาน และกรอบช่องวางโทรศัพท์มือถือใน Yaris รุ่น G ประดับด้วย Trim สีเงิน แทน ช่างดูให้ชวนงุนงงจริงๆ
มองขึ้นไปด้านบน จะพบวัสดุบุเพดานหลังคาแบบ Recycle สีดำ มีแผงบังแดดพร้อมกระจกแต่งหน้าแบบมีฝาปิดมาให้ทั้งฝั่งคนขับและโดยสาร แต่ไม่ยักมีไฟแต่งหน้ามาให้
จากฝั่งขวามาทางซ้ายของแผงหน้าปัด ยังคงยกสลับเปลี่ยนกับ Vios ได้แทบทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นสวิตช์กระจกหน้าต่างไฟฟ้าทั้ง 4 บาน แบบมีสวิตช์ Auto One-Touch พร้อมสวิตช์ล็อกกระจกหน้าต่างฝั่งผู้โดยสาร และ Central Lock บนแผงประตูฝั่งคนขับ สวิตช์กระจกมองข้างปรับและพับด้วยระบบไฟฟ้า และสวิตช์ติดเครื่องยนต์ Push Start ใต้ช่องแอร์ฝั่งคนขับ ช่องวางแก้วแบบเลื่อนเปิด-ปิดได้
พวงมาลัยแบบ 3 ก้าน พร้อมสวิตช์ Multi Function ควบคุมชุดเครื่องเสียงบนก้านพวงมาลัยฝั่งซ้าย ยกมาจาก Vios มี Grip ที่จับถนัดมือ แต่มีระยะห่างจากขอบด้านบนสุดของมาตรวัดน้อยมาก เท่ากับ Vios ไม่มีผิด ภาพรวมดูแล้วรู้ได้เลยว่าจงใจออกแบบให้เน้นต้นทุนการผลิตที่ต่ำที่สุด ยังดีที่ในรุ่น G พวงมาลัยยังหุ้มหนังมาให้
อยากบอกเลยว่า พวงมาลัยคือสิ่งสำคัญที่จะช่วยเพิ่มความรู้สึกดีๆ ให้ผู้คนอยากขับรถคันนั้นๆ ถ้าออกแบบให้ดูสวยไม่ได้ เพราะมานั่งคำนึงว่าต้นทุนจะแพงไปนั้น ผมว่าเลิกทำรถขายแล้วกลับไปอยู่บ้านเลี้ยงลูกเมียยังดีซะกว่า!
บนก้านสวิตช์เปิดไฟหน้า, ไฟเลี้ยว, ไฟสูง บนคอพวงมาลัยฝั่งขวา ไม่ต้องคลำหาสวิตช์ไฟตัดหมอกหน้าครับ เพราะ Yaris ใหม่ไม่มีไฟตัดหมอกหน้ามาให้เลยแม้แต่รุ่นเดียว
ส่วนก้านสวิตช์ใบปัดน้ำฝนพร้อมที่ฉีดน้ำด้านหน้า มีระบบหน่วงเวลาและตั้งเวลาปัดเร็ว-ช้าได้ เฉพาะรุ่น G และ E
ชุดมาตรวัดและเครื่องเสียง: ความคุ้มค่าที่ต้องพิจารณา
ชุดมาตรวัดเป็นแบบ 3 วงกลม ตำแหน่งสัญญาณไฟเตือนต่างๆ เหมือนกัน ตอนกลางคืนเรืองแสงสีขาวเป็นหลักเหมือนกัน แม้กระทั่ง Font ตัวเลขที่อ่านง่าย แบ่งขีดความเร็วชัดเจน และดูคล้ายยกมาจากป้ายโฆษณาของห้าง Tesco Lotus ยังคงเหมือน Vios รุ่น Top 1.5 S เพียงแต่ลวดลาย Graphic บนพื้นหลังถูกออกแบบให้ใช้โทนสีแดงเป็นหลัก
เฉพาะรุ่น G จอแสดงข้อมูลตรงกลางเปลี่ยนเป็นสีส้ม ตัวเลข Digital สีดำ บอกตำแหน่งเกียร์, Odometer, Trip Meter A และ B, อัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงเฉลี่ย, ความเร็วเฉลี่ย และระยะทางที่น้ำมันในถังยังเหลือ
แต่ที่ยังต้องตำหนิคือ ลายกราฟฟิคบนพื้นหลังมาตรวัดยังเป็นพื้นเรียบๆ แบนๆ ไร้มิติ แบบเดียวกับที่เด็กประถมหัดเล่นโปรแกรม Paintbrush ใน Windows 98 แล้วพิมพ์ออกมา…
ชุดเครื่องเสียงเป็นวิทยุ AM/FM พร้อมช่องใส่แผ่น CD/MP3/WMA ได้ 1 แผ่น และมีช่องเสียบ USB และ AUX ถ้าเป็นรุ่น G กับ E จะมีลำโพง 4 ชิ้น แต่ถ้าเป็นรุ่น J กับ J ECO จะมีเพียง 2 ชิ้นเท่านั้น
คุณภาพเสียงก็ไม่ต่างจากใน Vios คือพอฟังได้ หน้าจอสีส้ม บอกภาษาได้ทั้งอังกฤษ, ไทย, ญี่ปุ่น, จีน! International ดี!
