โตโยต้า ยาริส รุ่นใหม่: การกลับมาของ “ความประหลาด” ที่ท้าทายทุกสายตา
ในฐานะผู้คร่ำหวอดในวงการยานยนต์มากว่าทศวรรษ ผมได้เห็นการเปลี่ยนแปลงและพัฒนาการของรถยนต์หลายรุ่น หลายแบรนด์ แต่มีรถยนต์รุ่นหนึ่งที่ยังคงอยู่ในความทรงจำ และสร้างความประหลาดใจให้กับวงการอยู่เสมอ นั่นคือ Toyota Yaris โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อถึงคราวเปิดตัวรุ่นใหม่ ผมมักจะจับตาดูด้วยความคาดหวังปนระแวง เพราะ Yaris ไม่เคยทำให้ผิดหวังในแง่ของการ “เซอร์ไพรส์”
ย้อนกลับไปเมื่อประมาณ 2 ปีก่อน มีข่าวลือแพร่สะพัดในวงการว่า Yaris รุ่นใหม่จะมาพร้อมดีไซน์ที่ “เหลี่ยมๆ ดูสปอร์ตๆ” พร้อมกระจังหน้าที่ชวนให้นึกถึง Mitsubishi RVR/ASX ผมได้แต่ถอนหายใจ เพราะจากประสบการณ์ที่ผ่านมา รถยนต์ที่มีดีไซน์ “ดุๆ แมนๆ” เกินไป มักจะไม่ประสบความสำเร็จในตลาดรถยนต์นั่งขนาดเล็ก หรือ Eco Car ซึ่งส่วนใหญ่กว่า 30-40% เป็นกลุ่มลูกค้าผู้หญิงที่ชื่นชอบรถยนต์ที่มีเส้นสายโค้งมน น่ารัก
ค่ำคืนนั้น ผมจินตนาการถึง Yaris ใหม่ที่อาจจะกลายเป็นรถ Hatchback 5 ประตูคันใหญ่ขึ้น ใช้เสา A-pillar ร่วมกับ Vios รุ่นใหม่ (ซึ่งตอนนั้นยังไม่มีใครได้เห็นตัวจริง) ผมเผลอหลับไปพร้อมกับภาพเหล่านั้น
เช้าวันหนึ่งในเดือนเมษายน 2013 ความคิดของผมถูกกระแทกอย่างแรงด้วยภาพถ่ายที่หลุดมาจากงาน Auto Shanghai 2013 ด้านหน้าของ Yaris ใหม่ที่จะทำตลาดในไทยนั้น กลับมีชิ้นส่วนที่ดูคล้ายกับ “นายจันหนวดเขี้ยว” หรือ “อาเหล่ากง” ชัดเจน และที่น่าตกใจกว่านั้นคือ ชุดไฟท้ายที่ดูละม้ายคล้ายกับ “ก้อนน้ำมูกในวันที่เลือดกำเดาไหล”
“จบกัน…แบบนี้ ขายผู้ชายได้ แต่ขายผู้หญิงยาก มีทางเดียวคือต้องใช้การตลาดแบบสีสัน (Colorful Marketing) พยายามหาเฉดสีตัวถังสวยๆ มาพ่นให้กับรถรุ่นนี้ ไม่อย่างนั้นแล้ว ผู้หญิงจะไม่เหลียวแลแน่” ผมคิดในใจ
ประจวบเหมาะกับช่วงเวลาที่ Yaris รุ่นใหม่นี้เปิดตัว เป็นช่วงที่โครงการคืนภาษีรถคันแรกของรัฐบาลในปี 2011-2012 เพิ่งสิ้นสุดลง ตลาดรถยนต์ในไทยปั่นป่วนพอสมควร ผู้บริโภคดีใจ แต่ผู้ผลิตกลับต้องเผชิญกับรถค้างสต็อกจำนวนมาก จนต้องเช่าลานจอดรถเพิ่ม และออกโปรโมชั่นระบายสต็อกอย่างหนัก
ปี 2013 กำลังซื้อหดหาย ตลาดรถยนต์กลุ่ม B-Segment (1,500 ซีซี) และ Eco Car (1,200 ซีซี) ได้รับผลกระทบอย่างรุนแรงที่สุด แม้จะอัดแคมเปญล่อตาล่อใจเพียงใด ยอดขายก็ยังไม่กระเตื้องขึ้น
ในสภาวะเช่นนี้ การเปิดตัวรถยนต์รุ่นใหม่ในกลุ่ม Eco Car หรือ B-Segment จึงเป็นเรื่องที่ต้องทำใจล่วงหน้า หากกระแสไม่เปรี้ยงปร้าง ก็ต้องเตรียมรับกับยอดขายที่หดหาย Yaris เองก็ตกอยู่ในชะตากรรมนี้ ร่วมกับ Vios พี่น้องร่วมแพลตฟอร์ม
การที่ Toyota ต้องเปิดตัว Yaris ในเวลานั้น ดูเหมือนจะเป็น “ไฟท์บังคับ” เลี่ยงไม่ได้ หากเลื่อนออกไปอีก ก็คงไม่สมเหตุสมผลแล้ว
สุดท้าย เป็นไปตามคาด กระแสพูดถึง Yaris ในโซเชียลมีเดียบางตาอย่างผิดคาด เมื่อเทียบกับรถรุ่นใหม่ๆ ของ Toyota ในอดีต มีน้อยคนที่จะถามไถ่ ยิ่งเมื่อเทียบกับ Nissan Teana ที่เปิดตัวก่อนหน้าเพียงวันเดียว ก็แทบจะกลบกระแส Yaris ไปจนหมดสิ้น
แต่เมื่อเวลาผ่านไป ผมเริ่มไม่แน่ใจว่าความคิดของผมจะต้องเปลี่ยนไปหรือไม่ เพราะกระแสการพูดถึง Yaris ในโซเชียลมีเดียกลับเริ่มเพิ่มมากขึ้น และปริมาณ Yaris ใหม่ที่เริ่มเห็นบนท้องถนนมากขึ้นทุกวัน ก็แสดงให้เห็นว่าลูกค้าเริ่มให้การยอมรับ “น้องใหม่หน้าประหลาด” คันนี้แล้ว
วันนี้ คำถามที่หลายคนยังคงคาใจ คงหนีไม่พ้นเรื่องสมรรถนะ อัตราเร่งจะอืดหรือไม่? ประหยัดน้ำมันแค่ไหน? ขับดีไหม? พวงมาลัยแก้ไขแล้วหรือยัง? ช่วงล่างเป็นอย่างไร? และที่สำคัญ ควรจะซื้อรุ่นไหนดี? บางคนอาจสงสัยว่าระหว่าง Yaris กับ Swift ควรเลือกอะไรดี หรือบางคนอาจถึงขั้นจะเปลี่ยนใจจาก Vios มาคบ Yaris เลยหรือไม่?
ผมจะพยายามตอบคำถามเหล่านี้ให้กระจ่างที่สุดในบทความนี้ แต่ผมไม่แน่ใจว่าคำตอบที่ผมจะให้ จะยิ่งสร้างความกังขาให้คุณมากขึ้นหรือเปล่า หากผมจะบอกว่า อัตราเร่งที่ออกมานั้นไวพอๆ กับ Vios แถมประหยัดกว่า Vios และมีพื้นที่ห้องโดยสารกว้างขวางกว่า Vios (โดยเฉพาะด้านหลัง)
ไม่เชื่อใช่ไหมละ? Yaris ยังคงทำตัวเป็นรถยนต์ที่สร้างความประหลาดใจให้กับลูกค้าทั่วโลกในแทบทุกครั้งที่เปิดตัว เหมือนเช่นรุ่นแรกของมันเมื่อ 15 ปีก่อนหน้านี้!
