โตโยต้า ยาริส ใหม่: มิติใหม่ของ Eco Car ที่ท้าชนทุกความคาดหมาย
สวัสดีครับ ในฐานะผู้ที่คลุกคลีอยู่ในวงการยานยนต์มานานกว่าทศวรรษ ผมได้เห็นการเปลี่ยนแปลงของตลาดรถยนต์อยู่เสมอ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มรถยนต์นั่งขนาดเล็ก หรือ Sub-Compact Hatchback ที่นับเป็นหัวใจหลักของอุตสาหกรรมยานยนต์ไทย การเปิดตัวรถยนต์รุ่นใหม่ในเซกเมนต์นี้จึงไม่ใช่เรื่องธรรมดา แต่เป็นปรากฏการณ์ที่มักจะตามมาด้วยเสียงวิพากษ์วิจารณ์และความคาดหวังอันหลากหลาย
เมื่อประมาณสองปีก่อน มีคำกล่าวที่ทำให้ผมอดถอนหายใจไม่ได้ว่า “Yaris รุ่นใหม่ จะมีหน้าตาเหลี่ยมๆ ดูสปอร์ต กระจังหน้าเหมือน Mitsubishi RVR” ในตอนนั้น ผมอดคิดไม่ได้ว่า หากเป็นเช่นนั้นจริง ตลาดรถยนต์ Eco Car ที่ผู้บริโภคกลุ่มใหญ่เป็นสุภาพสตรี ซึ่งชื่นชอบรถยนต์ที่มีเส้นสายโค้งมนน่ารักๆ จะตอบรับได้อย่างไร เพราะเราเห็นตัวอย่างมาแล้วจาก Mitsubishi Lancer EX ที่ดีไซน์ที่ดุดันเกินไป กลับไม่ประสบความสำเร็จเท่าที่ควร
ผมหลับตาลงพร้อมจินตนาการถึง Yaris ใหม่ ที่น่าจะมีขนาดใหญ่ขึ้น ใช้เส้นสายที่คุ้นเคยกับ Vios ที่ยังไม่มีใครเคยเห็นตัวจริงในตอนนั้น แต่แล้ว เช้าวันหนึ่ง ภาพหลุดจากงาน Auto Shanghai 2013 ก็ทำให้ผมต้องเผชิญหน้ากับความจริงว่า Yaris ใหม่ ที่จะเข้ามาทำตลาดในบ้านเรานั้น กลับมีใบหน้าละม้ายคล้ายคลึงกับ Mitsubishi Lancer EX เสียมากกว่า ประกอบกับชุดไฟท้ายที่มีรูปทรงแปลกตา จนอดแซวไม่ได้ว่า “เหมือนก้อนน้ำมูก”
“งานนี้จบแน่” ความคิดแวบเข้ามาในหัว “แบบนี้ขายผู้ชายได้ แต่ผู้หญิงคงยาก ต้องใช้การตลาดสีสันสดใสเข้ามาช่วย ดึงดูดกลุ่มเป้าหมายหลักให้หันมามอง”
ยิ่งไปกว่านั้น การเปิดตัว Yaris ใหม่ ยังประจวบเหมาะกับช่วงปลายโครงการคืนภาษีรถยนต์คันแรกของรัฐบาล ซึ่งส่งผลให้กำลังซื้อในปี 2556 หดหายอย่างรุนแรง รถยนต์ค้างสต็อกล้นตลาด ทำให้กลุ่ม Eco Car และ B-Segment ได้รับผลกระทบอย่างหนักหน่วง การเปิดตัวรถรุ่นใหม่ในช่วงเวลานี้ จึงเปรียบเสมือนการเดินเข้าสู่สมรภูมิรบที่เต็มไปด้วยความท้าทาย
Yaris เอง ก็ไม่อาจหลีกหนีชะตากรรมนี้ไปได้ มันตกอยู่ในสถานการณ์เดียวกับ Vios พี่น้องร่วมแพลตฟอร์ม แต่ในเมื่อ Toyota จำเป็นต้องเปิดตัว Yaris ในเวลานี้ ก็ดูเหมือนจะเป็น “ไฟท์บังคับ” ที่ไม่อาจเลื่อนได้อีกต่อไป
และเป็นไปตามคาด กระแสการพูดถึง Yaris ในโลกโซเชียลมีเดีย บางตาอย่างผิดปกติ เมื่อเทียบกับรถรุ่นใหม่ๆ ของ Toyota ในอดีต ยิ่งเมื่อเทียบกับ Nissan Teana ที่เปิดตัวไล่เลี่ยกัน ยิ่งทำให้ Yaris ถูกกลบหายไปแทบจะสิ้นเชิง
แต่เวลาผ่านไป ผมเริ่มกลับมาตั้งคำถามกับตัวเอง เมื่อพบว่า กระแสความสนใจใน Yaris เริ่มกลับมาอีกครั้งในโลกออนไลน์ และที่สำคัญ ปริมาณ Yaris ใหม่ ที่วิ่งบนท้องถนนมีจำนวนเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง นั่นหมายความว่า ลูกค้าเริ่มให้การยอมรับรถยนต์ดีไซน์ประหลาดคันนี้แล้ว
วันนี้ คำถามที่ค้างคาใจใครหลายคน คงหนีไม่พ้นเรื่องสมรรถนะ อัตราเร่ง การประหยัดน้ำมัน การขับขี่ พวงมาลัย ช่วงล่าง และแน่นอนว่าควรจะซื้อรุ่นไหนดี หรือแม้กระทั่ง จะเลือกระหว่าง Yaris กับ Suzuki Swift หรือ Yaris กับ Vios ดี
บทความนี้ ผมจะพาคุณไปเจาะลึกทุกแง่มุมของ Toyota Yaris ใหม่ ให้คุณเห็นภาพชัดเจนยิ่งขึ้น พร้อมไขข้อสงสัยที่คุณมี และผมกล้าท้าให้คุณลองฟังสิ่งที่จะกล่าวต่อไปนี้… ตัวเลขสมรรถนะอัตราเร่งนั้น “ไวพอกันกับ Vios แถมประหยัดกว่า และให้พื้นที่ห้องโดยสารด้านหลังกว้างขวางกว่า Vios อย่างเห็นได้ชัด!”
ไม่เชื่อใช่ไหมครับ? Yaris ยังคงเดินตามแนวทางของตนเองเสมอมา ในการสร้างความประหลาดใจให้กับผู้บริโภคทั่วโลก และครั้งนี้ก็เช่นกัน เหมือนเช่นที่ Yaris รุ่นแรกเคยทำไว้เมื่อ 15 ปีก่อน
วิวัฒนาการของ Yaris: จากจุดเริ่มต้นที่ยุโรป สู่ตลาดโลก
ความพยายามของ Toyota ในการบุกตลาดรถยนต์ Sub-Compact Hatchback ในยุโรปนั้นมีมานานแล้ว เริ่มต้นจากการปรับปรุงตระกูล Publica ออกมาเป็น Starlet ซึ่งแม้จะทำตลาดได้เรื่อยๆ แต่ก็ดูจะกลายเป็นรถยนต์ขนาดเล็กที่น่าเบื่อหน่ายสำหรับทั้งชาวยุโรปและชาวญี่ปุ่นเอง
ด้วยเหตุนี้ ทาง Toyota จึงมอบหมายให้ Sotiris Kovos นักออกแบบดาวรุ่งจากศูนย์ออกแบบ Toyota European Office of Creation (EPOC) ในยุโรป ได้รับภารกิจสำคัญในการพัฒนารถยนต์นั่งขนาดเล็กแนวทางใหม่ เพื่อเอาใจตลาดชาวยุโรปโดยเฉพาะ
เดือนกันยายน ปี 1997 Toyota ได้เผยโฉมรถยนต์ต้นแบบตระกูล Fun ทั้ง 3 รุ่น ได้แก่ FunTime, FunCoupe และ FunCargo ในงาน Frankfurt Motor Show ซึ่งถือเป็นการส่งสัญญาณให้ชาวโลกรู้ว่า รถยนต์ขนาดเล็กจาก Toyota นับจากนี้ จะมีเส้นสายที่ถอดแบบมาจากรถยนต์ต้นแบบเหล่านี้ และมาพร้อมโครงสร้างพื้นฐานทางวิศวกรรมใหม่ ที่เรียกว่า NBC (New Basic Car)
และแล้ว ในปี 1998 Toyota ก็เปิดตัว Yaris สู่สายตาชาวโลกเป็นครั้งแรก และเริ่มทำตลาดในยุโรป ปี 1999 ถือเป็นภาพลักษณ์ใหม่ที่ทำให้ชาวยุโรปหันมามองแบรนด์ Toyota อีกครั้งอย่างจริงจัง
การตั้งชื่อ “Yaris” ก็มีความน่าสนใจไม่น้อย Toyota ได้ว่าจ้างนักตั้งชื่อสินค้าชื่อดังคนหนึ่ง ให้เข้ามาดูรถในสตูดิโอออกแบบ และใช้เวลาเพียง 5 นาที ก่อนจะกลับไปค้นหาชื่อที่เหมาะสม เขาเลือกใช้ชื่อ Yaris โดยอ้างอิงจากคำว่า “Ya” ในภาษาเยอรมันที่แปลว่า “Yes” หรือ “ใช่” และคำว่า “Charis” ซึ่งเป็นเทพีแห่งความหรูหราและความงามในเทพนิยายกรีกโบราณ