ส่วนสวิตช์เครื่องปรับอากาศในรุ่น G เป็นแบบมีหน้าจอ Digital มาให้ ยกชุดจาก Vios ให้ความเย็นสะใจ แต่การใช้งานยังคงสร้างความสับสนได้ โดยเฉพาะสวิตช์ฝั่งซ้ายสุดที่รวมการหมุนเลือกความแรงพัดลม, ทิศทางลม และอุณหภูมิไว้ในสวิตช์หมุนชุดเดียวกัน
ชวนให้นึกถึงสวิตช์แบบมือหมุนวงกลม 3 วงในรุ่น E, J และ J ECO ขึ้นมา ชัดเจน ใช้งานง่าย สะดวก แต่ดันออกแบบมาไม่สวย… เฮ้อ!
ช่องวางโทรศัพท์มือถือใต้สวิตช์เครื่องปรับอากาศด้านหลังคันเกียร์ ที่ผมเคยบ่นในบทความรีวิว Vios ก็ยังคงปรากฏใน Yaris อีก ผมมองว่าเป็นการออกแบบที่พยายามเอาใจลูกค้า แต่ไม่สอดคล้องกับการใช้งานจริง เพราะถ้าเจอถนนขรุขระ โอกาสที่โทรศัพท์จะหล่นลงมาอยู่บนพื้นที่วางขาฝั่งคนขับมีอยู่เหมือนกัน
สู้ทำเป็นช่องใส่ของลึกๆ ตามเดิมไว้ให้เจ้าของรถเขาเลือกเอาเองจะดีกว่า
กล่องเก็บของบนแผงหน้าปัดฝั่งผู้โดยสารด้านหน้า (Glove Compartment) ยกมาจาก Vios เช่นกัน ดูจากฝาภายนอกเหมือนจะใหญ่ แต่เอาเข้าจริง ใส่คู่มือผู้ใช้รถ, สมุดรับประกัน และเอกสารประกันภัย ก็กินพื้นที่ไปครึ่งหนึ่งแล้ว แถมยังกั้นพื้นที่กล่องเก็บของฝั่งขวาไว้อีก สงสัยว่าขนาดของเครื่องปรับอากาศมันใหญ่จนต้องงอกออกมาทางด้านข้างเลยหรือ?
มองลงต่ำมานิดหน่อย ในขณะที่ Vios ให้กล่องเก็บของขนาดเล็กพร้อมฝาเปิดที่พยายามจะเป็นที่พักแขนในตัว แต่ Yaris กลับไม่มีอะไรให้มาเกินไปกว่าเบรกมือ 1 จุด, ช่องวางแก้วสำหรับผู้โดยสารด้านหลัง 1 ตำแหน่ง, ช่องเสียบกล่อง CD ที่ใช้งานไม่ได้จริง
ทัศนวิสัย: การมองเห็นที่พัฒนาขึ้น
ทัศนวิสัยด้านหน้าไม่แตกต่างไปจาก Vios เลย ไม่ว่าคุณจะมองไปทางฝากระโปรงหน้า, กระจกมองข้างฝั่งขวา หรือซ้าย มุมมองจะไม่แตกต่างไปจากภาพที่คุณจะได้เห็นเมื่อนั่งอยู่หลังพวงมาลัยของ Vios ใหม่
แต่ถ้าเทียบกับ Yaris รุ่นเดิมแล้ว ทัศนวิสัยด้านหน้าดีขึ้นกว่ารุ่นเดิมจนสัมผัสได้!
เสาหลังคาคู่หน้า A-Pillar ฝั่งขวา มีการบดบังรถที่แล่นสวนมาบนทางโค้งน้อยลงไปจาก Yaris รุ่นเดิมมาก กระจกมองข้าง แม้ให้การมองเห็นรถที่แล่นมาจากด้านหลังได้ดี แต่พื้นที่กรอบพลาสติกด้านในยังกินพื้นที่เข้ามายังขอบล่างฝั่งขวาของบานกระจกมองข้างอยู่บ้าง
เสาหลังคาคู่หน้า A-Pillar ฝั่งซ้าย ยังแอบมีการบดบังรถที่แล่นสวนทางมาขณะเลี้ยวกลับอยู่บ้างในบางรูปแบบของจุดกลับรถ แต่นอกนั้นจะไม่มีปัญหามากนัก ถือว่าโปร่งขึ้นกว่า Yaris เดิม
กระจกมองข้างฝั่งซ้ายก็ยังมองเห็นรถคันที่แล่นตามมาได้ดี เพียงแต่ขอบกระจกด้านล่างฝั่งซ้ายอาจถูกกรอบด้านในกระจกบดบังพื้นที่เข้ามาบ้าง
แต่สำหรับทัศนวิสัยด้านหลัง ในเมื่อเสาหลังคาคู่หลังมีขนาดใหญ่พอจะทำให้นึกถึงเสาหลังคาคู่หลังของ Nissan Tiida Hatchback 5 ประตู ก็ต้องทำใจว่าอาจมีการบดบังรถจักรยานยนต์ที่แล่นตามมาจากด้านหลังฝั่งซ้ายของรถได้อยู่บ้าง ถ้าคิดจะเปลี่ยนช่องทาง ควรเพิ่มความระมัดระวัง และอย่าพึ่งพากระจกมองข้างฝั่งซ้ายเพียงอย่างเดียว