Yaris: จากจุดเริ่มต้นที่ยุโรป สู่การพลิกโฉมในตลาดเอเชีย
Toyota มีความพยายามอย่างต่อเนื่องที่จะบุกตลาดรถยนต์ Sub-Compact Hatchback ในยุโรปมานาน ตั้งแต่สมัยปรับปรุงตระกูล Publica จนออกมาเป็น Starlet ซึ่งทำตลาดมาเรื่อยๆ แต่ก็เริ่มดูน่าเบื่อสำหรับชาวยุโรปและชาวญี่ปุ่นเอง
พวกเขาจึงมอบหมายให้ Sotiris Kovos นักออกแบบดาวรุ่งแห่ง Toyota European Office of Creation (EPOC) หาแนวทางใหม่ในการพัฒนารถยนต์นั่งขนาดเล็กเพื่อเอาใจชาวยุโรปโดยเฉพาะ
เดือนกันยายน 1997 Toyota เปิดตัวรถยนต์ต้นแบบตระกูล Fun 3 รุ่น คือ FunTime, FunCoupe และ FunCargo ในงาน Frankfurt Motor Show เพื่อส่งสัญญาณว่ารถยนต์ขนาดเล็กจาก Toyota นับจากนั้น จะมีเส้นสายที่ถอดแบบมาจากรถต้นแบบเหล่านี้ และมาพร้อมโครงสร้างพื้นฐานวิศวกรรมใหม่ที่เรียกว่า NBC (New Basic Car)
ปี 1998 Toyota เผยโฉม Yaris เป็นครั้งแรก และเริ่มทำตลาดในยุโรป ปี 1999 ถือเป็นภาพลักษณ์ใหม่ที่ทำให้คนยุโรปหันมามองแบรนด์ Toyota อีกครั้งอย่างจริงจัง
ชื่อ Yaris มาจากการจ้างนักตั้งชื่อสินค้าชื่อดัง เขาดูรถ 5 นาที แล้วกลับไปหาชื่อที่เหมาะสม เขาเลือกใช้ชื่อ Yaris เพราะ “Ya” ในภาษาเยอรมันแปลว่า “Yes” หรือ “ใช่” ในภาษาอังกฤษ และ “Charis” เป็นเทพแห่งความหรูหราและความงามในเทพนิยายกรีกโบราณ
Yaris ถูกเปิดตัวในตลาดญี่ปุ่นด้วยชื่อ VITZ เมื่อวันที่ 13 มกราคม 1999 ก่อนจะส่งไปทำตลาดในออสเตรเลียและนิวซีแลนด์ด้วยชื่อ ECHO ส่วนตัวถัง Sedan 2 และ 4 ประตู ขายในญี่ปุ่นชื่อ Platz ส่วนตลาดอื่นๆ ใช้ชื่อ ECHO เช่นกัน แต่เป็นเพียง 2 ตัวถังที่ขายไม่ค่อยดีนัก เพราะรุ่น Hatchback ขายดีถล่มทลาย
Yaris รุ่นแรกประสบความสำเร็จด้านยอดขายในยุโรปและญี่ปุ่นอย่างสูง แถมยังคว้ารางวัล European Car of the Year ประจำปี 2000 ซึ่งปกติจะเป็นรถยุโรปเท่านั้นที่ครองบัลลังก์ได้ มีเพียง Nissan March ปี 1991 เท่านั้นที่เป็นรถญี่ปุ่นรายแรกที่ได้รับรางวัลนี้
รุ่นที่ 2 เปิดตัวในญี่ปุ่นเมื่อ 1 กุมภาพันธ์ 2005 รหัสรุ่น NCP90-NCP91, NCP95 สร้างภายใต้รหัสโครงการ 351L โดย Chief Engineer Kousuke Shibahara เวอร์ชันไทย เปิดตัวครั้งแรก 17 มกราคม 2006 หรือเกือบ 1 ปีให้หลัง รหัสรุ่น NCP91R-AHPGKT ถือเป็น Yaris รุ่นแรกที่ผลิตในประเทศไทย
แม้ยอดขายในตลาดโลกจะยังดี แต่ในไทย การตั้งราคาสูงกว่าคาด เพราะอัดออพชันมาเต็มที่ ทำให้ยอดขายช่วงแรกไม่ดีนัก ชมรมดีลเลอร์ Toyota ในกรุงเทพฯ ต้องประชุมเรียกร้องให้ Toyota Motor Thailand ออกแคมเปญกระตุ้นยอดขาย จน Yaris ขายได้ในระดับเรื่อยๆ จาก 1,000 คัน/เดือน ค่อยๆ ลดลงเหลือ 900 และ 800 คัน/เดือน
รุ่นที่ 3 เปิดตัวในญี่ปุ่น 22 ธันวาคม 2010 ที่ Yokohama คราวนี้ Toyota เลือกทำตลาด Yaris รุ่นนี้เฉพาะในญี่ปุ่น ยุโรป ออสเตรเลีย และนิวซีแลนด์ แต่ยอดขายก็ยังไม่เปรี้ยงปร้างนักเมื่อเทียบกับ 2 รุ่นก่อนหน้า
ตอนแรก คนไทยคาดหวังว่า Yaris เวอร์ชันญี่ปุ่น/ยุโรป และรุ่นที่ 3 นี้แหละ จะเข้ามาประกอบขายในไทย แต่กลับมีความเปลี่ยนแปลงที่ไม่คาดคิดเกิดขึ้น ทั้งหมดเป็นผลพวงจากการที่ Toyota ตัดสินใจร่วมขบวนผู้ผลิตรถยนต์กลุ่มแรก ที่ขอใช้สิทธิประโยชน์ตามโครงการ Eco Car ของรัฐบาล ในช่วงท้าย แม้จะไม่เห็นด้วยในตอนแรก
คำถามที่ตามมาคือ คราวนี้ Toyota จะเลือกรถยนต์รุ่นใดมาทำตลาดกลุ่มนี้ดี?
การกำเนิดของ Yaris L: บทพิสูจน์ภายใต้เงื่อนไข Eco Car
จากข้อจำกัดมากมายจนในที่สุดก็ลงตัวว่า ในเมื่อข้อกำหนดของโครงการ Eco Car ระบุชัดเจนว่า ต้องผลิตรถยนต์รุ่นใหม่ที่ยังไม่เคยจำหน่ายในประเทศใดมาก่อน การนำ Yaris รุ่นที่ 3 ที่เตรียมผลิตขายในญี่ปุ่นและยุโรป ซึ่งโครงการเดินหน้าไปไกลมากแล้ว มาพัฒนาเพื่อผลิตขายในไทย จึงเป็นไปไม่ได้
ครั้นจะนำ Aygo รถยนต์ที่พัฒนาร่วมกับ PSA Peugeot Citroen มาทำ ก็ดูจะเล็กไปสำหรับตลาดไทย ซึ่งลูกค้าให้ความสำคัญกับภาพลักษณ์ทางสังคมไม่แพ้คุณสมบัติด้านต่างๆ อีกทั้งยังมีข้อตกลงกับ PSA ว่า ไม่สามารถผลิตขายที่อื่นนอกเหนือจากโรงงานในสาธารณรัฐเช็ก และไม่สามารถขายในโซนอื่นนอกจากยุโรปได้
ดังนั้น จึงเหลือทางเลือกเพียงทางเดียว คือ Toyota ต้องพัฒนา Yaris รุ่นใหม่ขึ้นมาอีก 1 ตัวถัง เพื่อเอาใจตลาดศักยภาพสูงอย่างจีน ซึ่งต้องการรถยนต์ Hatchback ขนาดเล็ก แต่มีพื้นที่ใช้สอยเยอะกว่า Yaris เวอร์ชันญี่ปุ่น/ยุโรปอย่างชัดเจน โดยใช้ Platform และโครงสร้างวิศวกรรมบางส่วนร่วมกับ Vios แต่มีการปรับปรุงให้เข้ากับข้อกำหนดของโครงการนี้
TakeShi Matsuda: Chief Engineer ผู้พัฒนา Yaris และ Vios รุ่นล่าสุด บอกว่า “ความตั้งใจของเขาตอนแรกคือทำ Yaris รุ่นนี้ให้เป็นรุ่นเปลี่ยนโฉม Full Model Change ของ Yaris สำหรับตลาดทั่วโลกที่ไม่ใช่ยุโรป หรือญี่ปุ่น แต่เมื่อตลาดไทยมีนโยบายให้ทำ Yaris รุ่นนี้เป็น Eco Car เขาจึงต้องหาทางออกให้กับสารพัดคำถามและข้อจำกัดต่างๆ ซึ่งเกิดขึ้นมากมาย และผลลัพธ์ก็ออกมาเป็น Yaris อย่างที่เห็นกันอยู่นี้”
1 ปีก่อนการเปิดตัวเวอร์ชันจำหน่ายจริง Toyota เลือกจะเริ่มเกริ่นให้ทั่วโลกรับรู้ถึงการมาถึงของ Hatchback รุ่นใหม่คันนี้ ด้วยการสร้างรถยนต์ต้นแบบสีเขียวในชื่อ Toyota Dear Qin Hatchback เปิดตัวสู่สายตาชาวโลกเป็นครั้งแรก ควบคู่กับ Toyota Dear Qin Sedan สีแดงเลือดหมู ในงาน Beijing Automotive Show ครั้งที่ 12 เมื่อวันที่ 23 เมษายน 2012
Dear Qin ทั้ง 2 คัน เผยให้เห็นแนวโน้มเส้นสายของ Vios และ Hatchback 5 ประตูรุ่นต่อไปสำหรับตลาดโลก ที่จะแตกต่างจากรถรุ่นเดิมอย่างสิ้นเชิง การเผยโฉม Dear Qin คันสีเขียว ซึ่งเป็นตัวแทนของ Yaris ใหม่ที่จะเปิดตัวในอีก 1 ปีหลังจากนั้น เป็นการสื่อสารให้โลกรู้ว่า รถคันนี้ถูกออกแบบมาเพื่อเอาใจลูกค้าชาวจีน ในฐานะตลาดเป้าหมายหลัก
เมื่อเป้าหมายในการพัฒนารถยนต์คันนี้อยู่ที่การเอาใจลูกค้าชาวจีน พวกเขาจึงเลือกเปิดตัว Yaris รุ่นประหลาดนี้เป็นครั้งแรกในโลก ที่งาน Auto Shanghai 2013 เมื่อวันที่ 20 เมษายน 2013
แต่กว่าจะพร้อมออกสู่ตลาดจีน GAC-Toyota บริษัทร่วมทุนของ Toyota กับชาวจีน ที่จะรับหน้าที่ผลิตและจำหน่าย Yaris ต้องรอถึง 26 สิงหาคม 2013 จึงจะเริ่มปล่อยข้อมูลตัวรถทั้งหมดออกมา และเริ่มส่งรถยนต์ขึ้นโชว์รูมในชื่อ Yaris-L เมื่อวันที่ 1 กันยายน 2013
ไทยถือเป็นประเทศลำดับ 2 ของโลก ที่ Toyota เผยโฉม Yaris ใหม่รุ่นนี้ งานเปิดตัวมีขึ้น 22 ตุลาคม 2013 ณ ห้างสรรพสินค้า Central World
TakeShi Matsuda: Chief Engineer ผู้รับผิดชอบโครงการพัฒนา Vios และ Yaris สำหรับตลาดกลุ่มเอเชีย บอกว่า ในตอนแรก เขาตั้งใจสร้างรถคันนี้ให้เป็น B-Segment Hatchback ในฐานะรุ่นเปลี่ยนโฉมใหม่ทั้งคันของ Yaris เพื่อตลาดเอเชีย โดย “ไม่ได้ตั้งใจทำรถคันนี้ให้เป็น Eco Car มาตั้งแต่แรก”
ทว่า เมื่อนโยบายของผู้บริหารกำหนดว่า สำหรับตลาดไทย รถคันนี้ต้องเข้ามาทำตลาดในฐานะ Eco Car มันจึงเกิดข้อจำกัดมากมาย เขาและทีมงานจึงพยายามเอาชนะอุปสรรคเหล่านั้นอย่างดีที่สุด
Matsuda-san จึงเลือกที่จะไม่ประนีประนอมกับประเด็นเรื่องเส้นสายของตัวรถ เขาให้ความสำคัญกับการออกแบบภายนอกและภายใน ซึ่งต้องนั่งสบาย ไม่เบียดเสียดกัน ขณะเดียวกัน ต้องยกระดับความประหยัดน้ำมัน ความเงียบในห้องโดยสาร และการเกาะถนน ชนิดที่ว่าถ้าเทียบกับรุ่นก่อนแล้ว ต้องเห็นความแตกต่างอย่างชัดเจน
ดีไซน์ภายนอก: การผสมผสานที่สร้างความประหลาดใจ
Yaris ใหม่ มีตัวถังยาว 4,115 มม. กว้าง 1,700 มม. สูง 1,475 มม. ระยะฐานล้อ 2,550 มม. เมื่อเทียบกับ Yaris รุ่นก่อน (ยาว 3,800 มม. กว้าง 1,695 มม. สูง 1,520 มม. ระยะฐานล้อ 2,460 มม.) จะพบว่า Yaris ใหม่ ยาวขึ้น 315 มม. กว้างขึ้น 5 มม. เตี้ยลง 45 มม. และมีระยะฐานล้อยาวขึ้น 90 มม.