Yaris ถูกเปิดตัวในตลาดญี่ปุ่นด้วยชื่อ VITZ เมื่อวันที่ 13 มกราคม 1999 ก่อนจะส่งออกไปยังตลาดออสเตรเลียและนิวซีแลนด์ด้วยชื่อ ECHO ส่วนตัวถัง Sedan 2 และ 4 ประตู ทำตลาดในญี่ปุ่นด้วยชื่อ Platz ขณะที่ตลาดอื่นๆ ใช้ชื่อ ECHO เช่นกัน แต่เป็นที่น่าสังเกตว่า ตัวถัง Sedan กลับทำยอดขายไม่ดีเท่าตัวถัง Hatchback ที่ขายดีเป็นเทน้ำเทท่า
Yaris รุ่นแรก ประสบความสำเร็จด้านยอดขายอย่างมหาศาลในยุโรปและญี่ปุ่น แถมยังคว้ารางวัล European Car of the Year ประจำปี 2000 ซึ่งเป็นรางวัลที่ปกติจะมีแต่รถยนต์ยุโรปเท่านั้นที่ครองบัลลังก์อยู่ และมีเพียง Nissan March ปี 1991 เท่านั้น ที่เคยเป็นรถญี่ปุ่นรายแรกที่ได้รับรางวัลนี้
รุ่นที่ 2 เปิดตัวในญี่ปุ่นเมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2005 ภายใต้รหัสรุ่น NCP90-NCP91, NCP95 และมีรหัสโครงการ 351L โดย Chief Engineer ชื่อ Kousuke Shibahara สำหรับเวอร์ชันไทย เปิดตัวครั้งแรกเมื่อวันที่ 17 มกราคม 2006 หรือเกือบ 1 ปีให้หลัง ภายใต้รหัสรุ่น NCP91R-AHPGKT ซึ่งถือเป็น Yaris รุ่นแรกที่ถูกผลิตในประเทศไทย
แม้ว่า Yaris รุ่นที่ 2 จะยังคงทำยอดขายทั่วโลกได้ดี แต่ในประเทศไทย ด้วยการตั้งราคาที่ค่อนข้างสูง ทำให้ยอดขายช่วงแรกไม่ดีเท่าที่ควร จนทางชมรมดีลเลอร์ Toyota ในกรุงเทพฯ ต้องประชุมเรียกร้องให้ Toyota Motor Thailand ออกแคมเปญกระตุ้นยอดขาย ซึ่งช่วยให้ Yaris ขายได้ในระดับเรื่อยๆ
รุ่นที่ 3 เปิดตัวในญี่ปุ่นเมื่อวันที่ 22 ธันวาคม 2010 ณ เมือง Yokohama แต่ Toyota เลือกทำตลาด Yaris รุ่นนี้ เฉพาะในญี่ปุ่น ยุโรป ออสเตรเลีย และนิวซีแลนด์ ซึ่งยอดขายก็ยังไม่เปรี้ยงปร้างนักเมื่อเทียบกับรุ่นก่อนหน้า
ในตอนแรก คนไทยคาดการณ์ว่า Yaris เวอร์ชันญี่ปุ่น/ยุโรป รุ่นที่ 3 นี่แหละที่จะเข้ามาผลิตขายในบ้านเรา แต่กลับมีการเปลี่ยนแปลงที่คาดไม่ถึงเกิดขึ้น ซึ่งทั้งหมดเป็นผลพวงมาจากการตัดสินใจของ Toyota ที่จะเข้าร่วมโครงการ Eco Car ของภาครัฐในช่วงท้าย แม้จะมีความลังเลในตอนแรกก็ตาม
Yaris ใหม่: คำตอบของการปรับตัวสู่ Eco Car ด้วยโจทย์ที่ท้าทาย
เมื่อเผชิญกับข้อจำกัดมากมายของโครงการ Eco Car ที่ระบุอย่างชัดเจนว่า ต้องผลิตรถยนต์รุ่นใหม่ที่ยังไม่เคยออกจำหน่ายในประเทศใดมาก่อน การนำ Yaris รุ่นที่ 3 ที่กำลังจะผลิตออกขายในญี่ปุ่นและยุโรป มาพัฒนาต่อเพื่อผลิตในไทยจึงเป็นไปไม่ได้
ขณะเดียวกัน การนำ Aygo รถยนต์ที่พัฒนาร่วมกับกลุ่ม PSA Peugeot Citroen มาทำตลาดก็ดูจะเล็กเกินไปสำหรับตลาดไทยที่ให้ความสำคัญกับภาพลักษณ์ทางสังคมควบคู่ไปกับสมรรถนะ และยิ่งไปกว่านั้น ยังมีข้อตกลงกับ PSA ว่า Aygo จะผลิตและขายได้เฉพาะในโรงงานสาธารณรัฐเช็กเท่านั้น และไม่สามารถขายในโซนอื่นนอกเหนือจากยุโรปได้
ดังนั้น ทางเลือกเดียวที่เหลืออยู่ คือ Toyota ต้องพัฒนา Yaris รุ่นใหม่ขึ้นมาอีกหนึ่งตัวถัง โดยมีเป้าหมายเพื่อเจาะตลาดศักยภาพสูงอย่างจีน ที่ต้องการรถยนต์ Hatchback ขนาดเล็ก แต่มีพื้นที่ใช้สอยมากกว่า Yaris เวอร์ชันญี่ปุ่น/ยุโรปอย่างชัดเจน โดยใช้ Platform และโครงสร้างทางวิศวกรรมบางส่วนร่วมกับ Vios แต่มีการปรับปรุงให้เข้ากับข้อกำหนดและกฎเกณฑ์ของโครงการ Eco Car
Takeshi Matsuda Chief Engineer ผู้พัฒนาทั้ง Yaris และ Vios รุ่นล่าสุด กล่าวว่า “ความตั้งใจแรกของเขาคือการทำ Yaris รุ่นนี้ให้เป็น Full Model Change ของ Yaris สำหรับตลาดทั่วโลกที่มิใช่ยุโรปหรือญี่ปุ่น แต่เมื่อตลาดไทยมีนโยบายให้ทำ Yaris รุ่นนี้เป็น Eco Car เขาจึงต้องหาทางออกให้กับข้อจำกัดและคำถามมากมายที่เกิดขึ้น ซึ่งผลลัพธ์ก็คือ Yaris อย่างที่เราเห็นกันอยู่”
หนึ่งปีก่อนการเปิดตัวเวอร์ชันจำหน่ายจริง Toyota ได้เริ่มสร้างความรับรู้ให้กับ Hatchback รุ่นใหม่คันนี้ ด้วยการสร้างรถยนต์ต้นแบบในชื่อ Toyota Dear Qin Hatchback สีเขียว ควบคู่ไปกับ Toyota Dear Qin Sedan สีแดงเลือดหมู เพื่อเปิดตัวสู่สายตาชาวโลกในงาน Beijing Automotive Show ครั้งที่ 12 เมื่อวันที่ 23 เมษายน 2012
Dear Qin ทั้งสองคัน เผยให้เห็นถึงแนวโน้มเส้นสายของ Vios และ Hatchback 5 ประตู รุ่นต่อไปสำหรับตลาดโลก ที่จะแตกต่างจากรถยนต์รุ่นเดิมอย่างสิ้นเชิง การเผยโฉม Dear Qin สีเขียว ซึ่งเป็นตัวแทนของ Yaris ใหม่ที่จะเปิดตัวในอีกหนึ่งปีต่อมา เป็นการสื่อสารให้โลกรู้ว่า รถคันนี้ถูกออกแบบมาเพื่อเอาใจลูกค้าชาวจีน ในฐานะตลาดเป้าหมายหลัก
เมื่อพิจารณาถึงเป้าหมายในการพัฒนารถยนต์คันนี้ที่เน้นเอาใจลูกค้าชาวจีน จึงไม่แปลกที่ Toyota เลือกเปิดตัว Yaris รุ่นที่ “ประหลาด” นี้ เป็นครั้งแรกในโลกที่งาน Auto Shanghai หรือ Shanghai Automobile Industry Exhibition ครั้งที่ 15 ณ เมืองเซี่ยงไฮ้ สาธารณรัฐประชาชนจีน เมื่อวันที่ 20 เมษายน 2013
แต่กว่าจะพร้อมออกสู่ตลาดจีน GAC-Toyota บริษัทร่วมทุนของ Toyota กับจีน ที่รับหน้าที่ผลิตและจำหน่าย Yaris ต้องรอถึงวันที่ 26 สิงหาคม 2013 จึงจะเริ่มปล่อยข้อมูลตัวรถทั้งหมดออกมา และเริ่มส่งรถยนต์ขึ้นโชว์รูมทั่วประเทศจีนในชื่อ Yaris-L เมื่อวันที่ 1 กันยายน 2013 ที่ผ่านมา
ประเทศไทย ถือเป็นประเทศลำดับที่ 2 ของโลก ที่ Toyota ได้เผยโฉม Yaris ใหม่รุ่นนี้ โดยงานเปิดตัวมีขึ้นเมื่อวันที่ 22 ตุลาคม 2013 ณ ห้างสรรพสินค้า Central World สี่แยกราชประสงค์