รายละเอียดด้านวิศวกรรมและการทดลองขับ: สมรรถนะที่เหนือความคาดหมาย
เมื่อ Toyota ตัดสินใจให้ Yaris ใหม่ เปลี่ยนกลุ่มตลาดจากเดิมที่เป็น B-Segment Hatchback 1,500 ซีซี ให้ลงมาฟัดเหวี่ยงกับกลุ่ม B-Segment Eco Car Hatchback 1,200 ซีซี ทำให้ Toyota จำเป็นต้องลดขนาดเครื่องยนต์ลงมาจากเดิม เลิกใช้เครื่องยนต์รหัส 1NZ-FE บล็อก 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว 1,497 ซีซี (109 แรงม้า) พร้อมเกียร์ธรรมดา 5 จังหวะ หรือเกียร์อัตโนมัติ 4 จังหวะ ECT-i ที่เคยใช้กับ Vios เดิม
และแทนที่ด้วยเครื่องยนต์ 3NR-FE บล็อก 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว ความจุ 1,197 ซีซี กำลังอัด 11.5:1 หัวฉีด EFI มาพร้อมระบบแปรผันวาล์วทั้งฝั่งไอดีและไอเสีย (Dual VVT-i) กำลังสูงสุด 86 แรงม้า (PS) ที่ 6,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 108 นิวตันเมตร (11.0 กก.-ม.) ที่ 4,000 รอบ/นาที
เครื่องยนต์รุ่นนี้ผ่านการทดสอบตามมาตรฐาน Eco Car โดยใช้น้ำมันเครื่อง 0W20
เครื่องยนต์ลูกนี้จะส่งกำลังสู่ระบบขับเคลื่อนล้อหน้าด้วยทางเลือกที่มีเพียงแค่เกียร์อัตโนมัติ อัตราทดแปรผัน Super CVT-i เท่านั้น โดยไร้เงาของเกียร์ธรรมดา
อัตราทดเกียร์เดินหน้าอยู่ที่ 2.386 – 0.426:1 อัตราทดเกียร์ถอยหลังอยู่ที่ 2.505 – 1.736:1 ส่วนอัตราทดเฟืองท้ายสูงถึง 5.833:1
เหตุผลที่ Yaris ใหม่ มีให้เลือกแค่เกียร์อัตโนมัติ CVT ไม่มีรุ่นเกียร์ธรรมดา Toyota อ้างว่า จากการสำรวจวิจัยตลาดในไทย พบว่าตลาดรถยนต์นั่งกลุ่ม Eco Car มีความต้องการเกียร์ธรรมดาไม่ถึง 5%
มีเสียงลือเสียงเล่าอ้างว่า ส่วนหนึ่งน่าจะเป็นผลจากการที่ Yaris ใหม่ รุ่นเกียร์ธรรมดา อาจไม่ผ่านการทดสอบด้านมลพิษ คืออาจปล่อย CO2 ออกมามากกว่ารุ่น CVT จนเกินกว่าค่ากำหนดของรัฐบาล
Toyota เคลมว่าเกียร์ CVT รุ่นนี้ถูกออกแบบมาให้ใช้น้ำมันเกียร์ CVT ของตนเองโดยเฉพาะ และเป็นคนละเกรดกับที่ใส่ให้ในเกียร์ CVT ของ Corolla Altis MY 2010-2013 อีกทั้งยังมีท่อหายใจยกไว้สูงเพื่อรองรับปัญหาน้ำท่วม
ตัวเลขสมรรถนะที่ไม่น่าเชื่อ: Yaris 1.2 ลิตร เร็วพอๆ กับ Vios 1.5 ลิตร?
จากการทดสอบอัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. Yaris 1.2 ลิตร CVT ทำได้ในเวลา 12.4 วินาที และอัตราเร่ง 80-120 กม./ชม. ทำได้ที่ 8.9 วินาที
เป็นไงครับ…เหวอไหม?
ตัวเลขออกมาทำให้ผมและทีมงานอ้าปากหวอ! ตัวเลขอัตราเร่งทั้ง 0-100 และ 80-120 กม./ชม. ออกมาพอกันกับ Toyota Vios พี่น้องร่วมตระกูล Platform ที่ใช้เครื่องยนต์ 1,500 ซีซี และเกียร์อัตโนมัติ 4 จังหวะ!
เราแทบไม่ต้องมองคู่แข่งในพิกัดเดียวกันคันอื่นๆ เพราะจากตัวเลขนี้แสดงให้ประจักษ์แล้วว่า Yaris 1.2 ลิตร CVT คือรถยนต์นั่งขนาดเล็กพิกัด Eco Car ประกอบในไทย ที่ทำตัวเลขอัตราเร่งได้เร็วและแรงมากที่สุดในตลาดบ้านเราตอนนี้! ทาบรัศมี Vios ญาติผู้พี่รุ่น 4AT กันชัดๆ!
เกิดอะไรขึ้น?