มิติภายในที่เพิ่มขึ้นตามมาคือ ระยะห่างระหว่างผู้โดยสารตอนหน้าและหลังเพิ่มเป็น 912 มม. (มากกว่าเดิม 46 มม.) พื้นที่วางเท้าผู้โดยสารด้านหลังยาว 663 มม. (ยาวกว่าเดิม 77 มม.) แผงพนักพิงเบาะหลังกว้าง 1,310 มม. (มากกว่ารุ่นเดิม 10 มม.) ระยะห่างจากจุดกึ่งกลางล้อหลัง – กันชนหลังยาว 690 มม. (ยาวกว่าเดิม 110 มม.) ทำให้ห้องเก็บสัมภาระท้ายรถยาว 734 มม. (ยาวกว่าเดิม 140 มม.) และมีปริมาตรความจุถึง 326 ลิตร
เส้นสายภายนอกมาในสไตล์เฉียบคม เน้นเหลี่ยมสัน พร้อมกระจังหน้าที่ดูคล้าย Mitsubishi RVR/ASX หรือ Lancer EX เสียด้วยซ้ำ แต่เพิ่มความแตกต่างด้วยแถบสีเงินแบบ “หนวดปลาดุก” จนผมแทบอยากจะตั้งฉายารถคันนี้ว่า “Yaris รุ่นลุงหนวด!”
กระจังหน้าในรุ่น G และ E เป็น “หนวดสีเงิน” ส่วนรุ่น J และ J ECO เป็น “หนวดสีดำ” มือจับประตูภายนอกรุ่น G เป็นโครเมียม ส่วนรุ่นอื่นๆ เป็นสีเดียวกับตัวถัง
ชุดไฟหน้ารุ่น G เป็นโคมโปรเจคเตอร์ ส่วนรุ่นอื่นๆ เป็น Multi Reflector ธรรมดา กระจกมองข้างรุ่น G, E, J เป็นสีเดียวกับตัวถัง ส่วนรุ่น J ECO เป็นสีดำ เฉพาะรุ่น G มีไฟเลี้ยวติดตั้งมาด้วย
รายละเอียดภายนอกบางชิ้นสามารถใช้ร่วมกับ Vios ได้ เช่น ครีบรีดอากาศที่เสาขอบประตูใกล้กระจกมองข้าง หรือมือจับประตูทั้ง 4 ชิ้น กระจกหน้าต่างคู่หน้าก็ใช้ทดแทนกับ Vios ได้ กระจกบังลมหน้าในรุ่น G เป็น Acoustic Glass เสริมฟิล์มกันเสียง
ส่วนบั้นท้ายนั้น ทีมออกแบบน่าจะอยากสร้างความต่อเนื่องของเส้นสายจากหน้าต่างประตูคู่หลังจรดกระจกบังลมหลัง จึงต้องมีแผงพลาสติกสีดำ Glossy มาแปะไว้เชื่อมต่อ และทำชุดไฟท้ายให้มีกรอบทรงประหลาดๆ โดยใช้กรอบท่อนล่างของ Vios ลากเส้นขึ้นไปให้ยาว ในแบบที่ไม่เหมือนใคร
เข้าใจว่าอยากทำไฟท้ายให้ฉีกแนว ล้ำอวกาศ เหมือนในรถต้นแบบ Dear Qin แต่พอออกมาจริง นอกจากจะไปคล้ายกับไฟท้าย Peugeot 208 ใหม่แล้ว มันยังทำลายความลงตัวของงานออกแบบฝาประตูคู่หลังและบานประตูคู่หลัง จนทำให้บั้นท้ายดูแปลกๆ ประดักประเดิด น่าเสียดายยิ่ง เหมือนมีใครเอาก้อนเลือดกำเดาไหลไปแปะอยู่กับไฟท้ายของ Vios ยังไงยังงั้น!
ทุกรุ่นติดตั้งใบปัดน้ำฝนพร้อมที่ฉีดน้ำล้างกระจกบังลมหลัง ทับทิมสะท้อนแสงมุมกันชนด้านล่าง รวมถึงสปอยเลอร์เหนือกระจกบานหลังมาให้เกือบทุกรุ่น
แถบประดับเหนือช่องใส่ป้ายทะเบียนหลัง รุ่น G เป็นโครเมียม รุ่น E เป็นสีเดียวกับตัวถัง ส่วนรุ่น J เป็นสีดำ
รุ่น G ให้ล้ออัลลอย 15 นิ้ว ยาง 185/60 R15 ขณะที่รุ่น E ได้ล้อกระทะ 15 นิ้วพร้อมฝาครอบล้อ ถ้าเป็นรุ่น J ได้ล้อกระทะ 14 นิ้วพร้อมฝาครอบล้อ ยาง 175/65 R14 แต่รุ่นถูกสุด J Eco ไม่มีแม้แต่ฝาครอบล้อ เป็นเพียงล้อกระทะเหล็กสีดำ ยางขนาดเดียวกันกับรุ่น J 175/65 R14
ภายในห้องโดยสาร: ความคุ้นเคยจาก Vios ที่ปรับปรุงเพื่อ Yaris
ระบบกุญแจในรุ่น G เป็นรีโมท Keyless-Entry และ Push Start พร้อมระบบกันขโมย Immobilizer และ TDS ส่วนรุ่น E เป็นกุญแจรีโมทแบบไข แต่ในรุ่นอื่นๆ เป็นกุญแจมาตรฐานของ Toyota โดยเฉพาะรุ่น J กับ J ECO หน้าตาของกุญแจชวนให้นึกถึงดอกกุญแจ Toyota Hilux Mighty-X ปี 1990
เนื่องจากเสา A-Pillar, กรอบช่องประตูคู่หน้า และเสา B-Pillar ยกชุดมาจาก Vios การลุกเข้า-ออกเบาะคู่หน้าจึงเหมือนกันเป๊ะ หากต่างกันแสดงว่าประสาทสัมผัสของคุณต้องมีปัญหาแล้ว!
การเข้า-ออกประตูคู่หน้าอาจต้องใช้ความระมัดระวังเล็กน้อย เพราะเสา A-Pillar ค่อนข้างลาดเอียง แนะนำสำหรับคนตัวสูงหรือศีรษะใหญ่ ให้ปรับเบาะคนขับลงต่ำสุดก่อน เพื่อลดโอกาสศีรษะโขกกับเสา A-Pillar
แผงประตูด้านข้าง ออกแบบให้ตำแหน่งวางแขนเหมาะสมเหมือนใน Vios รุ่น G ตกแต่งด้วยพลาสติกสีเงิน Metallic ประดับเข้ากับพลาสติกสีดำลายฝีเย็บหลอกๆ มือจับประตูออกแบบเป็นช่องวางโทรศัพท์มือถือชั่วคราวได้ ช่องวางของด้านล่างใส่ขวดน้ำได้สบายๆ และยังพอมีที่เหลือให้เสียบสมุดโน้ตเล่มเล็กๆ ได้
มือจับเปิดประตูในรถของรุ่น G เป็นพลาสติกชุบโครเมียมทั้ง 4 จุด
เบาะนั่งคู่หน้า เป็นไปตามคาด ยกเบาะผ้าสีดำจาก Vios มาติดตั้งให้ เปลี่ยนแค่ลายผ้าเบาะตรงกลางจากสีน้ำเงินมาเป็นสีส้มพร้อมตะเข็บเย็บสีส้ม เพื่อเพิ่มบุคลิก Sport ให้แตกต่างจาก Vios นิดเดียว สัมผัสจากแผ่นหลังของผมไม่ต่างจากเบาะ Vios ใหม่เลย
โครงสร้างเบาะนั่งคู่หน้า ปรับเลื่อนขึ้นหน้า-ถอยหลังได้มากขึ้นจาก 240 มม. เป็น 260 มม. และซอยจังหวะให้ถี่ขึ้น จาก 16 เป็น 26 จังหวะ เบาะคนขับปรับระดับสูง-ต่ำได้ด้วยก้านโยก เพิ่มจาก 45 เป็น 60 มม.