Takeshi Matsuda Chief Engineer ผู้รับผิดชอบโครงการพัฒนา Vios และ Yaris สำหรับตลาดกลุ่มเอเชีย กล่าวว่า ในตอนแรก เขาตั้งใจจะสร้างรถคันนี้ให้เป็น B-Segment Hatchback ในฐานะรุ่นเปลี่ยนโฉมใหม่ทั้งคันของ Yaris สำหรับตลาดเอเชียโดยเฉพาะ “ไม่ได้ตั้งใจทำรถคันนี้ให้เป็น Eco Car มาตั้งแต่แรก”
ทว่า เมื่อนโยบายของผู้บริหารกำหนดว่า สำหรับตลาดประเทศไทย รถคันนี้ต้องเข้ามาทำตลาดในฐานะ Eco Car จึงเกิดข้อจำกัดต่างๆ มากมาย เขาและทีมงานจึงพยายามที่จะเอาชนะอุปสรรคเหล่านั้นอย่างดีที่สุดเท่าที่จะทำได้
Matsuda-san จึงเลือกที่จะไม่ประนีประนอมกับประเด็นเรื่องเส้นสายของตัวรถ เขาให้ความสำคัญกับการออกแบบภายนอกและภายใน ซึ่งต้องนั่งสบาย ไม่เบียดเสียดกัน ขณะเดียวกัน ก็ต้องยกระดับความประหยัดน้ำมันให้เพิ่มมากขึ้น ยกระดับความเงียบในห้องโดยสาร รวมถึงการเกาะถนนชนิดที่ว่าถ้าเทียบกับรุ่นก่อนแล้ว ต้องเห็นความแตกต่างอย่างชัดเจน
Yaris ใหม่: สัดส่วนที่เปลี่ยนแปลงเพื่อพื้นที่ใช้สอยที่เหนือกว่า
Yaris ใหม่ มาพร้อมตัวถังยาว 4,115 มิลลิเมตร กว้าง 1,700 มิลลิเมตร สูง 1,475 มิลลิเมตร และมีระยะฐานล้อ 2,550 มิลลิเมตร
เมื่อเปรียบเทียบกับ Yaris รุ่นก่อน ซึ่งมีตัวถังยาว 3,800 มิลลิเมตร กว้าง 1,695 มิลลิเมตร สูง 1,520 มิลลิเมตร และระยะฐานล้อ 2,460 มิลลิเมตร จะพบว่า Yaris ใหม่ ยาวขึ้นกว่าเดิมถึง 315 มิลลิเมตร กว้างขึ้นเพียง 5 มิลลิเมตร แต่เตี้ยลง 45 มิลลิเมตร และมีระยะฐานล้อยาวขึ้น 90 มิลลิเมตร
แต่สิ่งที่เพิ่มขึ้นตามมาคือ มิติภายในห้องโดยสารที่กว้างขวางขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ไม่ว่าจะเป็นระยะห่างระหว่างผู้โดยสารตอนหน้าและหลังที่เพิ่มขึ้นเป็น 912 มิลลิเมตร (มากกว่าเดิม 46 มิลลิเมตร) พื้นที่วางเท้าสำหรับผู้โดยสารด้านหลังมีความยาวถึง 663 มิลลิเมตร (ยาวกว่าเดิม 77 มิลลิเมตร) แผงพนักพิงเบาะหลังกว้างขวางขึ้นขนาด 1,310 มิลลิเมตร (มากกว่ารุ่นเดิม 10 มิลลิเมตร) ระยะห่างจากจุดกึ่งกลางล้อหลัง – กันชนหลัง มีความยาวเพิ่มขึ้นเป็น 690 มิลลิเมตร (ยาวกว่ารุ่นเดิม 110 มิลลิเมตร) ทำให้ห้องเก็บสัมภาระท้ายรถมีความยาวถึง 734 มิลลิเมตร (ยาวกว่าเดิม 140 มิลลิเมตร) จนมีปริมาตรความจุถึง 326 ลิตร
รูปลักษณ์ภายนอก: การผสมผสานที่อาจไม่ลงตัวสำหรับทุกคน
เส้นสายภายนอกของ Yaris ใหม่ มาในสไตล์ที่เฉียบคม เน้นเหลี่ยมสัน พร้อมกระจังหน้าที่หลายคนอาจรู้สึกคุ้นเคย จนชวนให้นึกถึง Mitsubishi Lancer EX แต่ก็มีการเพิ่มลูกเล่นด้วยแถบสีเงินบริเวณกระจังหน้า จนผมอดตั้งฉายาให้รถคันนี้ว่า “Yaris รุ่นลุงหนวด!”
กระจังหน้าในรุ่น G และ E จะเป็นแถบสีเงิน ส่วนรุ่น J และ J ECO จะเป็นแถบสีดำ มือจับประตูด้านข้างรุ่น G จะเป็นโครเมียม ส่วนรุ่นอื่นๆ จะเป็นสีเดียวกับตัวถัง
ชุดไฟหน้ารุ่น G จะเป็นโคมไฟแบบโปรเจคเตอร์ ส่วนรุ่นอื่นๆ ที่เหลือ จะเป็นไฟหน้าแบบ Multi Reflector ธรรมดา กระจกมองข้าง รุ่น G, E และ J จะเป็นสีเดียวกับตัวถัง ส่วนรุ่น J ECO จะเป็นสีดำ เฉพาะรุ่น G เท่านั้นที่จะมีไฟเลี้ยวติดตั้งมาให้
รายละเอียดภายนอกบางชิ้น สามารถใช้ร่วมกับ Vios ได้ เช่น ครีบรีดอากาศที่เสาขอบประตูใกล้กระจกมองข้าง หรือมือจับประตูทั้ง 4 ชิ้น รวมถึงกระจกหน้าต่างคู่หน้า กระจกบังลมหน้าในรุ่น G ยังเป็นแบบ Acoustic Glass เสริมฟิล์มสอดแทรกเป็นไส้กลาง ช่วยลดเสียงรบกวนขณะขับขี่
ส่วนบั้นท้ายนั้น ด้วยเหตุที่ทีมออกแบบอาจต้องการสร้างความต่อเนื่องของเส้นสายจากหน้าต่างประตูคู่หลังจรดกระจกบังลมหลัง จึงมีการติดตั้งแผงพลาสติกสีดำ Glossy เพื่อเชื่อมต่อไม่ให้เส้นสายสะดุด และออกแบบชุดไฟท้ายให้มีกรอบทรงประหลาด โดยใช้กรอบท่อนล่างของ Vios ลากเส้นขึ้นไปให้ยาวในแบบที่ไม่เหมือนใคร
ผมเข้าใจว่าทีมออกแบบอาจต้องการให้ไฟท้ายดูฉีกแนว ล้ำยุค เหมือนในรถต้นแบบ Dear Qin แต่เมื่อออกมาจริง นอกจากจะละม้ายคล้ายคลึงกับไฟท้ายของ Peugeot 208 รุ่นใหม่แล้ว มันยังทำลายความลงตัวของงานออกแบบฝาประตูคู่หลังและบานประตูคู่หลัง จนทำให้บั้นท้ายดูแปลกๆ ประดักประเดิดในเส้นสายอย่างน่าเสียดายยิ่ง ราวกับมีใครเอาก้อนเลือดกำเดาไหลไปแปะอยู่กับไฟท้ายของ Vios
ทุกรุ่นจะติดตั้งใบปัดน้ำฝนพร้อมที่ฉีดน้ำล้างกระจกบังลมหลัง รวมถึงทับทิมสะท้อนแสงที่มุมกันชนด้านล่าง และมีสปอยเลอร์เหนือกระจกบานหลังมาให้แทบทุกรุ่น
แถบประดับเหนือช่องใส่ป้ายทะเบียนหลังในรุ่น G จะเป็นแถบโครเมียม รุ่น E เป็นสีเดียวกับตัวถัง ส่วนรุ่น J จะเป็นสีดำ
รุ่น G จะให้ล้ออัลลอยขนาด 15 นิ้วพร้อมยางขนาด 185/60 R15 ขณะที่รุ่น E จะได้ล้อกระทะ 15 นิ้วพร้อมฝาครอบล้อแทนล้ออัลลอย แต่ถ้าเป็นรุ่น J จะได้ล้อกระทะ 14 นิ้วพร้อมฝาครอบล้อที่สวมยางขนาด 175/65 R14 ส่วนรุ่นที่ถูกที่สุด J Eco จะไม่มีแม้แต่ฝาครอบล้อมาให้เลย เป็นเพียงล้อกระทะเหล็กสีดำพร้อมยางขนาดเดียวกันกับรุ่น J คือ 175/65 R14 ธรรมดาๆ
ภายในห้องโดยสาร: ความคุ้นเคยจาก Vios สู่ Yaris
ระบบกุญแจในรุ่น G เป็นแบบรีโมท Keyless-Entry หากพกรีโมทไว้กับตัว สามารถเดินเข้ามาที่รถ กดปุ่มสีดำที่มือจับเพื่อเปิดประตู และกดปุ่มสีดำเพื่อสั่งล็อกเมื่อออกจากรถ ติดเครื่องยนต์ด้วยการกดปุ่ม Push Start ซึ่งติดตั้งอยู่ฝั่งขวา ตำแหน่งเดียวกันกับ Vios พร้อมระบบกันขโมยนิรภัย Immobilizer และระบบเตือนการโจรกรรม TDS (Theft Deterrent System) ส่วนรุ่น E จะเป็นกุญแจรีโมทแบบไข
แต่ในรุ่นอื่นๆ จะเป็นกุญแจแบบมาตรฐานของ Toyota ตามปกติ โดยเฉพาะรุ่น J กับ J ECO หน้าตาของกุญแจชวนให้นึกถึงดอกกุญแจของ Toyota Hilux Mighty-X รุ่นปี 1990!