อุณหภูมิ: อุณหภูมิในคืนที่ทดลองจับเวลาอยู่ที่ 22-23 องศาเซลเซียส ซึ่งอากาศเย็นจะช่วยให้เครื่องยนต์ทำงานได้ดีขึ้น
อัตราทดเกียร์และเฟืองท้าย: Toyota ทดเฟืองท้ายให้ Yaris ใหม่ ถึง 5.833:1 ซึ่งสูงมาก ทำให้รถออกตัวได้จัดจ้าน
น้ำมัน: มีการสันนิษฐานว่าอาจเป็นผลจากน้ำมันที่ใช้ในการทดลอง
ความเร็วสูงสุดนั้น หลังจาก 5,000 รอบ/นาที เครื่องยนต์จะไต่ความเร็วต่อขึ้นไปค่อนข้างช้า
ในการขับขี่ใช้งานจริง ถ้าคุณเข้าใจตลอดว่านี่คือรถยนต์ 1,200 ซีซี อัตราเร่งที่มีมาให้ถือว่าเพียงพอและแรงเกินความคาดหมาย เพราะการไต่ความเร็วขึ้นไปให้แรงดึงและความว่องไวพอๆกับ Vios ใหม่ 1,500 ซีซี
หากต้องการให้รถพุ่งออกไปทันอกทันใจ ควรเหยียบคันเร่งลงไปจมมิดแต่แรก ตำแหน่ง S จะช่วยให้เครื่องยนต์เตรียมพร้อมรับการตอกฝ่าเท้าได้ทันที ส่วนเกียร์ B มีไว้ใช้ช่วยขึ้นและลงเขา
การเก็บเสียงและการบังคับควบคุม: ความนิ่งที่น่าประทับใจ
การเก็บเสียงในห้องโดยสารทำได้ดีกว่าที่คิด ในช่วงความเร็วเดินทาง 100-120 กม./ชม. แทบไม่ต้องเพิ่มเสียงพูด และผมมองว่าเงียบกว่า Vios นิดหน่อยด้วยซ้ำ แต่หลังจากนั้นเสียงลมจะเริ่มดังขึ้น
พวงมาลัยเป็นแบบแร็คแอนด์พีเนียน พร้อมเพาเวอร์ผ่อนแรงแบบไฟฟ้า EPS ปรับน้ำหนักตามความเร็วรถ ใช้แร็คชุดเดียวกับ Vios แต่ทีมวิศวกรได้ปรับปรุงระยะรอบมอเตอร์ให้เพิ่มขึ้น เพื่อให้พวงมาลัยหน่วงมือมากขึ้น หวังสร้างความมั่นใจในการขับขี่ทางตรง
หลายคนเป็นห่วงว่าพวงมาลัยจะดีขึ้นหรือไม่ ผมตอบได้ว่า ถึงแม้จะยังคง “ไร้ชีวิตชีวา” ในแบบพวงมาลัยไฟฟ้า แต่ในรายละเอียดปลีกย่อย มันดีขึ้นกว่าเดิมอย่างชัดเจนเมื่อเทียบกับ Yaris เดิม
ถ้าเทียบกับ Vios ใหม่ แม้ใช้แร็คเหมือนกัน แต่การปรับเซ็ตใหม่ก็ช่วยให้เห็นความแตกต่าง แม้ไม่มากนัก แต่ชัดเจน หากสังเกตให้ดีๆ
พวงมาลัยของ Vios และ Yaris ใหม่ มาในสไตล์คล้าย Mercedes-Benz คือ หมุนพวงมาลัยเลี้ยวซ้ายหรือขวา วงพวงมาลัยจะขยับขึ้นๆลงๆ ตามการหมุน นี่คือลักษณะของพวงมาลัยแบบแกนเยื้องศูนย์ เพื่อช่วยให้การประคองพวงมาลัยในความเร็วสูงแม่นยำขึ้น
การตอบสนองในย่านความเร็วต่ำ เบาแรง หมุนคล่อง แต่ไม่เบาโหวงไปเสียทีเดียว พอมีอาการขืนมือปรากฏอยู่บ้างไม่มากนัก แต่ไม่ขืนมือเท่า Honda City รุ่นปัจจุบัน
ในการขับขี่ด้วยความเร็วเดินทางปกติ จนถึงความเร็วสูง พวงมาลัยของ Yaris จะนิ่งและให้การบังคับควบคุมไว้ใจได้กว่าใน Vios ไม่ต้องเลี้ยงซ้ายเลี้ยงขวาตลอด ถือว่ามีการปรับปรุงให้ดีขึ้น
ส่วนการบังคับรถขณะเข้าโค้ง ตอบสนองได้ดีอย่างควรเป็น เลี้ยงพวงมาลัยในโค้งให้นิ่งๆ ทำได้ไม่ยาก บังคับควบคุมรถในทางโค้งได้นิ่งขึ้น จนสงสัยว่าทำไมถึงไม่นำ Setting แบบนี้ไปใส่ใน Vios ใหม่ตั้งแต่แรก
ข้อที่ควรปรับปรุงคือ Toyota น่าจะใส่ชุดปรับระยะใกล้-ห่างจากพวงมาลัยมาให้เพิ่มเติมจากเดิมที่ปรับระดับได้แค่สูง-ต่ำ
ช่วงล่าง: ความสบายที่พัฒนาขึ้น
ระบบกันสะเทือนหน้าเป็นแบบแมคเฟอร์สันสตรัทพร้อมเหล็กกันโคลง ด้านหลังเป็นแบบทอร์ชันบีมพร้อมคอยล์สปริงและเหล็กกันโคลง ยกชุดจาก Vios แต่ทางวิศวกร Toyota บอกว่ามีการปรับปรุงให้เน้นความนุ่มนวลในการดูดซับแรงสั่นสะเทือนจากพื้นถนนขรุขระ และเพิ่มเสถียรภาพขณะขับขี่ด้วยความเร็วเดินทาง