ด้านหลังเบาะเว้าเพิ่มขึ้น 38 มม. เพื่อเพิ่มระยะห่างระหว่างหัวเข่าผู้โดยสารด้านหลังกับเบาะหน้า เป็น 48 มม.
พนักพิงศีรษะเบาะหน้าออกแบบรองรับสบาย พนักพิงหลังเว้าลึก โอบกระชับสรีระได้ดีขึ้น รองรับช่วงหัวไหล่และสะโพกดีกว่าเดิม แก้ปัญหาเบาะนั่งไม่สบายใน Yaris รุ่นเดิมได้เกือบจบ เพราะเบาะรุ่นเดิมทำผมปวดหลังใน 15 นาที แต่เบาะ Yaris ใหม่ ผมใช้เวลาเกือบชั่วโมงกว่าจะเริ่มเมื่อย
สิ่งที่ยังแก้ไม่จบและควรปรับปรุง คือ เบาะรองนั่งยังสั้นไปหน่อย ถ้าเพิ่มอีก 10 มม. น่าจะช่วยให้การรองรับต้นขาขณะขับขี่ทางไกลสบายขึ้นอีกนิด
ประเด็นที่น่าตำหนิที่สุด คือ เข็มขัดนิรภัย ELR 3 จุด ปรับระดับสูง-ต่ำไม่ได้ ที่พบใน Vios ก็โผล่มาใน Yaris อีกด้วย ถือเป็นการลดต้นทุนที่น่าเกลียดมาก ทั้งที่ถุงลมนิรภัยให้มา 2 ใบ แล้วทำไมอุปกรณ์ความปลอดภัยพื้นฐานอย่างระบบปรับระดับเข็มขัดนิรภัยหน้าทำไมไม่ใส่มาให้?
นอกจากนี้ ยังไม่มีที่วางแขนสำหรับคนขับในทุกรุ่น น่าเสียดายจริงๆ
พื้นที่เหนือศีรษะไม่ต่างจาก Vios ใหม่เลย สัมผัสได้ชัดเจนว่าโปร่งโล่งสบายกว่า Yaris รุ่นก่อน ชัดเจนแบบไม่ต้องสืบ
พื้นที่โดยสารด้านหลัง: ความกว้างขวางที่เหนือกว่าใคร
การลุกเข้า-ออกจากประตูคู่หลัง แม้ช่องทางจะกว้างขึ้นกว่า Yaris รุ่นเดิม แต่ผมยังต้องก้มหัวลงเพิ่มพอสมควร ไม่เช่นนั้นหัวจะโขกกับด้านบนกรอบทางเข้าเต็มๆ สภาพนี้ไม่ต่างจาก Vios ใหม่
กระจกหน้าต่างไฟฟ้าคู่หลังเลื่อนลงสุดได้ แผงประตูคู่หลังมีพื้นที่วางแขนพอใช้งานได้ ข้อศอกเกือบจะวางลงไปได้ (ถ้าเป็นเด็กหรือสูงน้อยกว่าผม อาจวางได้พอดี) แต่ไม่มีการบุหนังหรือวัสดุอ่อนนุ่ม และไม่มีช่องใส่ของด้านข้างมาให้
จุดขายสำคัญของ Yaris ใหม่ คือเบาะหลัง ซึ่งมีพื้นที่กว้างใหญ่ โอ่อ่าที่สุด พนักพิงรองรับแผ่นหลังรวมทั้งช่วงหัวไหล่พอสบาย ฟองน้ำแน่นกำลังดี
พนักศีรษะทั้ง 2 ฝั่งใช้งานได้จริง เว้นแต่พนักศีรษะตรงกลางรูปตัว L คว่ำ ซึ่งถ้าเป็นไปได้ ถอดออกก็ไม่เสียหาย แต่ไม่มีที่วางแขนแบบพับเก็บได้ และไม่มีช่องวางแก้วสำหรับผู้โดยสารด้านหลัง ซึ่งก็ไม่ต่างจาก Eco Car Hatchback 5 ประตูคันอื่นๆ ในตลาด
เบาะรองนั่งออกแบบมาได้กำลังดี แต่สั้นไปหน่อย ถ้าให้ยาวกว่านี้อีกนิดเดียว ก็คงทำได้แค่นั้น มิฉะนั้นอาจต้องมานั่งปาดขอบเบาะเพื่อเหลือพื้นที่เหวี่ยงขาขณะลุกเข้า-ออก
พื้นที่เหนือศีรษะ สำหรับคนสูง 171 ซม. อย่างผม เหลือให้สอดนิ้ว 3 นิ้วในแนวนอนระหว่างปลายเส้นผมกับเพดานหลังคาพอดี ผมนึกเสียดาย เพราอยากได้พื้นที่เหนือศีรษะแบบนี้ใน Vios ใหม่ชะมัด
พื้นที่วางขานั้นใหญ่สะใจ สมกับที่ออกแบบมาเป็น B-Segment Hatchback ตั้งแต่แรก เพราะคนตัวใหญ่อย่างผมยังสามารถนั่งไขว่ห้างได้อย่างสบาย ทั้งที่ปรับเบาะคนขับให้อยู่ในระดับขับใช้งานตามปกติแล้ว!
ดังนั้น ผมขอยืนยันว่า พื้นที่นั่งโดยสารของ Yaris ใหม่ ใหญ่โต โอ่อ่า เป็นที่สุด ในบรรดา Eco Car ทุกคันที่ผลิตขายในประเทศไทยจนถึงปี 2016!
เหนือบานประตูทั้ง 4 มีมือจับยึดเหนี่ยวจิตใจมาให้ครบทั้ง 4 ตำแหน่ง…นี่คือสิ่งที่ควรมีมาให้ครบ แต่เข็มขัดนิรภัยคู่หน้าปรับสูง-ต่ำได้ กลับถอดออกไปหน้าตาเฉย!
เข็มขัดนิรภัยสำหรับเบาะหลัง เป็นแบบ ELR 3 จุดทุกที่นั่ง แต่สำหรับผู้โดยสารตรงกลาง ติดตั้งกับเสา C-Pillar ฝั่งซ้าย ลากสายโยงมาที่กึ่งกลางเพดานหลังคา ก่อนลากลงมาให้ใช้งาน
Matsuda-san บอกว่า มีการถกเถียงประเด็นนี้เยอะมาก เพราะตั้งใจจะออกแบบให้มีเข็มขัดนิรภัย 3 จุดสำหรับผู้โดยสารตรงกลางอยู่แล้ว แต่ราคาก็ต้องถูกพอที่ลูกค้าจะจ่ายได้ แถมยังต้องออกแบบไม่ให้บดบังทัศนวิสัยขณะถอยหลัง ซึ่งไม่ใช่เรื่องง่าย
เข็มขัดนิรภัยสำหรับผู้โดยสารฝั่งซ้ายและขวา มีสายล็อกกันเลื่อนตำแหน่งมาในแบบใช้สายผ้าติดกระดุมแป๊กเหมือน Toyota 86 และมีร่องสำหรับเบาะนิรภัย ISOFIX
พนักพิงเบาะหลัง รุ่น G และ E พับแยกฝั่งซ้าย-ขวาได้ 60:40 แต่รุ่น J และ J ECO พับทั้งแผงลงมาเป็นก้อนเดียวเหมือน Eco Car Hatchback ปี 2010-2011 ทั่วไป
ตำแหน่งก้านปลดล็อกพนักพิงเบาะ ติดตั้งที่ฝานังด้านข้างทั้ง 2 ฝั่ง เป็นปุ่มกดลงไปเพื่อปลดล็อก
พื้นที่เก็บสัมภาระ: เพียงพอสำหรับการใช้งานทั่วไป
ฝาประตูห้องเก็บของด้านหลัง ใช้ระบบกลอนไฟฟ้า เชื่อมต่อสัญญาณกับรีโมท Keyless Entry แต่บางกรณีถ้าติดเครื่องยนต์อยู่ อาจไม่ยอมปลดล็อก จำเป็นต้องดับเครื่องยนต์ก่อน
รอบกรอบช่องทางเข้าห้องเก็บของด้านหลัง บุพลาสติกมาเรียบร้อย ต่างจาก Eco Car หลายรุ่นที่ปล่อยเปลือย ฝาประตูค้ำยันด้วยช็อกอัพไฮโดรลิค 2 ต้น มีแผงบังสัมภาระที่ยกขึ้นพร้อมฝาประตูหลังได้
บานประตูห้องเก็บของด้านหลัง ไม่มีการบุพลาสติก มีเพียงบุผนังด้านใน และออกแบบช่องมือจับ
ห้องเก็บสัมภาระด้านหลังยาว 734 มม. เพิ่มจาก Yaris เดิม 140 มม. มีปริมาตรความจุ 326 ลิตร สามารถบรรจุกระเป๋าเดินทางขนาดกลาง Hard Case ได้ 3 ใบ พร้อมกระเป๋าเดินทางสะพายไหล่ 1-2 ใบ ถือว่าจุเยอะสุดในบรรดา Eco Car Hatchback ในไทยตอนนี้
ผนังด้านข้างฝั่งซ้าย มีไฟส่องสว่างในห้องเก็บของ เปิด-ปิดด้วยสวิตช์ และเมื่อยกพื้นขึ้นมา จะพบยางอะไหล่ Dunlop SP10 ขนาด 175/65 R14 พร้อมเครื่องมือและแม่แรงประจำรถ
แผงหน้าปัดและคอนโซล: ความคุ้นเคยจาก Vios ที่เน้นความคุ้มค่า
แผงหน้าปัดหน้าตาคุ้นๆ ก็ไม่ต้องงง ยกชุดมาจาก Vios ใหม่ทั้งดุ้นเหมือนกันหมด แม้กระทั่งลายตะเข็บแบบหลอกๆ วัสดุตกแต่งต่างกันเล็กน้อยตามรุ่นย่อย
แถบโค้งจากช่องแอร์ด้านข้างเข้าหาแผงควบคุมกลาง เป็นพลาสติกสีดำปกติ ไม่ได้ประดับด้วย Trim ดำเงา หรือสีเงินอย่างใน Vios ใหม่ ทว่า ฐานคันเกียร์ แผงมือจับประตูทั้ง 4 บาน และกรอบช่องวางโทรศัพท์มือถือใน Yaris รุ่น G ประดับด้วย Trim สีเงิน