เนื่องจากเสาหลังคาคู่หน้า (A-Pillar) กรอบช่องประตูคู่หน้า และเสาหลังคาคู่กลาง (B-Pillar) ยกชุดมาจาก Vios ดังนั้น หากนำ Vios ใหม่ และ Yaris ใหม่ มาจอดเปรียบเทียบกัน การลุกเข้า-ออกเบาะนั่งคู่หน้าของทั้งสองรุ่นจะเหมือนกันเป๊ะ!
การเข้า-ออกจากบานประตูคู่หน้า อาจต้องใช้ความระมัดระวังเล็กน้อย เนื่องจากเสาหลังคาคู่หน้า (A-Pillar) ค่อนข้างลาดเอียง แนะนำว่าสำหรับคนตัวสูงหรือศีรษะใหญ่ ควรปรับตำแหน่งเบาะคนขับให้ต่ำที่สุดก่อน เพื่อลดโอกาสที่ศีรษะจะไปโขกกับเสาหลังคาคู่หน้า
แผงประตูด้านข้างออกแบบให้ตำแหน่งวางแขนอยู่ในระดับที่เหมาะสมเหมือนใน Vios รุ่น G ที่ทดลองขับ ตกแต่งด้วยวัสดุพลาสติกสีเงิน Metallic ประดับเข้ากับพลาสติกสีดำขึ้นลายลูกเล่นเหมือนแผงหน้าปัด มือจับประตูด้านข้างออกแบบเป็นช่องวางโทรศัพท์มือถือชั่วคราวได้ในตัว ช่องวางของด้านล่างของแผงประตู สามารถใส่ขวดน้ำขนาด 7 บาท ได้สบายๆ และยังมีพื้นที่เหลือพอให้เสียบสมุดโน้ตเล่มเล็กๆ ได้
มือจับเปิดประตูด้านในรถของรุ่น G เป็นพลาสติกชุบโครเมียมทั้ง 4 จุด
เบาะนั่งคู่หน้า เป็นแบบยกเบาะผ้าสีดำมาจาก Vios ใหม่ เปลี่ยนแค่ลายผ้าเบาะตรงกลางจากสีน้ำเงินมาเป็นสีส้ม พร้อมตะเข็บเย็บสีส้มเพื่อเพิ่มความสปอร์ต โครงสร้างเบาะนั่งคู่หน้าสามารถปรับเลื่อนขึ้นหน้า-ถอยหลังได้มากขึ้นจากเดิม 240 มิลลิเมตร เป็น 260 มิลลิเมตร และมีจังหวะการปรับเลื่อนที่ถี่ขึ้น จาก 16 เป็น 26 จังหวะ ส่วนเบาะคนขับสามารถปรับระดับสูง-ต่ำได้ด้วยก้านโยก เพิ่มขึ้นจาก 45 เป็น 60 มิลลิเมตร
นอกจากนี้ ยังมีการออกแบบด้านหลังเบาะให้มีส่วนเว้าเพิ่มขึ้น 38 มิลลิเมตร เพื่อเพิ่มระยะห่างระหว่างหัวเข่าผู้โดยสารด้านหลังกับเบาะหน้า เพิ่มขึ้นเป็น 48 มิลลิเมตร
พนักพิงศีรษะของเบาะหน้าออกแบบมาให้รองรับได้สบายกำลังดี ขณะที่พนักพิงหลังถูกออกแบบให้เว้าลึกเข้าไป โอบกระชับสรีระมากขึ้น และรองรับช่วงหัวไหล่และสะโพกได้ดีกว่าเดิมอย่างชัดเจน ถือเป็นการแก้ปัญหาเบาะนั่งไม่สบายใน Yaris รุ่นเดิมได้เกือบจะสมบูรณ์แบบ เพราะเบาะรุ่นเดิมนั้นทำให้ผมปวดหลังได้ในเวลาเพียง 15 นาที แต่กับเบาะของ Yaris ใหม่ ผมต้องใช้เวลานานกว่านั้นเกือบชั่วโมงกว่าจะเริ่มมีอาการเมื่อย
แต่สิ่งที่ยังคงต้องตำหนิคือ เบาะรองนั่งยังคงสั้นไปหน่อย ถ้าเพิ่มความยาวอีกราว 10 มิลลิเมตร น่าจะช่วยให้การรองรับต้นขาขณะขับขี่ทางไกลสบายขึ้นอีกนิด
อีกประเด็นที่น่าตำหนิเป็นที่สุด คือ เข็มขัดนิรภัยแบบ ELR 3 จุด ไม่สามารถปรับระดับสูง-ต่ำได้ เหมือนที่พบใน Vios ยังคงมีอยู่ใน Yaris ใหม่ ถือเป็นการลดต้นทุนที่น่าเกลียดมาก ทั้งที่ถุงลมนิรภัยมีมาให้ถึง 2 ใบ ทำไมอุปกรณ์ความปลอดภัยพื้นฐานอย่างระบบปรับระดับความสูง-ต่ำของเข็มขัดนิรภัยคู่หน้าจึงไม่ใส่มาให้? นอกจากนี้ ยังไม่มีที่วางแขนสำหรับคนขับมาให้เลยแม้แต่รุ่นเดียว
ส่วนพื้นที่เหนือศีรษะก็ไม่ต่างไปจาก Vios ใหม่ สัมผัสได้ชัดเจนว่ามีพื้นที่โปร่งโล่งสบายกว่า Yaris รุ่นก่อนอย่างไม่ต้องสงสัย
การลุกเข้า-ออกทางประตูคู่หลัง แม้ช่องทางเข้าจะกว้างขึ้นกว่า Yaris รุ่นเดิม แต่ก็ยังต้องก้มหัวลงเพิ่มจากระดับปกติพอสมควร ไม่เช่นนั้นศีรษะอาจจะโขกเข้ากับด้านบนของกรอบทางเข้าเต็มๆ สภาพนี้ไม่ต่างจากที่เจอใน Vios ใหม่เลยแม้แต่น้อย
กระจกหน้าต่างไฟฟ้าคู่หลังสามารถเลื่อนเปิดลงมาจนสุดขอบราง แผงประตูคู่หลังมีพื้นที่วางแขนในระดับพอใช้งานได้ ข้อศอกเกือบจะวางลงไปได้ (หากเป็นเด็กหรือคนตัวไม่สูงมากนัก อาจวางข้อศอกลงไปได้พอดี) แต่ไม่มีการบุหนังหรือวัสดุอ่อนนุ่มใดๆ และไม่มีช่องใส่ของด้านข้างมาให้เลย
พื้นที่ห้องโดยสารด้านหลัง: จุดเด่นที่กว้างขวางและโอ่อ่า
จุดขายสำคัญของ Yaris ใหม่ คือเบาะหลังที่มีพื้นที่กว้างใหญ่และโอ่อ่าที่สุด เบาะหลังมีพนักพิงที่รองรับแผ่นหลังรวมทั้งช่วงหัวไหล่ได้สบาย ฟองน้ำแน่นกำลังดี ไม่แข็งและไม่นิ่มจนเกินไป
พนักศีรษะทั้ง 2 ฝั่ง ออกแบบให้ใช้งานได้จริง รองรับศีรษะได้สบาย เว้นเสียแต่พนักศีรษะตรงกลางรูปตัว L คว่ำ ซึ่งจะต้องยกขึ้นใช้งานจึงจะไม่ทิ่มตำต้นคอ และหากเป็นไปได้ การถอดออกก็ไม่น่าจะมีปัญหา อย่างไรก็ตาม ไม่มีที่วางแขนแบบพับเก็บได้ และไม่มีช่องวางแก้วสำหรับผู้โดยสารด้านหลังมาให้ ซึ่งก็ไม่ต่างจาก Eco Car Hatchback 5 ประตูคันอื่นๆ ในตลาดนัก
เบาะรองนั่งออกแบบมาได้กำลังดี แต่สั้นไปหน่อย แต่ถ้าจะให้ยาวกว่านี้ ก็คงทำได้แค่นิดเดียว มิฉะนั้น อาจต้องมีการปาดขอบเบาะเพื่อให้เหลือพื้นที่สำหรับการเข้า-ออกประตูคู่หลัง ซึ่งคงไม่ดีแน่
พื้นที่เหนือศีรษะ สำหรับคนตัวสูง 171 เซนติเมตรอย่างผม จะเหลือพอให้สอดนิ้ว 3 นิ้วในแนวนอนแทรกกลางระหว่างปลายเส้นผมกับเพดานหลังคาด้านบนได้พอดี ผมนึกเสียดาย เพราะอยากได้พื้นที่เหนือศีรษะแบบนี้ใน Vios ใหม่เสียเหลือเกิน แต่ดูเหมือน Toyota จะไม่สามารถทำตามข้อเรียกร้องนี้ได้ใน Vios รุ่นปัจจุบัน
ส่วนพื้นที่วางขานั้น ใหญ่สะใจสมกับที่ถูกออกแบบมาให้เป็นรถยนต์ B-Segment Hatchback ตั้งแต่แรก เพราะคนตัวใหญ่อย่างผมยังสามารถนั่งไขว่ห้างได้อย่างสบาย ทั้งที่ได้ปรับเบาะคนขับให้อยู่ในระดับที่ขับใช้งานตามปกติแล้ว
ดังนั้น ผมขอยืนยันว่า พื้นที่นั่งโดยสารของ Yaris ใหม่ นั้นใหญ่โต โอ่อ่าที่สุดในบรรดา Eco Car ทุกคันที่ผลิตขายในประเทศไทยจนถึงปี 2016!