ในช่วงความเร็วต่ำ ช่วงล่างของ Yaris ใหม่ แข็งกระด้างกว่าที่คิดอยู่นิดหน่อย แต่ไม่หนีจากช่วงล่างของ Suzuki Swift มากนัก การซับแรงสะเทือนตามหลุมบ่อทำได้ไม่ถึงกับดีนัก แต่ถ้าเจอลูกระนาดและใช้ความเร็วต่ำๆ จะพบการ Rebound ของโช้คอัพและสปริง
ในความเร็วเดินทาง ช่วง 40-140 กม./ชม. การทรงตัวถือว่าทำได้ดี และมาในสไตล์เดียวกับ Vios รุ่น E กับ G วิ่งตรงไปข้างหน้าเรื่อยๆ ได้สบายๆ ลดความเหนื่อยล้าในการขับขี่และโดยสารทางไกล
แต่เมื่อพ้นจากความเร็ว 140 กม./ชม. ไปแล้ว จนถึงช่วงความเร็วสูงสุด อาการหน้ารถดิ้นไปตามกระแสลมจะเกิดขึ้น แต่มีไม่มากนัก และด้วยการเซ็ตพวงมาลัยให้ On-center feeling นิ่งที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ทำให้การควบคุมรถขณะเกิดอาการดังกล่าวทำได้อย่างเป็นธรรมชาติและหวาดเสียน้อยกว่าที่คิด มีเสถียรภาพในการทรงตัวย่านความเร็วสูงดีกว่าเพื่อนร่วมพิกัดอย่าง March และ Mirage
ส่วนการเข้าโค้ง Yaris ใหม่ ทำได้ดีกว่าที่คาดคิด ผมยังสามารถพารถเข้าโค้งรูปเคียวบนทางด่วนชั้นที่ 2 ได้สบายๆ ด้วยความเร็ว 95 และ 90 กม./ชม. เลี้ยงนิ่งๆ ในโค้ง นี่เป็นเรื่องที่ผมประหลาดใจเล็กน้อยว่า Yaris ถูกยกระดับเรื่องช่วงล่างขึ้นมาได้ถึงขนาดนี้เลยทีเดียว
ยอมรับเลยว่าคราวนี้ Toyota ตั้งใจทำการบ้านเรื่องการปรับเซ็ตพวงมาลัยและช่วงล่าง แต่ก็ไม่แปลกอะไรถ้า Yaris ได้อานิสงส์การ Set ค่าความหนืดของโช้คอัพและสปริงจาก Vios รุ่น G กับ E มาอย่างชัดเจน
แต่มันขาดความสนุกในการขับขี่อย่างที่ Swift จะให้คุณได้ พวงมาลัยของ Swift ทำตัวเป็นธรรมชาติมากกว่า และการเซ็ตช่วงล่างของ Swift ก็เอื้อให้คุณพามันมุดลัดเลาะไปตามถนนแคบๆ หรือแทรกตัวไปบนทางด่วนได้อย่างคล่องแคล่วและเป็นธรรมชาติกว่านิดหน่อย
ระบบห้ามล้อ: ความปลอดภัยที่ได้มาตรฐาน
ระบบห้ามล้อเป็นแบบหน้าดิสก์-หลังดรัม ทุกรุ่นจะติดตั้งระบบป้องกันล้อล็อก ABS, ระบบกระจายแรงเบรก EBD และระบบเสริมแรงเบรกในภาวะฉุกเฉิน (Brake Assist)
การตอบสนองของเบรก มาในสไตล์เดียวกับ Vios คือ เบรกจิกๆ ดี หรือจะเบรกให้นุ่มนวลก็ได้ ผ้าเบรกจับจานเบรกไว แป้นเบรกค่อนข้างตื้น ระบบป้องกันล้อล็อก ABS ทำงานกำลังดี แต่ต้องกะน้ำหนักเท้ากันสักหน่อย
ในช่วงความเร็วต่ำ เบรกตอบสนองไว หน้ารถจิกและหน่วงความเร็วได้มาก มั่นใจได้ว่าถ้ามีเหตุให้ต้องเบรกกระทันหัน โอกาสจะทิ่มบั้นท้ายรถคันข้างหน้าแทบจะไม่มี
ในช่วงความเร็วเดินทาง หรือความเร็วสูง การหน่วงความเร็วยังทำได้ดี เพียงแต่ถ้าต้องการชะลอรถลงมาแบบไม่รีบร้อนนัก ควรเหยียบคันเร่งลงไปประมาณไม่เกิน 30% จากระยะเหยียบทั้งหมด
โครงสร้างตัวถังและอุปกรณ์ความปลอดภัย: ความคุ้มค่าที่ต้องพิจารณา
โครงสร้างตัวถังยังคงใช้เทคโนโลยีการออกแบบให้ดูดซับแรงปะทะจากการชน GOA เหมือนเดิม และมีการออกแบบชิ้นส่วนตัวถังให้ใช้ร่วมกันได้กับ Vios ใหม่
ส่วนอุปกรณ์ความปลอดภัย ถุงลมนิรภัยคู่หน้า SRS มีมาให้ครบตั้งแต่รุ่น J ECO, พนักศีรษะคู่หน้าแบบ WIL (Whiplash Injury Lessening), เข็มขัดนิรภัยเป็นแบบ ELR 3 จุด ครบทั้ง 5 ตำแหน่ง พร้อมระบบดึงกลับอัตโนมัติ แต่ยังคงปรับระดับสูง-ต่ำไม่ได้ และมีจุดยึดเบาะนิรภัยสำหรับเด็กมาตรฐาน ISOFIX มาให้ที่เบาะหลัง
อัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงเฉลี่ย: ประหยัดจริงหรือไม่?