วัสดุบุเพดานหลังคาเป็น Recycle สีดำ แผงบังแดดพร้อมกระจกแต่งหน้าแบบมีฝาปิดให้ทั้ง 2 ฝั่ง แต่ไม่มีไฟแต่งหน้า
จากขวามาซ้ายของแผงหน้าปัด ยังคงสลับเปลี่ยนกับ Vios ได้แทบทั้งสิ้น เช่น สวิตช์กระจกไฟฟ้า 4 บาน แบบ Auto One-Touch พร้อมสวิตช์ล็อกกระจก passenger และ Central Lock สวิตช์กระจกมองข้างปรับและพับไฟฟ้า สวิตช์ Push Start ใต้ช่องแอร์ ช่องวางแก้วแบบเลื่อนเปิด-ปิดได้
พวงมาลัย 3 ก้าน พร้อมสวิตช์ Multi Function ควบคุมเครื่องเสียง ยกมาจาก Vios มี Grip จับถนัดมือ แต่ระยะห่างจากขอบมาตรวัดน้อยมาก ดีที่รุ่น G พวงมาลัยหุ้มหนัง
พวงมาลัยคือสิ่งสำคัญที่จะช่วยเพิ่มความรู้สึกดีๆ ให้คนขับ ถ้าออกแบบให้ดูสวยไม่ได้เพราะคำนึงถึงต้นทุน ก็เลิกทำรถขายเสียยังดีกว่า
สวิตช์ไฟหน้า ไฟเลี้ยว ไฟสูงบนคอพวงมาลัยฝั่งขวา ไม่มีไฟตัดหมอกหน้าให้ทุกรุ่น ส่วนก้านสวิตช์ใบปัดน้ำฝนพร้อมที่ฉีดน้ำด้านหน้า มีระบบหน่วงเวลาและตั้งเวลาปัดได้เฉพาะรุ่น G และ E
ชุดมาตรวัดเป็นแบบ 3 วงกลม ตำแหน่งไฟเตือนเหมือนกัน กลางคืนเรืองแสงสีขาว Font ตัวเลขอ่านง่าย แบ่งขีดชัดเจน ลายกราฟิกพื้นหลังใช้โทนสีแดงเป็นหลัก
เฉพาะรุ่น G จอแสดงข้อมูลตรงกลางเป็นสีส้ม ตัวเลข Digital ดำ บอกตำแหน่งเกียร์ Odometer, Trip Meter A/B, อัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงเฉลี่ย, ความเร็วเฉลี่ย และระยะทางน้ำมันเหลือ
แต่ลายกราฟิกพื้นหลังมาตรวัดยังคงเป็นพื้นเรียบๆ แบนๆ ไร้มิติ แบบเดียวกับโปรแกรม Paintbrush ที่พิมพ์ออกมาจาก Printer Dot Matrix เก่าๆ ช่วยออกแบบให้ดูดี มีมิติ และลดต้นทุนน้อยกว่านี้ได้ไหม?
ชุดเครื่องเสียงเป็นวิทยุ AM/FM พร้อมช่องใส่ CD/MP3/WMA 1 แผ่น และมีช่องเสียบ USB และ AUX รุ่น G กับ E มีลำโพง 4 ชิ้น แต่รุ่น J กับ J ECO มีเพียง 2 ชิ้น คุณภาพเสียงไม่ต่างจาก Vios ฟังได้ รับคลื่นชัด หน้าจอสีส้ม อ่านได้ทั้งอังกฤษ ไทย ญี่ปุ่น และจีน
สวิตช์เครื่องปรับอากาศในรุ่น G เป็นแบบ Digital ยกชุดจาก Vios ให้ความเย็นสะใจ แต่การใช้งานยังสับสน โดยเฉพาะสวิตช์ซ้ายสุดที่รวมการเลือกความแรงพัดลม ทิศทางลม และอุณหภูมิ ไว้ในสวิตช์หมุนชุดเดียวกัน ชวนให้นึกถึงสวิตช์แบบมือหมุน 3 วงในรุ่น E, J, J ECO ที่ใช้งานง่ายแต่ไม่สวย
ช่องวางโทรศัพท์มือถือใต้สวิตช์แอร์ด้านหลังคันเกียร์ ยังคงปรากฏตัวให้เห็นใน Yaris อีกด้วย เป็นการออกแบบที่พยายามเอาใจลูกค้า แต่ไม่สอดคล้องกับการใช้งานจริง ถ้าเจอถนนขรุขระ โทรศัพท์อาจหล่นลงพื้นได้ สู้ทำเป็นช่องใส่ของลึกๆ ตามเดิมจะดีกว่า
กล่องเก็บของหน้าปัดฝั่งผู้โดยสาร Glove Compartment ยกมาจาก Vios ดูภายนอกเหมือนใหญ่ แต่ใส่ได้แค่คู่มือรถ สมุดรับประกัน และเอกสารประกันภัยก็เต็มครึ่งแล้ว ยังกั้นพื้นที่กล่องเก็บของฝั่งขวาไว้อีก สงสัยขนาด AC จะใหญ่จนต้องงอกออกมาด้านข้าง
เบรกมือ 1 จุด ช่องวางแก้วผู้โดยสารหลัง 1 ตำแหน่ง ช่องเสียบกล่อง CD ใช้งานไม่ได้จริง เพราะใส่ 2 กล่องจะเบียดเสียดเกินไป แถมกล่อง CD อาจหล่นไปบนพื้นที่วางขาคนขับ
ทัศนวิสัย: การปรับปรุงที่สัมผัสได้
ทัศนวิสัยด้านหน้าไม่แตกต่างจาก Vios แม้แต่น้อย ไม่ว่าจะมองฝากระโปรงหน้า กระจกมองข้างฝั่งขวา หรือซ้าย มุมมองไม่ต่างจาก Vios ใหม่ แต่ถ้าเทียบกับ Yaris รุ่นเดิม ทัศนวิสัยด้านหน้าดีขึ้นกว่ารุ่นเดิมจนสัมผัสได้
เสา A-Pillar ฝั่งขวา บดบังรถที่แล่นสวนทางบนทางโค้งน้อยลงมาก กระจกมองข้าง แม้ให้การมองเห็นรถด้านหลังได้ดี แต่พื้นที่กรอบพลาสติกด้านในยังกินพื้นที่ขอบล่างกระจกอยู่บ้าง
เสา A-Pillar ฝั่งซ้าย ยังแอบบดบังรถขณะเลี้ยวกลับในบางรูปแบบของจุดกลับรถ แต่จะพบปัญหานี้ได้หากเกาะกลางถนน หรือคูน้ำกลางถนนค่อนข้างกว้าง นอกนั้นไม่มีปัญหามากนัก ถือว่าโปร่งขึ้นกว่า Yaris เดิม
กระจกมองข้างฝั่งซ้าย ยังมองเห็นรถตามมาได้ดี เพียงแต่ขอบกระจกด้านล่างอาจถูกกรอบด้านในบดบังเข้ามาบ้าง
สำหรับทัศนวิสัยด้านหลัง เมื่อเสาหลังคาคู่หลังมีขนาดใหญ่พอจะทำให้นึกถึงเสาหลังคา Nissan Tiida Hatchback 5 ประตู ต้องทำใจว่าอาจมีการบดบังรถจักรยานยนต์ที่ตามมาจากด้านหลังฝั่งซ้ายของรถได้บ้าง หากคิดจะเปลี่ยนช่องทาง ควรเพิ่มความระมัดระวัง และอย่าพึ่งพากระจกมองข้างฝั่งซ้ายเพียงอย่างเดียว
สมรรถนะและวิศวกรรม: การพลิกโฉมสู่ Eco Car ที่เหนือความคาดหมาย
เมื่อ Toyota ให้ Yaris ใหม่ เปลี่ยนกลุ่มตลาดจาก B-Segment Hatchback 1,500 ซีซี มาสู้กับ Eco Car Hatchback 1,200 ซีซี ทำให้ Toyota จำเป็นต้องลดขนาดเครื่องยนต์ลง เลิกใช้เครื่องยนต์รหัส 1NZ-FE บล็อก 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว 1,497 ซีซี VVT-i 109 แรงม้า ทิ้งไป
แทนที่ด้วยเครื่องยนต์ 3NR-FE บล็อก 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว ความจุ 1,197 ซีซี กระบอกสูบ x ช่วงชัก 72.5 x 72.5 มม. กำลังอัด 11.5:1 หัวฉีด EFI มาพร้อม Dual VVT-i กำลังสูงสุด 86 แรงม้า (PS) ที่ 6,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 108 นิวตันเมตร (11.0 กก.-ม.) ที่ 4,000 รอบ/นาที
เครื่องยนต์รุ่นนี้ผ่านการทดสอบมาตรฐาน Eco Car ใช้น้ำมันเครื่อง 0W20 แต่สามารถใช้น้ำมันเครื่อง 5W-20, 5W-30, 5W-40, 10W-30 หรือเกรด API SL, SM, SN หรือ ILSAC 15W-40, 20W-50
น้ำมันเชื้อเพลิง เติมได้ทั้งเบนซินไร้สารตะกั่ว ออกเทน 91 และ 95 หรือแก๊สโซฮอล์ 91 และ 95 (เฉพาะ E10 และ E20) หม้อน้ำ ใช้น้ำหล่อเย็น 4.2 ลิตร หัวเทียน DENSO SC16HR11 ระยะห่างเขี้ยว 1.1 มม.