เหนือประตูทั้ง 4 บาน มีมือจับยึดเหนี่ยวจิตใจมาให้ครบทั้ง 4 ตำแหน่ง…นี่คือสิ่งที่ควรจะมีมาให้ครบ แต่เข็มขัดนิรภัยคู่หน้ากลับปรับระดับสูง-ต่ำไม่ได้!
เข็มขัดนิรภัยสำหรับเบาะแถวหลัง เป็นแบบ ELR 3 จุด ทุกที่นั่ง แต่สำหรับผู้โดยสารตรงกลาง จะถูกติดตั้งไว้กับเสาหลังคาด้านหลังสุด (C-Pillar) ฝั่งซ้ายของตัวรถ แล้วลากสายโยงเชื่อมจุดยึดมาที่กึ่งกลางเพดานหลังคา ก่อนจะลากเชื่อมลงมาให้ใช้งาน
Matsuda-san กล่าวว่า ในช่วงพัฒนา มีการถกเถียงเรื่องนี้มาก เพราะตั้งใจจะออกแบบให้มีเข็มขัดนิรภัย 3 จุดสำหรับผู้โดยสารตรงกลางอยู่แล้ว แต่ต้องมีราคาที่ลูกค้าจ่ายได้ และออกแบบไม่ให้บดบังทัศนวิสัยขณะถอยหลัง ซึ่งไม่ใช่เรื่องง่าย หากจะพับเก็บให้เรียบร้อย ต้องออกแบบให้สายเข็มขัดวางพาดผ่านหัวไหล่ของผู้โดยสารตรงกลาง หรืออาจถึงขั้นต้องออกแบบโครงสร้างของชุดเข็มขัดฝังรั้งตรึงไว้ในชุดเบาะหลัง ซึ่งจะเพิ่มต้นทุน ทั้งหมดนี้คือเหตุผลที่เข็มขัดนิรภัย 3 จุดสำหรับผู้โดยสารตรงกลางบนเบาะหลังต้องออกแบบมาเช่นนี้
ส่วนเข็มขัดนิรภัยสำหรับผู้โดยสารฝั่งซ้ายและขวา มีสายล็อกป้องกันไม่ให้สายเข็มขัดเคลื่อนตำแหน่งมาในแบบใช้สายผ้าติดกระดุมแป๊กเหมือนที่พบใน Toyota 86 และมีร่องสำหรับเสียบยึดเบาะนิรภัยสำหรับเด็กมาตรฐาน ISOFIX มาให้
พนักพิงเบาะนั่งด้านหลังในรุ่น G และ E จะแบ่งพับแยกฝั่งซ้าย-ขวาได้ในอัตราส่วน 60:40 แต่ถ้าเป็นรุ่น J และ J ECO เบาะหลังพับได้จริง แต่ต้องพับพนักพิงทั้งแผงลงมาเป็นก้อนเดียวกันไปเลย เหมือน Eco Car Hatchback รุ่นปี 2010-2011 ทั่วไป
ตำแหน่งก้านปลดล็อกพนักพิงเบาะกับตัวถังไม่ได้ติดตั้งที่หัวไหล่ของพนักพิง แต่ติดตั้งอยู่ที่ฝาผนังด้านข้างทั้ง 2 ฝั่ง เป็นปุ่มกดลงไปเพื่อปลดล็อกแล้วพับพนักพิงลงมาได้ทันที
ห้องเก็บสัมภาระ: กว้างขวางใช้งานได้จริง
ฝาประตูห้องเก็บของด้านหลัง ใช้ระบบกลอนไฟฟ้า เชื่อมต่อสัญญาณกับรีโมทกุญแจ Keyless Entry แต่ในบางกรณี ถ้าเครื่องยนต์ยังติดอยู่ อาจไม่ยอมปลดล็อกให้ ต้องดับเครื่องยนต์ก่อนจึงจะเปิดฝาประตูหลังได้
รอบกรอบช่องทางเข้าห้องเก็บของด้านหลัง บุพลาสติกมาให้เรียบร้อยครบถ้วน ต่างจาก Eco Car หลายรุ่นที่ยังปล่อยเปลือยให้เห็นผิวเหล็กสีตัวถังรถ ฝาประตูค้ำยันด้วยโช้คอัพไฮดรอลิก 2 ต้น มีแผงบังสัมภาระที่สามารถวางอยู่กับที่ หรือยกขึ้นพร้อมกับฝาประตูหลังได้
แต่บานประตูห้องเก็บของด้านหลัง ไม่มีการบุพลาสติกใดๆ มีเพียงบุผนังด้านใน และออกแบบช่องมือจับสำหรับดึงฝาประตูลงมาบริเวณฝั่งขวาของกลอนประตูเท่านั้น
ห้องเก็บสัมภาระด้านหลังมีความยาว 734 มิลลิเมตร เพิ่มขึ้นจาก Yaris รุ่นเดิมถึง 140 มิลลิเมตร มีปริมาตรความจุ 326 ลิตร ตามมาตรฐาน VDA เยอรมนี สามารถบรรจุกระเป๋าเดินทางขนาดกลางแบบ Hard Case ได้ 3 ใบ พร้อมกระเป๋าเดินทางแบบสะพายไหล่ 1-2 ใบ ถือว่ามีความจุเยอะที่สุดในบรรดา Eco Car ตัวถัง Hatchback ทุกคันในบ้านเราตอนนี้
ผนังด้านข้างฝั่งซ้าย มีไฟส่องสว่างในห้องเก็บของ เปิด-ปิดได้ด้วยสวิตช์ที่ฝังมาในตัว และเมื่อยกพื้นห้องเก็บของขึ้นมา จะพบยางอะไหล่ Dunlop SP10 ขนาด 175/65 R14 อันเป็นขนาดยางมาตรฐานของรุ่น E, J และ J Eco มาให้ พร้อมเครื่องมือและแม่แรงประจำรถจากโรงงาน
แผงหน้าปัดและคอนโซล: ความคุ้นเคยที่อาจไม่ถูกใจทุกคน
แผงหน้าปัดหน้าตาคุ้นๆ ก็ไม่ต้องแปลกใจครับ ยกชุดมาจาก Vios ใหม่ทั้งดุ้นเหมือนกันอย่างกับแกะ มากันครบ ไม่เว้นแม้กระทั่งแนวตะเข็บเส้นด้าย หรือ Stitch ที่เป็นลายตะเข็บหลอกๆ ด้วยวิธีปั้มชิ้นส่วนพลาสติกขึ้นรูปให้มีลวดลายแบบที่เห็น เพื่อเพิ่มความหรูหราให้กับตัวรถ ก็ยังเหมือนกันชนิดที่เรียกว่าพิมพ์เขียวลงประทับตราสำเนาถูกต้อง!