จากการทดลอง Yaris 1.2 L CVT วิ่งได้ระยะทาง 92.2 กิโลเมตร เติมน้ำมันกลับ 5.54 ลิตร คำนวณแล้วได้อัตราสิ้นเปลืองเฉลี่ย 16.64 กิโลเมตร/ลิตร
ตัวเลขนี้ถือว่าทำได้ดี เป็นไปตามที่คาดการณ์ไว้ เพราะ Yaris เป็นรถยนต์ B-Segment Hatchback ที่ติดตั้งเครื่องยนต์ 1,200 ซีซี เพื่อลงมาสู้ในพิกัด Eco Car
เมื่อเทียบกับกลุ่ม Eco Car ด้วยกัน Yaris ทำตัวเลขในระดับเดียวกันกับ Honda Brio CVT และไม่ใช่ตัวเลขที่แย่ที่สุดในกลุ่ม
แต่เมื่อเทียบกับรถยนต์นั่งกลุ่ม B-Segment อย่าง Vios ละก็ เครื่องยนต์ที่มีความจุกระบอกสูบน้อยกว่า ควรจะประหยัดน้ำมันมากกว่า และตัวเลขที่ออกมาก็เป็นไปตามหลักการดังกล่าว Yaris ใหม่ ทำตัวเลขสมรรถนะได้เท่าๆ กับ Vios 4AT แถมยังประหยัดน้ำมันกว่า
สรุป: Yaris ใหม่ – Vios 5 ประตู เครื่องเล็กกว่า เกียร์ CVT แต่แรงเท่ากัน แถมประหยัดกว่า
Toyota Yaris อาจไม่ใช่ผลงานที่ดีเด่นมากมายนัก และเป็นผลงานที่ออกมาภายใต้การประนีประนอมข้อจำกัดต่างๆ มากมาย จนออกมาเป็น Hatchback คันเล็ก วางเครื่องยนต์ 1,200 ซีซี Eco Car ทั้งที่วิศวกรเขาก็ไม่ได้ตั้งใจให้เป็นเช่นนั้นในตอนแรก แต่กลับทำอัตราเร่งออกมาได้ดีเกินคาด จน Vios 1,500 ซีซี เองถึงกับอ้าปากหวอ
ช่วงล่างดีเทียบเท่า Suzuki Swift เทพประจำในพิกัด Eco Car แถมบางด้านยังแอบดีกว่าเสียด้วย เช่นอาการเด้งเมื่อบรรทุกคนเยอะ, ช่วงจัมพ์คอสะพานก็น้อยกว่า Swift ชัดเจน, เข้าโค้งต่อเนื่องยาวๆ ได้เนียนและนิ่งกว่าที่ทุกคนคิด
เบรกก็จิกดี, ประหยัดน้ำมันใช้ได้, ภายในห้องโดยสารมีพื้นที่ด้านหลังให้นั่งไขว่ห้างได้ แถมพื้นที่ศีรษะยังเยอะกว่า Vios ผู้พี่ด้วยซ้ำ
ไม่แปลกใจถ้า Toyota จะบอกว่าพวกเขาดู Swift ไว้ แล้วพยายามจะเอาชนะรถคันนี้ให้ได้ การเซ็ตรถออกมาแบบนี้ ก็เท่ากับว่าเขาได้ทำในทิศทางเดียวกับที่ผมอยากเห็น
จุดเด่นของ Yaris อยู่ที่สมรรถนะภาพรวมเหนือความคาดหมายเล็กๆ และมีพื้นที่ห้องโดยสารโอ่โถง จะนั่งหรือจะวางของก็ทำได้ดีกว่าคู่แข่งทุกคันในพิกัด Eco Car
แต่ข้อที่ควรปรับปรุงก็ยังมีอยู่ ไม่ว่าจะเป็น การปรับเซ็ตพวงมาลัยที่นอกจากจะต้องมีชุดปรับระยะใกล้-ห่างจากตัวคนขับแล้ว ยังต้องลดอุปนิสัย “ไร้ชีวิตชีวา” ลงเสียที, เข็มขัดนิรภัยคู่หน้าก็ควรจะปรับระดับสูง-ต่ำมาให้ได้แล้ว, รวมถึงการเซ็ตออปชันบางอย่างที่น่าจะให้มาคุ้มค่ากับค่าตัวได้แล้ว
การตัดสินใจซื้อ: ทางเลือกที่หลากหลายในตลาด
มาถึงตรงนี้ ถ้าคุณกำลังชั่งใจอย่างหนักว่าจะเลือก Yaris ดีไหม? นอกจากจะสำรวจเงินในกระเป๋าตัวเองแล้ว ผมอยากให้ลองมองไปยังทางเลือกอื่นๆ เพิ่มเติมให้รอบคอบสักหน่อย ว่าคู่แข่งของ Yaris ตอนนี้มีอะไรบ้าง?