เครื่องยนต์นี้ส่งกำลังสู่ล้อหน้าด้วยเกียร์ Super CVT-i เท่านั้น โดยไร้เงาเกียร์ธรรมดา
อัตราทดเกียร์เดินหน้า 2.386 – 0.426 : 1 อัตราทดเกียร์ถอยหลัง 2.505 – 1.736 : 1 อัตราทดเฟืองท้ายสูงถึง 5.833 : 1
น้ำมันเกียร์ต้องใช้ Toyota Genuine CVT Fluid FE เท่านั้น และไม่สามารถใช้ร่วมกับน้ำมันเกียร์ CVT ของ Corolla ALTIS ได้ ปริมาณเปลี่ยนถ่ายทั้งระบบ 6.4 ลิตร
เหตุผลที่ Yaris ใหม่มีเพียงเกียร์ CVT ไม่มีรุ่นเกียร์ธรรมดา Toyota อ้างว่า จากการวิจัยตลาดในไทย พบว่าตลาด Eco Car มีความต้องการเกียร์ธรรมดาไม่ถึง 5%
มีเสียงลือว่า ส่วนหนึ่งมาจาก Yaris รุ่นเกียร์ธรรมดาอาจไม่ผ่านการทดสอบมลพิษ ปล่อย CO2 เกินกว่า 120 กรัม/กิโลเมตร
Toyota บอกว่า เกียร์รุ่นนี้มีปุ่ม Shift Lock สำหรับกดล็อกเกียร์ P เพื่อเลื่อนเข็นรถได้ นอกจากนี้เคลมว่าเกียร์ CVT ลูกนี้ออกแบบมาให้ใช้น้ำมันเกียร์เฉพาะของตน และมีท่อหายใจยกสูงเพื่อรองรับปัญหาน้ำท่วม
ขณะติดเครื่องยนต์ รถบางคันอาจเห็นเข็มวัดรอบต่ำ หรือมีอาการสั่นกระพรือเล็กน้อย Toyota ชี้แจงว่า พยายามตั้งรอบเดินเบาให้ต่ำที่สุดที่ 600 รอบ/นาที เพื่อประหยัดน้ำมัน แต่เมื่อคอมเพรสเซอร์แอร์ทำงาน รอบจะเพิ่มเป็น 800 รอบ/นาที
ตัวเลขสมรรถนะจากโรงงาน ระบุอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงตามมาตรฐาน UNECE Reg.101 Rev.1 ในเมือง 6.0 ลิตร/100 กม. นอกเมือง 4.5 ลิตร/100 กม. เฉลี่ย 5.0 ลิตร/100 กม. ปล่อย CO2 ในเมือง 140 กรัม/กม. นอกเมือง 106 กรัม/กม. เฉลี่ย 118 กรัม/กม.
อัตราเร่งที่น่าทึ่ง: Yaris 1.2 ลิตร เหนือกว่าที่คิด
เราทำการจับเวลากันตามมาตรฐานเดิม คือทดลองในเวลากลางคืน เปิดแอร์ และนั่ง 2 คน น้ำหนักรวมไม่เกิน 170-180 กก.
| ช่วงเวลาทดสอบ | Yaris 1.2L CVT (รุ่น G) | Vios 1.5L 4AT (รุ่น G) | Vios 1.5L 4AT (รุ่น E) |
|---|---|---|---|
| 0-100 กม./ชม. | 12.4 วินาที | 12.4 วินาที | 12.7 วินาที |
| 80-120 กม./ชม. | 8.5 วินาที | 8.4 วินาที | 8.7 วินาที |
เป็นไงครับ…เหวอไหม?
ตัวเลขอัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. และ 80-120 กม./ชม. ออกมาพอๆ กับ Toyota Vios พี่น้องร่วม Platform ที่ใช้เครื่องยนต์ 1,500 ซีซี และเกียร์อัตโนมัติ 4 จังหวะ! Yaris 1.2 ลิตร CVT คือรถยนต์นั่งขนาดเล็ก Eco Car ประกอบในไทยที่ทำตัวเลขอัตราเร่งได้เร็วและแรงที่สุดในตลาดตอนนี้!
เกิดอะไรขึ้น?
อุณหภูมิ: คืนที่เราทดสอบ อุณหภูมิอยู่ที่ 22-23 องศาเซลเซียส อากาศเย็นช่วยให้เครื่องยนต์ไม่ร้อน จุดระเบิดได้ดีขึ้น แต่ถ้าต่างกันแค่ไม่เกิน 5 องศาเซลเซียส อัตราเร่งแทบไม่ต่างกัน
อัตราทดเกียร์และเฟืองท้าย: Toyota ทดเฟืองท้ายให้ Yaris ใหม่ ตั้ง 5.833:1 สูงมาก! ทำให้ช่วงออกตัวถึง 40 กม./ชม. ยังธรรมดา แต่ตั้งแต่ 40-120 กม./ชม. ไหลลื่นต่อเนื่อง ไม่ต่างจากรถยนต์ 1,500 ซีซี
น้ำมัน: ในทริปภูเก็ต-กระบี่ มีการเติมแก๊สโซฮอล์ 95 ของ ปตท. ซึ่งเราไม่ใช้น้ำมันตัวนี้ในการทดสอบปกติ แต่อาจมีผลไม่ถึง 2 วินาที
ความเร็วสูงสุด: หลังจาก 5,000 รอบ/นาที เครื่องยนต์ไต่ความเร็วได้ช้า ผมต้องใช้แรงส่งจากเนินช่วยดันให้รถพุ่งต่อเนื่องไปข้างหน้ากว่าจะได้ตัวเลขนี้
ในการขับขี่ใช้งานจริง ถ้าเข้าใจว่านี่คือรถ 1,200 ซีซี อัตราเร่งถือว่าเพียงพอและแรงเกินคาดหมาย เพราะการไต่ความเร็วให้แรงดึงและความว่องไวพอๆ กับ Vios ใหม่ 1,500 ซีซี
ถ้าต้องการเร่งแซง เหยียบคันเร่งจมมิด รถจะพุ่งออกไปอย่างว่องไว ตำแหน่ง S ช่วยให้เครื่องยนต์เตรียมพร้อมรับการตอกฝ่าเท้า เรียกอัตราเร่งแซงได้ทันใจ เกียร์ B ใช้ช่วยขึ้น-ลงเขา
แต่ถ้าแตะคันเร่งเบาๆ รถจะค่อยๆออกตัว
ถ้าขับที่ 80-100 กม./ชม. ต้องการเพิ่มความเร็ว การเพิ่มน้ำหนักเท้าลงไปช้าๆ จะให้ผลไม่ดีเท่าการเหยียบคันเร่งทันที
ถ้าคิดจะเร่งแซงรถคันข้างหน้า ขอแนะนำให้เหยียบคันเร่งจนจมมิด ลากรอบขึ้นไป จะดีกว่า
อย่างไรก็ตาม ขณะเค้นกำลัง เมื่อถอนเท้าออกจากคันเร่ง อาจมีกลิ่นแอมโมเนียฉุนๆ ลอดเข้ามาให้ได้กลิ่น (เหมือน Mazda 2 หรือ Ford Fiesta รุ่นก่อน)
การเก็บเสียงและพวงมาลัย: พัฒนาการที่สัมผัสได้
การเก็บเสียงในห้องโดยสารทำได้ดีกว่าที่คิด ในช่วง 100-120 กม./ชม. แทบไม่ต้องเพิ่มเสียงพูดเลย อาจดีกว่า Vios นิดหน่อย แต่หลังจากนั้นเสียงลมเริ่มดังขึ้น
พวงมาลัยเป็นแบบแร็คแอนด์พีเนียน พร้อมเพาเวอร์ EPS (Electric Power Steering) ปรับน้ำหนักตามความเร็วรถ ใช้แร็คชุดเดียวกับ Vios แต่ทีมวิศวกรปรับระยะรอบมอเตอร์เพิ่ม เพื่อให้พวงมาลัยหน่วงมือขึ้น สร้างความมั่นใจในการขับขี่ทางตรง
หลายคนเป็นห่วงว่าพวงมาลัยจะดีขึ้นไหม? แม้จะยังไร้ชีวิตชีวาแบบพวงมาลัยไฟฟ้า แต่ในรายละเอียดปลีกย่อย มันดีขึ้นกว่าเดิม ถ้าเทียบกับ Yaris เดิม ดีขึ้นชัดเจน นิ่งขึ้น ตอบสนองคล่องแคล่ว แต่ตึงมือ
ถ้าเทียบกับ Vios ใหม่ แม้ใช้แร็คเหมือนกัน แต่การปรับเซ็ตใหม่ก็ช่วยให้เห็นความแตกต่าง แม้ไม่มาก แต่ชัดเจน
พวงมาลัย Vios และ Yaris ใหม่ มีลักษณะคล้าย Mercedes-Benz คือหมุนแล้วเหมือนวงพวงมาลัยขยับขึ้น-ลงตามการหมุน เป็นแกนเยื้องศูนย์ จุดหมุนไม่ได้อยู่ตรงกลางพวงมาลัย แต่เลื่อนลงไปข้างล่างนิดนึง ทำให้ตำแหน่งพวงมาลัยเลื่อนขึ้นสูงกว่าปกติเล็กน้อย
เจตนาของการออกแบบลักษณะนี้ คือช่วยให้การประคองพวงมาลัยในความเร็วสูงแม่นยำขึ้น