เพียงแต่วัสดุการตกแต่งแตกต่างกันเล็กน้อยไปตามแต่ละรุ่นย่อย แถมวัสดุประดับบริเวณกรอบนอกของชุดเครื่องเสียงยังเป็นพลาสติกผิวเรียบๆ มิได้มีผิว Texture พิเศษแบบหน้ากากชุดเครื่องเสียงแต่อย่างใด
แถบโค้งต่อเนื่องจากช่องแอร์ทั้งสองฝั่งเข้าหาแผงควบคุมกลางจะเป็นพลาสติกสีดำปกติ ไม่ได้ประดับด้วย Trim ดำเงา หรือสีเงินอย่างใน Vios ใหม่ แต่อย่างใดทั้งสิ้น
ทว่า ฐานคันเกียร์ แผงมือจับประตูทั้ง 4 บาน และกรอบช่องวางโทรศัพท์มือถือ ใน Yaris รุ่น G ประดับด้วย Trim สีเงินแทน ช่างดูน่าฉงนงงวยจริงๆ
มองขึ้นไปด้านบน จะพบวัสดุบุเพดานหลังคาแบบ Recycle เป็นสีดำตามปกติ แต่มีแผงบังแดดพร้อมกระจกแต่งหน้าแบบมีฝาปิดมาให้ทั้งฝั่งคนขับและฝั่งโดยสาร แต่ไม่ยักมีไฟแต่งหน้ามาให้ คงคิดว่าใช้ไฟส่องสว่างในเก๋งพร้อมไฟส่องอ่านแผนที่แยกกดเปิด-ปิดในตัว น่าจะเพียงพอแล้ว ซึ่งความจริงแสงแค่นั้นมันจะไปพออะไร!
จากฝั่งขวามาทางซ้ายของแผงหน้าปัด ยังคงยกชุดสลับเปลี่ยนกับ Vios ได้แทบทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นสวิตช์กระจกหน้าต่างไฟฟ้าทั้ง 4 บาน แบบมีสวิตช์ Auto One-Touch กดเลื่อนลงหรือดึงเลื่อนขึ้นจนสุดเพียงจังหวะเดียว พร้อมสวิตช์ล็อกกระจกหน้าต่างฝั่งผู้โดยสารทั้ง 3 บาน และ Central Lock บนแผงประตูฝั่งคนขับ สวิตช์กระจกมองข้างปรับและพับด้วยระบบไฟฟ้า และสวิตช์ติดเครื่องยนต์ Push Start ใต้ช่องแอร์ฝั่งคนขับ ช่องวางแก้วแบบเลื่อนเปิด-ปิดได้ ใต้ช่องแอร์ฝั่งคนขับและผู้โดยสารด้านซ้ายสุด
พวงมาลัยแบบ 3 ก้าน พร้อมสวิตช์ Multi Function ควบคุมชุดเครื่องเสียงบนก้านพวงมาลัยฝั่งซ้าย ยกมาจาก Vios มี Grip ที่จับถนัดมือ แต่มีระยะห่างจากขอบด้านบนสุดของมาตรวัดน้อยมาก เท่ากันกับ Vios ไม่มีผิด ภาพรวมดูแล้วรู้ได้เลยว่าจงใจออกแบบให้เน้นต้นทุนการผลิตที่ต่ำที่สุด ยังดีที่ในรุ่น G พวงมาลัยยังหุ้มหนังมาให้ด้วย
ผมอยากจะบอกว่า พวงมาลัยคือสิ่งสำคัญที่จะช่วยเพิ่มความรู้สึกดีๆ ให้ผู้คนอยากขับรถคันนั้นๆ ถ้าออกแบบให้มันดูสวยไม่ได้ เพราะมัวแต่คำนึงว่าต้นทุนจะแพงไป ผมว่าเลิกทำรถขายแล้วกลับไปอยู่บ้านเลี้ยงลูกเมียยังจะดีเสียกว่า งกไม่เข้าเรื่องในเรื่องไร้สาระแบบนี้เนี่ยนะ?
บนก้านสวิตช์เปิดไฟหน้า ไฟเลี้ยว และไฟสูงบนคอพวงมาลัยฝั่งขวา ไม่ต้องคลำหาสวิตช์ไฟตัดหมอกหน้า เพราะ Yaris ใหม่ ไม่มีไฟตัดหมอกหน้ามาให้เลยแม้แต่รุ่นเดียว
ส่วนก้านสวิตช์ใบปัดน้ำฝนพร้อมที่ฉีดน้ำด้านหน้า มีระบบหน่วงเวลา และสามารถตั้งเวลาในการหน่วงให้ปัดเร็ว-ช้าได้ เฉพาะรุ่น G และ E
มาตรวัดและระบบเครื่องเสียง: กราฟิกเรียบง่าย แต่ใช้งานได้จริง
ชุดมาตรวัดเป็นแบบ 3 วงกลมเหมือนกัน ตำแหน่งสัญญาณไฟเตือนต่างๆ ก็เหมือนกัน ตอนกลางคืนก็เรืองแสงสีขาวเป็นหลักเหมือนกัน แม้กระทั่ง Font ตัวเลขที่อ่านง่าย แบ่งขีดความเร็วชัดเจน และดูคล้ายยกมาจากป้ายโฆษณาของห้าง Tesco Lotus ก็ยังคงเหมือนกันกับ Vios รุ่น Top 1.5 S เพียงแต่ลวดลาย Graphic บนพื้นหลังถูกออกแบบให้ใช้โทนสีแดงเป็นหลัก นัยว่าเพิ่มบุคลิกสปอร์ตให้มากขึ้น
เฉพาะรุ่น G จอแสดงข้อมูลตรงกลางเปลี่ยนมาเป็นสีส้ม ตัวเลข Digital สีดำ บอกตำแหน่งเกียร์ มาตรวัดระยะทางรวมทั้งหมดตั้งแต่รถเริ่มผลิต (Odometer) มาตรวัด Trip Meter A และ B อัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงเฉลี่ย ความเร็วเฉลี่ย และระยะทางที่น้ำมันในถังยังเหลือพอให้รถวิ่งต่อไปได้อีกกี่กิโลเมตร
แต่ที่ยังคงต้องตำหนิกันตามเดิม คือ ลายกราฟิกบนพื้นหลังของมาตรวัดยังคงเป็นพื้นเรียบๆ แบนๆ ไร้มิติ แบบเดียวกับที่เด็กประถมหัดเล่นโปรแกรม Paintbrush ใน Windows 98 แล้วพิมพ์ออกมาผ่านทาง Printer แบบ Dot Matrix เก่าๆ ช่วยออกแบบให้ดูดีมีมิติชัดตื้นลึกกว่านี้ และดูจงใจลดต้นทุนน้อยกว่านี้ได้ไหม?
ชุดเครื่องเสียงเป็นวิทยุ AM/FM พร้อมช่องใส่แผ่น CD/MP3/WMA ได้ 1 แผ่น และมีช่องเสียบ USB และ AUX มาให้ ถ้าเป็นรุ่น G กับ E จะมีลำโพงมาให้ 4 ชิ้น แต่ถ้าเป็นรุ่น J กับ J Eco จะมีเพียงแค่ 2 ชิ้นเท่านั้น
คุณภาพเสียงก็ไม่ต่างจากใน Vios นั่นแหละครับ คือไม่ถึงขั้นเทพ พอฟังได้ รับคลื่นชัด หน้าจอสีส้ม บอกภาษาได้ทั้งอังกฤษ ไทย ญี่ปุ่น แม้แต่ภาษาจีน! International ดีจริง!
ส่วนสวิตช์เครื่องปรับอากาศในรุ่น G เป็นแบบมีหน้าจอ Digital มาให้ยกชุดจาก Vios เช่นกัน ให้ความเย็นสะใจตามสไตล์ Denso แต่การใช้งานยังคงสร้างความสับสนได้ โดยเฉพาะสวิตช์ฝั่งซ้ายสุด ที่เลือกจะรวมการหมุนเลือกความแรงพัดลม ทิศทางลมจากช่องแอร์ และตัวเลขอุณหภูมิไว้ในสวิตช์หมุนชุดเดียวกัน ขึ้นอยู่กับว่าจะเลือกกดปุ่ม Mode ใด บางทีถ้าไม่ละสายตาจากถนนข้างหน้าลงมาเปลี่ยน Mode เอง ก็อาจสับสนได้
ชวนให้นึกถึงสวิตช์แบบมือบิดวงกลม 3 วงในรุ่น E, J และ J Eco ขึ้นมาเสียช้ำใจ! ใช้งานง่ายสะดวกสบาย คลำหาก็จำได้ว่าต้องหมุนต้องเปลี่ยนอะไร แต่ดันออกแบบมาไม่สวย…เฮ้อ!