Nissan March ถูกมองข้ามไปเพราะขาดความสดใหม่ ตัวรถมีขนาดเล็ก และสมรรถนะรุ่นเกียร์ CVT จัดว่าอืด
Mitsubishi Mirage ถูกมองข้ามไปทั้งที่เด่นด้วยเครื่องยนต์ 3 สูบ ยังคงแรงและประหยัดน้ำมันมากที่สุดในกลุ่ม Eco Car แต่ทั้งหมดนั้นต้องแลกมาด้วยขนาดตัวถังที่เล็กกว่านิดหน่อย แถมพวงมาลัยยังตอบสนองไม่เป็นธรรมชาติเท่าที่ควร
Honda Brio กลายเป็นว่ายังพอหาที่ยืนในตลาดได้ เพราะวัยรุ่นขาซิ่งจำนวนมากกำลังตามหาโชว์รูมที่มีสต็อกรุ่นเกียร์ธรรมดาเยอะ เพราะตั้งใจซื้อไปทำรถแข่งคันเล็กๆ
มีเพียง Suzuki Swift เท่านั้นที่ลูกค้ากลุ่มมองหา Yaris เลือกจะเปรียบเทียบกัน ซึ่งไม่ใช่เรื่องแปลก เพราะ Toyota เองก็วางให้ Swift เป็นเป้าหมายสำคัญที่พวกเขาต้องการแย่งชิงหัวใจลูกค้ากลุ่มที่เน้นสมรรถนะการควบคุมรถ มากกว่าปกติ
ถึงแม้ Swift จะเคยเป็นเทพด้าน Handling ของกลุ่ม Eco Car และ Yaris ใหม่ก็ทำได้ดีกว่าในด้านการเซ็ตช่วงล่าง แต่ในภาพรวมแล้ว Swift จะยังเอาใจคนรักความสนุกในการขับขี่ได้ดีกว่า Yaris อยู่เล็กน้อย ที่เหลือคือเรื่องความคุ้มค่า Swift รุ่นท็อปให้อุปกรณ์มาพอๆกับ Yaris รุ่นท็อปในราคาที่ถูกกว่าราว 40,000 บาท แต่คงต้องยอมแลกกับพื้นที่ห้องโดยสารของ Yaris ที่กว้างใหญ่และมีเบาะหลังนั่งสบายกว่า แถมพื้นที่วางของด้านหลังรถเยอะกว่าชัดเจน
Yaris หรือ Vios? การเปรียบเทียบราคาที่น่าคิด
ราคาขายปลีกหน้าโชว์รูม:
Yaris ใหม่:
1.2J ECO CVT: 469,000 บาท
1.2J CVT: 519,000 บาท
1.2E CVT: 549,000 บาท
1.2G CVT: 599,000 บาท
Vios ใหม่:
1.5 J 5MT: 559,000 บาท
1.5 J 4AT: 589,000 บาท
1.5 E 5MT: 614,000 บาท
1.5 E 4AT: 649,000 บาท
1.5 G 4AT: 699,000 บาท
1.5 S 4AT: 734,000 บาท
ดูไปดูมา Yaris นี่สงสัยว่าจะเกิดมาเพื่อฆ่าพี่ชายตัวเอง (Vios) ทางอ้อมเหมือนกันนะ ไม่แปลกหรอกที่มีคนเอามันไปเทียบกับ Vios มากพอๆ กับที่เอาไปเปรียบเทียบกับคู่แข่งในเซกเมนต์เดียวกัน
ก็ดูราคาขายสิครับ มันเหลื่อมล้ำทับซ้อนกันอยู่ 3 รุ่นย่อยรวด!
ง่ายๆครับ ถ้าเรามองแบบคนที่มีภาพ Yaris รุ่นเดิมอยู่ในหัว พวกเขาก็นึกว่า Yaris ใหม่นี้ก็ยังเป็น B-Segment คู่แฝดกับ Vios เหมือนรุ่นที่แล้ว อันที่จริงก็เป็นไปตามที่เขาเข้าใจส่วนหนึ่ง เพราะระยะฐานล้อ, ความกว้างตัวถัง และแพลทฟอร์มที่ใช้ก็ยกมาจาก Vios แม้แต่หน้าปัดกับแผงประตูก็มีดีไซน์ที่เหมือนกันเป๊ะ แต่วางเครื่องยนต์ขนาดเล็กลงเหลือ 1,200 ซีซี แล้วพ่วงเกียร์ CVT ก็แค่นั้น
เมื่อมองการใช้งานของลูกค้าส่วนใหญ่ที่ไม่เน้นสมรรถนะหรืออัตราเร่งเป็นหลัก ก็จะพบว่า Yaris แม้จะดูแพงกว่า Eco Car ตัวถัง Hatchback รุ่นอื่นๆ ทั้งหมด แต่ในทางกลับกัน สำหรับคนที่ไม่ได้มีความรู้เรื่องรถยนต์มากนัก Yaris จะกลายเป็น “Vios ที่ถูกลงมาก” จนกลายเป็นทางเลือกอันสมเหตุสมผล ถ้าคุณไม่แคร์ว่าบั้นท้ายรถเป็น Hatchback ท้ายตัด เพราะอัตราเร่งก็พอๆ กัน (ในช่วงฤดูหนาว) และน่าจะด้อยกว่ากันนิดหน่อย (ประมาณ 1 วินาที ใน 0-100 กม./ชม.) แถมช่วงล่างก็ยังยก Setting มาจาก Vios รุ่น G กับ E ที่เน้นความสบายในการเดินทางไกล แต่ยังคงเข้าโค้งต่อเนื่องด้วยความเร็วสูงกว่าปกติได้สบายๆ แม้จะสะเทือนกว่านิดหน่อยในช่วงความเร็วต่ำ แต่ยังสบายกว่า Vios 1.5 S ที่พยายามทำช่วงล่างให้สปอร์ตแต่ยังไม่ดีพอ แถมพื้นที่โดยสารด้านหลังของ Yaris ก็กว้างขวางและนั่งได้สบายกว่า Vios เห็นๆ!