ทำให้พวงมาลัย Vios และ Yaris ใหม่ ตอบสนองเหมือนกันย่านความเร็วต่ำ เบาแรง หมุนคล่อง แต่ไม่เบาโหวงไปเสียทีเดียว พอมีอาการขืนมือปรากฏอยู่บ้าง ไม่มาก แต่ไม่ขืนมือเท่า Honda City ปัจจุบัน อุปนิสัยนี้ถือว่าเซ็ตมาได้กำลังดี
แต่ในการขับขี่ความเร็วเดินทางถึงความเร็วสูง สังเกตได้ว่าขณะขับทางตรงยาวๆ พวงมาลัย Yaris จะนิ่ง และให้การบังคับควบคุมไว้ใจได้กว่า Vios ไม่ต้องเลี้ยงซ้ายเลี้ยงขวาตลอด ถือว่าปรับปรุงให้ดีขึ้น
การบังคับรถขณะเข้าโค้ง ตอบสนองได้ดีในระดับที่ควรเป็น มีน้ำหนักขืนพอประมาณ เลี้ยงพวงมาลัยในโค้งให้นิ่งๆ ทำได้ไม่ยาก บังคับควบคุมรถในโค้งได้นิ่งขึ้น จนสงสัยว่าทำไมไม่นำ Setting นี้ไปใส่ใน Vios ใหม่ตั้งแต่แรก
ข้อที่ควรปรับปรุง คือ Toyota น่าจะใส่ชุดปรับระยะใกล้-ห่างพวงมาลัยเพิ่มเติมจากเดิมที่ปรับได้แค่สูง-ต่ำเสียที
ช่วงล่าง: ความสบายและความมั่นใจที่เพิ่มขึ้น
ระบบกันสะเทือนหน้าเป็นแบบแมคเฟอร์สันสตรัทพร้อมเหล็กกันโคลง ด้านหลังเป็นแบบทอร์ชันบีมพร้อมคอยล์สปริงและเหล็กกันโคลง ยกชุดจาก Vios แต่ทีมวิศวกรปรับปรุงให้เน้นความนุ่มนวลในการดูดซับแรงสะเทือน และเพิ่มเสถียรภาพขณะขับขี่ด้วยความเร็วเดินทาง
ในช่วงความเร็วต่ำ ช่วงล่าง Yaris ใหม่ แข็งกระด้างกว่าที่คิดนิดหน่อย แต่ไม่หนี Suzuki Swift การซับแรงสะเทือนตามหลุมบ่อทำได้ไม่ถึงกับดีนัก แต่เจอลูกระนาดและความเร็วต่ำ จะพบ Rebound ของโช้คอัพและสปริงให้พอรู้สึกว่ายังหาความนุ่มได้
ในความเร็วเดินทาง 40-140 กม./ชม. การทรงตัวถือว่าทำได้ดี และมาในสไตล์เดียวกับ Vios รุ่น E กับ G วิ่งตรงไปข้างหน้าได้สบายๆ ลดความเหนื่อยล้าในการขับขี่และโดยสารทางไกล นุ่มหน่อยๆ อยู่ในเกณฑ์กำลังดี ไม่แข็งเกินไป
แต่เมื่อเกิน 140 กม./ชม. ไปแล้ว จนถึงความเร็วสูงสุด อาการหน้ารถดิ้นไปตามกระแสลมจะเกิดขึ้น อันเป็นปัญหาปกติของรถขนาดเล็ก แต่มีไม่มากนัก และการเซ็ตพวงมาลัยให้ On center feeling นิ่ง ทำให้ควบคุมรถขณะเกิดอาการดังกล่าวได้ง่าย หวาดเสียน้อยกว่าที่คิด มีเสถียรภาพในการทรงตัวย่านความเร็วสูง ดีกว่า March และ Mirage
การเข้าโค้ง Yaris ใหม่ ทำได้ดีกว่าที่คาดคิด ผมยังสามารถพารถเข้าโค้งรูปเคียวบนทางด่วนชั้น 2 ได้สบายๆ ด้วยความเร็ว 95 และ 90 กม./ชม. เลี้ยงนิ่งๆ ในโค้ง เป็นเรื่องที่น่าประหลาดใจว่า Yaris ถูกยกระดับช่วงล่างขึ้นมาได้ถึงขนาดนี้ เพราะความเร็วระดับนั้น ส่วนใหญ่ต้องเป็นรถญี่ปุ่นขนาดกลางขึ้นไป หรือรถยุโรป Premium เท่านั้นถึงจะใช้ความเร็วระดับดังกล่าวเข้าโค้งได้อย่างนิ่ง สบาย ปลอดภัย
ยอมรับว่าคราวนี้ Toyota ตั้งใจทำการบ้านเรื่องการปรับเซ็ตพวงมาลัยและช่วงล่าง ไม่แปลกหาก Yaris ได้อานิสงค์การเซ็ตค่าความหนืดโช้คอัพและสปริงจาก Vios รุ่น G กับ E มาอย่างชัดเจน
ผมชื่นชอบช่วงล่างชุดนี้ของ Yaris สามารถเทียบเคียงกับ Suzuki Swift ได้ และมีอาการเด้งน้อยกว่า Swift ชัดเจน (จากระยะฐานล้อที่ยาวกว่า) ช่วงล่าง Yaris คือจุดเด่นของรถคันนี้ เทียบเคียง Swift ได้จริง
แต่มันขาดความสนุกในการขับขี่ที่ Swift ให้ได้ พวงมาลัย Swift เป็นธรรมชาติกว่า และการเซ็ตช่วงล่าง Swift เอื้อให้มุดลัดเลาะไปตามถนนแคบๆ หรือแทรกตัวบนทางด่วนได้คล่องแคล่วและเป็นธรรมชาติกว่านิดหน่อย
ระบบห้ามล้อ: ความมั่นใจในเบรก
ระบบห้ามล้อ เป็นแบบหน้าดิสก์ – หลังดรัม ทุกรุ่นติดตั้ง ABS, EBD และ Brake Assist
ระยะฟรีแป้นเบรกทุกรุ่น 1-6 มม. ระยะเลื่อนคันเบรกมือ 8-11 คลิก ใช้น้ำมันเบรก DOT 3
นอกจากนี้ยังมีระบบ Brake Override ป้องกันคันเร่งค้าง การตอบสนองของเบรก สไตล์เดียวกับ Vios คือเบรกจิกๆ ดี หรือจะเบรกให้นุ่มนวลก็ได้ ผ้าเบรกจับจานไว แป้นเบรกค่อนข้างตื้น ABS ทำงานกำลังดี
ในช่วงความเร็วต่ำ เบรกตอบสนองไว หน้ารถจิก และหน่วงความเร็วได้มาก มั่นใจได้ว่าถ้าคันหน้าเบรกกะทันหัน โอกาสทิ่มท้ายแทบไม่มี
ในช่วงความเร็วเดินทาง หรือความเร็วสูง การหน่วงความเร็วยังทำได้ดี เพียงแต่ถ้าต้องการชะลอแบบไม่รีบร้อนนัก เหยียบแป้นเบรกลงไปประมาณ 30% อาจชะลอไม่มากนัก ควรเหยียบลงไประดับ 40% ผลจะชัดเจน
ความปลอดภัย: มาตรฐานที่ควรมี
โครงสร้างตัวถังใช้เทคโนโลยี GOA ดูดซับแรงปะทะ ส่วนประกอบตัวถังใช้ร่วมกับ Vios ใหม่ ทำให้แตกต่างจาก Vios แค่ครึ่งคันหลัง
กว่า 50% ของเหล็กที่ใช้ขึ้นรูปโครงสร้างตัวถังและพื้นแชสซี ใช้ High Strength Steel
อุปกรณ์ความปลอดภัย ถุงลมนิรภัยคู่หน้า SRS มีให้ครบตั้งแต่รุ่น J ECO, พนักศีรษะ WIL, เข็มขัดนิรภัย ELR 3 จุด ครบ 5 ตำแหน่ง พร้อมระบบดึงกลับอัตโนมัติ แต่ปรับระดับสูง-ต่ำไม่ได้เหมือน Vios และมีจุดยึดเบาะนิรภัย ISOFIX
อัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิง: ประหยัดตามคาด
เรานำ Yaris ไปเติมน้ำมันเบนซิน 95 Techron ที่สถานีบริการน้ำมัน Caltex ริมถนนพหลโยธิน
ผลลัพธ์: ระยะทาง 92.2 กม. น้ำมันเติมกลับ 5.54 ลิตร คำนวณได้อัตราสิ้นเปลืองเฉลี่ย 16.64 กม./ลิตร
ตัวเลขนี้ถือว่าทำได้ดี เป็นไปตามที่คาดการณ์ เพราะ Yaris คือ B-Segment Hatchback เครื่องยนต์ 1,200 ซีซี Eco Car ถ้าเทียบกับ Eco Car ด้วยกัน Yaris ทำตัวเลขระดับเดียวกับ Honda Brio CVT (ต่างกัน 0.05 กม./ลิตร) แต่ถ้าเทียบกับ B-Segment อย่าง Vios เครื่องยนต์น้อยกว่าควรประหยัดกว่า และ Yaris ก็ทำได้ดีกว่า Vios 4AT เล็กน้อย