ช่องวางโทรศัพท์มือถือใต้สวิตช์เครื่องปรับอากาศด้านหลังคันเกียร์ ที่ผมเคยบ่นมาแล้วในบทความรีวิว Vios ว่าจะทำมาให้วางมือถือกันแบบนี้ทำไม ก็ยังคงปรากฏตัวให้เห็นใน Yaris กันอีกด้วย ผมมองว่าเป็นการออกแบบที่พยายามเอาใจลูกค้า แต่ไม่ค่อยสอดคล้องกับสภาพการใช้งานจริง เพราะถ้าเจอถนนขรุขระ หรือเข้าโค้งซ้ายแรงไปหน่อย โอกาสที่โทรศัพท์จะหล่นลงมาอยู่บนพื้นที่วางขาฝั่งคนขับมีอยู่เหมือนกัน และนั่นไม่ใช่เรื่องดีแน่ในแง่ความปลอดภัย สู้ทำเป็นช่องใส่ของลึกๆ ตามเดิมไว้ให้เจ้าของรถเขาเลือกเอาเองว่าจะวางข้าวของอะไรตามอำเภอใจไปเลยจะดีกว่าทำแบบนี้!
กล่องเก็บของบนแผงหน้าปัดฝั่งผู้โดยสารด้านหน้า (Glove Compartment) ยกมาจาก Vios เช่นกัน ดูจากฝาภายนอกเหมือนจะใหญ่ แต่เอาเข้าจริง แค่ใส่คู่มือผู้ใช้รถ สมุดรับประกัน และเอกสารประกันภัย ก็ล่อเข้าไปครึ่งหนึ่งของพื้นที่ทั้งหมดแล้ว แถมยังคงกั้นพื้นที่กล่องเก็บของฝั่งขวาไว้อย่างที่เห็นในภาพ สงสัยว่าขนาดของเครื่องปรับอากาศมันใหญ่จนต้องงอกออกมาทางด้านข้างเลยหรือ? เปลืองพื้นที่กล่องใส่ของโดยไม่จำเป็นจริงๆ
มองลงต่ำมานิดหน่อย ในขณะที่ Vios ให้กล่องเก็บของขนาดเล็กพร้อมฝาเปิดที่พยายามจะเป็นที่วางแขนในตัว แต่ Yaris กลับไม่มีอะไรให้มาเกินไปกว่าเบรกมือ 1 จุด ช่องวางแก้วสำหรับผู้โดยสารด้านหลัง 1 ตำแหน่ง ช่องเสียบกล่อง CD ที่ใช้งานไม่ได้จริง เพราะใส่กล่อง CD ลงไปกล่องเดียวก็หลวม แต่พอใส่กล่อง 2 เข้าไปก็เบียดเสียดกันเกินไป แถมขับรถอยู่ดีๆ กล่อง CD ก็จะเลื่อนไหลหล่นไปอยู่บนพื้นที่วางขาของคนขับเสียอย่างนั้น
อย่างกและดูแต่คู่แข่งเลยครับ แค่ใส่กล่องวางของเพิ่มให้ก็ได้ใจลูกค้าแล้ว!
ทัศนวิสัย: โปร่งโล่งกว่าเดิม ลดจุดบอด
ทัศนวิสัยด้านหน้า ไม่ได้แตกต่างไปจาก Vios เลยแม้แต่น้อย ไม่ว่าคุณจะมองไปที่ฝากระโปรงหน้า มองไปที่กระจกมองข้างฝั่งขวา หรือฝั่งซ้าย มุมมองจะไม่แตกต่างไปจากภาพที่คุณจะได้เห็นเมื่อนั่งอยู่หลังพวงมาลัยของ Vios ใหม่
แต่ถ้าเทียบกับ Yaris รุ่นเดิมแล้ว ทัศนวิสัยด้านหน้าดีขึ้นกว่ารุ่นเดิมจนสัมผัสได้!
เสาหลังคาคู่หน้า (A-Pillar) ฝั่งขวา มีการบดบังรถที่แล่นสวนมาบนทางโค้งของถนนสวนกันเลนเดียว น้อยลงไปจาก Yaris รุ่นเดิมมาก กระจกมองข้าง แม้จะให้การมองเห็นรถที่แล่นมาจากด้านหลังได้ดี แต่พื้นที่กรอบพลาสติกด้านในยังแอบกินพื้นที่เข้ามายังขอบล่างฝั่งขวาของบานกระจกมองข้างอยู่บ้างนิดหน่อย แต่ก็ไม่มีการบดบังใดๆมากเท่ารถรุ่นเดิม
เสาหลังคาคู่หน้า (A-Pillar) ฝั่งซ้าย ยังแอบมีการบดบังรถที่แล่นสวนทางมาขณะเลี้ยวกลับอยู่บ้างในบางรูปแบบของจุดกลับรถ แต่จะพบปัญหานี้ได้ถ้าเกาะกลางถนนหรือคูน้ำกลางถนนค่อนข้างกว้าง นอกนั้นจะไม่มีปัญหามากนัก ถือว่าโปร่งขึ้นกว่า Yaris เดิม
กระจกมองข้างฝั่งซ้าย ก็ยังมองเห็นรถคันที่แล่นตามมาได้ดี เพียงแต่ขอบกระจกด้านล่างฝั่งซ้ายอาจถูกกรอบด้านในกระจกบดบังพื้นที่เข้ามาบ้าง กระนั้นก็ยังไม่มากนัก
แต่สำหรับทัศนวิสัยด้านหลัง ในเมื่อเสาหลังคาคู่หลังมีขนาดใหญ่พอที่จะนึกถึงเสาหลังคาคู่หลังของ Nissan Tiida Hatchback 5 ประตู ก็ต้องทำใจว่าอาจมีการบดบังรถจักรยานยนต์ที่แล่นตามมาจากด้านหลังฝั่งซ้ายของรถได้อยู่บ้าง หากคิดจะเปลี่ยนช่องทางเข้าเลนคู่ขนาน ควรเพิ่มความระมัดระวังเล็กน้อย และอย่าพึ่งพากระจกมองข้างฝั่งซ้ายเพียงอย่างเดียว
วิศวกรรมและสมรรถนะ: เครื่องยนต์ 1.2 ลิตร แต่แรงเกินคาด!
เมื่อ Toyota ตัดสินใจให้ Yaris ใหม่ เปลี่ยนกลุ่มตลาดจากเดิมที่เป็น B-Segment Hatchback 1,500 ซีซี ให้ลงมาฟัดเหวี่ยงกับกลุ่ม Eco Car Hatchback 1,200 ซีซี ทำให้ Toyota จำเป็นต้องลดขนาดเครื่องยนต์ลงมาจากเดิม เลิกใช้เครื่องยนต์รหัส 1NZ-FE บล็อก 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว 1,497 ซีซี พ่วงด้วยเกียร์อัตโนมัติ 4 จังหวะ ECT-i ที่เคยใช้ร่วมกับ Vios เดิม
แล้วแทนที่ด้วยเครื่องยนต์ 3NR-FE บล็อก 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว ความจุ 1,197 ซีซี กำลังอัด 11.5:1 หัวฉีด EFI มาพร้อมระบบแปรผันวาล์วที่หัวแคมชาฟต์ทั้งฝั่งไอดีและไอเสีย (Dual VVT-i) มีระบบปรับตั้งระยะห่างวาล์วอัตโนมัติ และมีระบบปรับความตึงสายพานขับอัตโนมัติ ให้กำลังสูงสุด 86 แรงม้า (PS) ที่ 6,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 108 นิวตันเมตร (11.0 กก.-ม.) ที่ 4,000 รอบ/นาที
เครื่องยนต์รุ่นนี้ผ่านการทดสอบตามมาตรฐาน Eco Car โดยใช้น้ำมันเครื่องที่มีค่าความหนืด 0W20 แต่สามารถใช้น้ำมันเครื่องที่มีค่าความหนืดอื่นๆ ได้ รวมถึงน้ำมันเชื้อเพลิงสามารถเติมได้ทั้งเบนซินไร้สารตะกั่ว ออกเทน 91 และ 95 หรือแก๊สโซฮอล์ 91 และ 95 (เฉพาะ E10 และ E20)
เครื่องยนต์ลูกนี้จะส่งกำลังสู่ระบบขับเคลื่อนล้อหน้า ด้วยทางเลือกที่มีเพียงแค่เกียร์อัตโนมัติ อัตราทดแปรผัน Super CVT-i เท่านั้น โดยไร้เงาของเกียร์ธรรมดา
เหตุผลที่ Yaris ใหม่ มีให้เลือกแค่เกียร์อัตโนมัติ CVT โดยไม่มีรุ่นเกียร์ธรรมดา Toyota อ้างว่าจากการสำรวจวิจัยตลาดในประเทศไทย พบว่าความต้องการเกียร์ธรรมดาในตลาดรถยนต์นั่งกลุ่ม Eco Car ไม่ถึง 5% ของยอดขายรวม ทำให้พวกเขาจึงมองว่าเกียร์ CVT น่าจะเป็นทางเลือกเดียวสำหรับลูกค้าชาวไทยไปเลยดีกว่า
อย่างไรก็ตาม มีเสียงลือเสียงเล่าอ้างว่า ส่วนหนึ่งน่าจะเป็นผลจากการที่ Yaris ใหม่ รุ่นเกียร์ธรรมดา อาจไม่ผ่านการทดสอบด้านมลพิษ คืออาจปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) มากกว่ารุ่น CVT จนเกินกว่าค่ากำหนดของรัฐบาล ซึ่งอ้างอิงมาตรฐานมลพิษจาก UNECE ว่าต้องปล่อยก๊าซ CO2 ไม่เกิน 120 กรัม/กิโลเมตร จึงทำให้ไม่อาจวางจำหน่ายในไทยได้
Toyota เคลมว่าเกียร์ CVT ลูกนี้ถูกออกแบบมาให้ใช้น้ำมันเกียร์ CVT ของตนเองโดยเฉพาะ และแตกต่างจากที่ใส่ให้ในเกียร์ CVT ของ Corolla Altis MY 2010-2013 อีกทั้งยังมีท่อหายใจยกไว้สูงกว่าเดิม เพื่อรองรับปัญหาน้ำท่วม ทำให้โอกาสที่เกียร์จะเสียหายจากการลุยน้ำลดน้อยลง
สมรรถนะที่เหนือความคาดหมาย
ตัวเลขสมรรถนะจากโรงงานระบุว่าอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงเฉลี่ยอยู่ที่ 5.0 ลิตร/100 กิโลเมตร และปล่อยก๊าซ CO2 เฉลี่ย 118 กรัม/กิโลเมตร
แต่เมื่อทำการทดสอบอัตราเร่งจริง ตัวเลขที่ออกมานั้นน่าตกใจ! Yaris 1.2 ลิตร CVT สามารถทำอัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ได้ในเวลาเพียง 12.4 วินาที และ 80-120 กม./ชม. ในเวลา 8.8 วินาที ซึ่งใกล้เคียงกับ Toyota Vios 1.5 ลิตร 4AT และเร็วกว่าคู่แข่งในพิกัด Eco Car ส่วนใหญ่!