ยิ่งเปรียบเทียบราคากับอุปกรณ์ของ Yaris และ Vios ในแต่ละรุ่นย่อย จะยิ่งพบประเด็นให้ประหลาดใจ เชื่อไหมว่าถ้าคุณเลือก Yaris 1.2 G ตัวท็อป คุณจะจ่ายเงินถูกกว่าการซื้อ Vios ถึง 100,000 บาทพอดี แต่ Yaris ใส่อุปกรณ์มาให้คุณมากกว่า 2 รายการ คือ มือจับเปิดประตูภายนอกเป็นโครเมียม และระบบ Push Start/Smart Entry นอกนั้นอุปกรณ์แทบจะเท่ากัน ไม่เว้นแม้แต่เครื่องปรับอากาศอัตโนมัติ, ถุงลมนิรภัย 2 ใบ และระบบ ABS/EBD กับพวงมาลัย Multi Function เท่ากับว่า ถ้าไม่แคร์อัตราเร่ง, บุคลิกของรถท้ายตัด, แต่สนใจค่าน้ำมันต่อเดือน แล้วเลือก Yaris คุณจ่ายน้อยกว่า แต่ได้ข้าวของเกือบเหมือนกันเลย!
ดังนั้น ใครที่มอง Vios รุ่น 1.5J A/T ไว้ ก็ต้องตั้งคำถามกับตัวเองแล้วว่า:
คุณชอบรถมีท้ายเพราะจะติดแก๊สแล้วมีที่เหลือเพื่อสบายใจงั้นใช่มั้ย? หรือคุณจำเป็นต้องใช้รถเก๋ง Sedan 4 ประตู มีท้ายจริงๆ หรือเปล่า?
หรือว่าคุณมี DNA แห่งความเป็น Minimalism สูง ชอบรถยนต์ที่ “สละแล้วซึ่งอุปกรณ์ต่างๆ” ออปชันไม่ใช่เรื่องใหญ่ แต่ขอให้มีแค่กระจกหน้าต่างไฟฟ้า, พวงมาลัยเพาเวอร์, แอร์ และวิทยุมาให้ก็พอ?
คุณเกลียดเกียร์ CVT ยิ่งกว่าเกลียดขี้หน้าคนข้างบ้านรั้วติดกัน? คุณไม่ชอบมันมากๆ! และยังไงก็คิดว่ารถเกียร์อัตโนมัติ 4 จังหวะเข้าคันเร่งได้ง่ายกว่า หรือทนทานกว่าเมื่อใช้ไปนานๆ?
เพราะถ้าคุณไม่ได้คิดอะไรแบบ 3 ข้อนี้ ผมก็จะบอกว่า Vios J 4AT ราคา 589,000 บาท มันถูกกว่า Yaris ตัว 1.2G แค่ 10,000 บาทเท่านั้นเอง หากเปลี่ยนเป็น Yaris ยอมลดความแรงลงมานิดหนึ่ง (1,500 เหลือ 1,200 ซีซี) คุณจะได้อุปกรณ์ต่างๆมากมาย มีตั้งแต่ล้ออัลลอย, เครื่องปรับอากาศอัตโนมัติ, Push Start/Smart Entry, จอ MID, พวงมาลัย Multi Function แถมไม่ต้องวานคนนั่งข้างให้ช่วยปรับกระจกซ้ายอีกต่อไป มีที่ปัดน้ำฝนที่ปัดเป็นจังหวะได้ และมีเบรก ABS/EBD เพิ่มมาให้… น่าสนเหมือนกันนะ
คำเชิญชวน:
หากคุณกำลังมองหารถยนต์ที่ตอบโจทย์ทั้งความคุ้มค่า, สมรรถนะที่น่าประทับใจ, ความประหยัดน้ำมัน และพื้นที่ใช้สอยที่เหนือกว่าคู่แข่งในกลุ่ม Eco Car Toyota Yaris คือหนึ่งในตัวเลือกที่คุณไม่ควรมองข้าม แต่หากคุณกำลังมองหารถยนต์ที่ให้ความสนุกในการขับขี่อย่างเต็มที่ หรือยังคงยึดติดกับดีไซน์แบบดั้งเดิม อาจมีตัวเลือกอื่นที่เหมาะสมกว่า
ลองเปิดใจสัมผัสกับ Toyota Yaris ใหม่ด้วยตัวคุณเอง หรือปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านยานยนต์เพื่อค้นหารถยนต์ที่ใช่สำหรับคุณ ณ โชว์รูม Toyota ใกล้บ้านคุณ!