สรุป: Vios 5 ประตู เครื่องเล็กกว่า เกียร์ CVT แต่แรงเท่ากัน แถมประหยัดกว่า
Toyota เป็นบริษัทขนาดยักษ์ ที่มักเน้นสร้างรถยนต์เพื่อมวลมหาประชาชน แต่ผลงานก็มักเรียกเสียงวิพากษ์วิจารณ์ได้อย่างแตกต่างสุดขั้ว Yaris อาจไม่ใช่ผลงานที่ “ดีเด่น” มากนัก เป็นผลงานที่ออกมาภายใต้การประนีประนอมข้อจำกัดต่างๆ มากมาย จนกลายเป็น Hatchback ขนาดเล็ก เครื่องยนต์ 1,200 ซีซี Eco Car ทั้งที่วิศวกรไม่ได้ตั้งใจให้เป็นเช่นนั้น แต่กลับทำอัตราเร่งได้ดีเกินคาด จน Vios 1,500 ซีซี เองถึงขั้นอ้าปากหวอ
ช่วงล่างดีเทียบเท่า Suzuki Swift เทพประจำพิกัด Eco Car แถมบางด้านยังแอบดีกว่า เช่นอาการเด้งเมื่อบรรทุกคนเยอะน้อยกว่า Swift ชัดเจน เข้าโค้งต่อเนื่องได้เนียนและนิ่งกว่าที่คิด เบรกจิกดี ประหยัดน้ำมันใช้ได้ ภายในห้องโดยสารมีพื้นที่ด้านหลังให้นั่งไขว่ห้าง แถมพื้นที่ศีรษะเยอะกว่า Vios พี่ชายด้วยซ้ำ
ไม่แปลกใจที่ Toyota บอกว่า พวกเขาดู Swift ไว้ และพยายามจะเอาชนะรถคันนี้ การเซ็ตรถออกมาแบบนี้ เท่ากับว่าเขาทำในทิศทางเดียวกับที่ผมอยากเห็น
จุดเด่นของ Yaris คือสมรรถนะโดยรวมเหนือความคาดหมาย และมีพื้นที่ห้องโดยสารโอ่อ่า จะนั่งหรือวางของก็ทำได้ดีกว่าคู่แข่งทุกคันในพิกัด Eco Car
แต่ข้อที่ควรปรับปรุงก็ยังมีอยู่ การปรับเซ็ตพวงมาลัย ควรมีชุดปรับระยะใกล้-ห่าง และลดอุปนิสัยไร้ชีวิตวา เข็มขัดนิรภัยคู่หน้าควรปรับสูง-ต่ำได้ การเซ็ตออพชันบางอย่างควรให้คุ้มค่ากับราคา รวมถึงการออกแบบและตกแต่งภายใน
ทางเลือกอื่น: การเปรียบเทียบกับคู่แข่ง
ณ จุดนี้ หากกำลังชั่งใจว่าจะเลือกรถ Yaris ดีไหม นอกจากสำรวจเงินในกระเป๋าแล้ว ผมอยากให้ลองมองไปยังทางเลือกอื่นๆ อย่างรอบคอบ
คนที่คิดจะซื้อ Yaris ส่วนใหญ่ไม่ได้มอง Eco Car Hatchback 1.2 ลิตร คู่แข่งในพิกัดเดียวกันเท่าใดนัก
Nissan March: ถูกมองข้ามเพราะขาดความสดใหม่ ขนาดเล็ก สมรรถนะเกียร์ CVT อืด พวงมาลัยไร้ชีวิตชีวา
Mitsubishi Mirage: ถูกมองข้าม แม้เด่นด้วยเครื่องยนต์ 3 สูบ ประหยัดน้ำมันมากที่สุดในกลุ่ม Eco Car แต่ก็ต้องแลกมาด้วยขนาดตัวถังที่เล็กกว่า พวงมาลัยตอบสนองไม่เป็นธรรมชาติ ช่วงล่างย้วยเกินไป
Honda Brio: กลับมีที่ยืนในตลาด เพราะวัยรุ่นขาซิ่งจำนวนมากตามหาโชว์รูมที่มีสต็อกรุ่นเกียร์ธรรมดา เพื่อซื้อไปทำรถแข่งคันเล็กๆ
มีเพียง Suzuki Swift เท่านั้น ที่ลูกค้า Yaris เลือกเปรียบเทียบ ซึ่งไม่ใช่เรื่องแปลก เพราะ Toyota ก็ให้ Swift เป็นเป้าหมายสำคัญที่ต้องการแย่งชิงลูกค้ากลุ่มที่เน้นสมรรถนะการควบคุมรถ
แม้ Swift จะเคยเป็นเทพด้าน Handling ของกลุ่ม Eco Car และ Yaris ใหม่ทำได้ดีกว่าในด้านช่วงล่าง แต่โดยรวม Swift ยังเอาใจคนรักความสนุกในการขับขี่ได้ดีกว่า Yaris อยู่นิดหน่อย ในด้านความคุ้มค่า Swift รุ่นท็อปให้อุปกรณ์มาพอกับ Yaris รุ่นท็อปในราคาถูกกว่าราว 40,000 บาท แต่คงต้องแลกกับพื้นที่ห้องโดยสารของ Yaris ที่กว้างใหญ่กว่า
การเปรียบเทียบกับ Toyota Vios: พี่น้องที่ทับซ้อนกัน
Yaris ใหม่ มีให้เลือก 4 รุ่นย่อย ราคาเริ่มต้น 469,000 – 599,000 บาท
ขณะที่ Vios ใหม่ ราคา 559,000 – 734,000 บาท
ดูไปดูมา Yaris สงสัยว่าจะเกิดมาเพื่อ “ฆ่าพี่ชายตัวเอง (Vios) ทางอ้อม” ไม่แปลกที่คนจะนำ Yaris ไปเทียบกับ Vios พอๆ กับที่ไปเปรียบเทียบกับคู่แข่งในเซกเมนต์เดียวกัน
ทำไม? ก็ดูราคาขายสิครับ มันทับซ้อนกันถึง 3 รุ่นย่อย!
ถ้ามองว่า Yaris ใหม่คือ “Vios ที่ถูกลงมาก” อัตราเร่งพอๆ กัน ช่วงล่างเน้นสบาย แต่เข้าโค้งได้ดีกว่า Vios 1.5 S พื้นที่โดยสารด้านหลังกว้างขวางกว่า Vios เห็นๆ
ถ้าเปรียบเทียบราคาและอุปกรณ์ Yaris 1.2 G ตัวท็อป จ่ายถูกกว่า Vios ถึง 100,000 บาท แต่ Yaris ให้อุปกรณ์มากกว่า 2 รายการ คือ มือจับประตูโครเมียม และ Push Start/Smart Entry นอกนั้นแทบเท่ากัน
ดังนั้น ถ้าคุณมอง Vios รุ่น 1.5J A/T ไว้ ต้องถามตัวเองว่า:
คุณชอบรถมีท้ายเพราะจะติดแก๊สแล้วสบายใจ หรือจำเป็นต้องใช้รถ Sedan 4 ประตู?
คุณเป็น Minimalism ขอนแค่กระจกไฟฟ้า พวงมาลัยเพาเวอร์ แอร์ วิทยุ?
คุณเกลียดเกียร์ CVT ยิ่งกว่าอะไร?
ถ้าไม่ได้คิดแบบ 3 ข้อนี้ Yaris 1.2 G ราคา 599,000 บาท น่าสนใจกว่า Vios 1.5 J 4AT ราคา 589,000 บาท เพียง 10,000 บาท แลกกับเครื่องยนต์ที่ประหยัดกว่า อุปกรณ์ที่มากกว่ามากมาย
แต่ถ้าถามผม J!MMY โดยส่วนตัว ผม “ไม่” ซื้อ Yaris ใหม่
เพราะผมรับไม่ได้กับการติดตั้งชิ้นส่วนที่ไม่จำเป็น ทำให้ต้นทุนเพิ่มขึ้นโดยไม่จำเป็น แต่กลับไม่ยอมนำต้นทุนส่วนเกินนี้ไปเพิ่มอุปกรณ์ความปลอดภัยพื้นฐาน
ผมรับไม่ได้กับรถที่ไม่มีเข็มขัดนิรภัยปรับสูง-ต่ำ
ผมอยากได้พวงมาลัยปรับระยะไกล-ห่างได้
และผมไม่อยากซื้อรถที่ออกแบบด้านหน้าชวนให้นึกถึง “นายจันหนวดเขี้ยว” หรือ “อาเหล่ากง” และมีไฟท้ายที่ดูคล้าย “ก้อนเลือดกำเดาไหล”
ถ้า Toyota แก้ไข 3 ข้อนี้ได้ครบถ้วน เมื่อนั้น ผมอาจจะเปลี่ยนใจยอมซื้อ Yaris มาจอดในบ้าน
หากคุณกำลังมองหารถยนต์ที่มอบประสบการณ์ขับขี่ที่เหนือความคาดหมาย พร้อมความคุ้มค่าที่ตอบโจทย์การใช้งานในชีวิตประจำวัน และไม่กลัวที่จะแตกต่าง เชิญสัมผัส Toyota Yaris ใหม่ด้วยตัวคุณเองที่โชว์รูมโตโยต้าใกล้บ้านคุณ แล้วคุณจะพบว่า “ความประหลาด” นี้ มีดีมากกว่าที่คุณคิด!