ข้อสงสัยและคำตอบ:
ทำไม Yaris 1.2 ลิตร ถึงทำตัวเลขอัตราเร่งได้ดีขนาดนี้?
อุณหภูมิ: การทดสอบในช่วงกลางคืนที่มีอากาศเย็นลง ช่วยให้เครื่องยนต์ทำงานได้ดีขึ้น
อัตราทดเกียร์และเฟืองท้าย: Toyota ตั้งอัตราทดเฟืองท้ายไว้สูงถึง 5.833:1 เพื่อเน้นอัตราเร่งช่วงออกตัว ทำให้รถมีความคล่องตัวในช่วงความเร็วต่ำถึงปานกลาง
การปรับเซ็ต: การปรับเซ็ตพวงมาลัยและช่วงล่างที่เน้นความนุ่มนวลและเสถียรภาพ ยังส่งผลดีต่อการขับขี่โดยรวม
การขับขี่จริง:
อัตราเร่ง: เพียงพอต่อการใช้งานในเมือง และยังแรงเกินความคาดหมายเมื่อต้องการเร่งแซง การใช้ตำแหน่งเกียร์ S จะช่วยให้เรียกอัตราเร่งแซงได้ทันใจ
ความเร็วสูงสุด: อาจต้องใช้แรงส่งจากเนินช่วยดัน เพื่อให้ได้ตัวเลขสูงสุดที่จำกัด
การประหยัดน้ำมัน: ตัวเลขจากการทดสอบจริงอยู่ที่ 16.64 กม./ลิตร ซึ่งถือว่าทำได้ดี เทียบเคียงกับคู่แข่งในกลุ่ม Eco Car และประหยัดกว่า Vios 1.5 ลิตร
พวงมาลัย: เป็นแบบ EPS (Electric Power Steering) ที่ปรับน้ำหนักตามความเร็วรถ แม้จะยังคงความรู้สึกแบบรถยนต์ไฟฟ้า แต่มีการปรับปรุงให้หน่วงมือและมั่นใจกว่าเดิม
ช่วงล่าง: ด้านหน้าเป็น MacPherson Strut ส่วนด้านหลังเป็น Torsion Beam มีการปรับปรุงให้เน้นความนุ่มนวลในการดูดซับแรงสะเทือน และเพิ่มเสถียรภาพขณะขับขี่ด้วยความเร็วสูง การทรงตัวทำได้ดี และการเข้าโค้งนั้นเหนือความคาดหมาย สามารถทำความเร็วในโค้งได้อย่างมั่นใจ
ระบบห้ามล้อและความปลอดภัย: มาตรฐานที่เชื่อถือได้
ระบบห้ามล้อเป็นแบบหน้าดิสก์-หลังดรัมทุกรุ่น พร้อมระบบป้องกันล้อล็อก ABS, ระบบกระจายแรงเบรก EBD และระบบเสริมแรงเบรกในภาวะฉุกเฉิน (Brake Assist)
การตอบสนองของเบรกอยู่ในสไตล์เดียวกับ Vios คือเบรกจิกๆ ดี หรือจะเบรกให้นุ่มนวลก็ทำได้ ระบบป้องกันล้อล็อก ABS ทำงานได้ดี แต่ต้องกะน้ำหนักเท้ากันสักหน่อย
โครงสร้างตัวถังยังคงใช้เทคโนโลยี GOA และมีการออกแบบชิ้นส่วนที่สามารถใช้ร่วมกับ Vios ได้ อุปกรณ์ความปลอดภัยพื้นฐาน เช่น ถุงลมนิรภัยคู่หน้า SRS, พนักศีรษะแบบ WIL (Whiplash Injury Lessening) และเข็มขัดนิรภัย ELR 3 จุด พร้อมระบบดึงกลับอัตโนมัติ มีมาให้ครบถ้วน
สรุป: Yaris ใหม่ ความคุ้มค่าที่มาพร้อมข้อสังเกต
Toyota Yaris ใหม่ เป็นรถยนต์ Eco Car Hatchback ที่น่าสนใจ ด้วยการออกแบบที่เน้นพื้นที่ใช้สอยกว้างขวาง สมรรถนะอัตราเร่งที่เหนือความคาดหมาย และการขับขี่ที่นุ่มนวลและเกาะถนนได้ดี
จุดเด่น:
พื้นที่ห้องโดยสาร: กว้างขวาง นั่งสบาย โดยเฉพาะเบาะหลัง
สมรรถนะ: อัตราเร่งดีเกินคาด ประหยัดน้ำมันได้ดี
ช่วงล่าง: การเซ็ตช่วงล่างทำได้ดี ให้ความนุ่มนวลและเสถียรภาพ
ราคา: เมื่อเทียบกับ Vios รุ่นเดียวกัน Yaris มีราคาที่น่าสนใจกว่า
ข้อสังเกตและสิ่งที่ควรปรับปรุง:
ดีไซน์: ด้านหน้าที่อาจไม่ถูกใจทุกคน และไฟท้ายที่ดูแปลกตา
อุปกรณ์ความปลอดภัยพื้นฐาน: เข็มขัดนิรภัยคู่หน้าไม่สามารถปรับระดับสูง-ต่ำได้
พวงมาลัย: ยังคงมีบุคลิกแบบรถยนต์ไฟฟ้า ขาดชีวิตชีวา
การตกแต่งภายใน: วัสดุบางส่วนยังดูธรรมดา และการจัดวางบางฟังก์ชันอาจสร้างความสับสน
ทางเลือกที่น่าสนใจ:
หากคุณกำลังมองหารถยนต์ Eco Car Hatchback ที่ให้ความคุ้มค่า Yaris ใหม่ เป็นตัวเลือกที่น่าสนใจ แต่หากคุณให้ความสำคัญกับสมรรถนะการควบคุมรถเป็นพิเศษ Suzuki Swift ยังคงเป็นคู่แข่งที่น่าจับตามอง
หากคุณเปรียบเทียบ Yaris ใหม่ กับ Vios Sedan 1.5 ลิตร ราคาที่ทับซ้อนกัน ทำให้ Yaris เป็นทางเลือกที่น่าสนใจอย่างยิ่ง สำหรับผู้ที่ต้องการรถยนต์ที่มีอุปกรณ์ใกล้เคียง Vios ในราคาที่ถูกกว่า และไม่ซีเรียสเรื่องอัตราเร่งที่ด้อยกว่าเล็กน้อย
Yaris ใหม่ ไม่ใช่แค่ Eco Car แต่คือการก้าวข้ามขีดจำกัดของตนเอง เพื่อตอบสนองความต้องการที่หลากหลายของตลาด และนี่คือสิ่งที่ทำให้ Yaris ใหม่ เป็นรถยนต์ที่น่าจับตามองอย่างแท้จริง
หากคุณกำลังมองหารถยนต์คันใหม่ ที่ตอบโจทย์การใช้งานในชีวิตประจำวัน ด้วยพื้นที่ใช้สอยที่กว้างขวาง สมรรถนะที่ไว้ใจได้ และราคาที่สมเหตุสมผล ลองเข้ามาสัมผัสและทดลองขับ Toyota Yaris ใหม่ ได้ที่โชว์รูมโตโยต้าใกล้บ้านคุณ แล้วคุณจะพบว่า Yaris ใหม่ อาจเป็นคำตอบที่คุณกำลังมองหาอยู่ก็เป็นได้

