โตโยต้า ยาริส: เปิดตำนานรถยนต์อีโคคาร์ ที่มาพร้อมความประหลาดใจ
ในฐานะผู้คร่ำหวอดในวงการยานยนต์มากว่าทศวรรษ ผมได้เห็นการเปลี่ยนแปลงของอุตสาหกรรมรถยนต์มาอย่างนับไม่ถ้วน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มรถยนต์นั่งขนาดเล็ก หรือ Sub-Compact Hatchback ที่นับเป็นตลาดที่ดุเดือดและมีการแข่งขันสูงเสมอมา และหนึ่งในปรากฏการณ์ที่น่าจับตาในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา คือการมาถึงของ Toyota Yaris โฉมใหม่ ที่ไม่เพียงแต่เปลี่ยนโฉมหน้าของตระกูล Yaris เอง แต่ยังสั่นสะเทือนตลาดรถยนต์อีโคคาร์ในประเทศไทยอย่างไม่เคยมีมาก่อน
ย้อนกลับไปเมื่อหลายปีก่อน ใครจะคาดคิดว่า รถยนต์ที่ถูกมองว่าเป็น “น้องเล็ก” ของ Toyota จะสามารถก้าวขึ้นมาท้าชนกับรถยนต์ในระดับ B-Segment ได้อย่างสง่างาม หรือแม้กระทั่ง “เหนือกว่า” ในบางมิติ? ความสำเร็จนี้ ไม่ได้มาจากการบังเอิญ แต่เป็นผลลัพธ์จากการวางแผนกลยุทธ์ที่ชาญฉลาด การปรับตัวตามเทรนด์ตลาด และการยกระดับเทคโนโลยีอย่างต่อเนื่อง
จุดเริ่มต้นของปรากฏการณ์: ความคาดหวังที่สวนทาง
เมื่อมีข่าวลือสะพัดถึง Yaris รุ่นใหม่ ที่มีดีไซน์ “เหลี่ยมๆ สปอร์ตๆ” พร้อมกระจังหน้าที่หลายคนมองว่าละม้ายคล้ายกับ Mitsubishi RVR/ASX ในตอนนั้น ผมเองก็อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจด้วยความกังวล เพราะจากประสบการณ์ของ Mitsubishi Lancer EX ที่เคยเป็นบทเรียนราคาแพงว่า การออกแบบที่ดุดันเกินไปอาจไม่ตอบโจทย์ตลาดผู้หญิง ซึ่งเป็นกลุ่มลูกค้าหลักของรถยนต์ Eco Car มากกว่า 30-40% ยิ่งตลาด Eco Car เน้นความน่ารัก น่าทะนุถนอม เส้นสายที่โค้งมน การออกแบบที่ “แมน” เกินไป อาจเป็นดาบสองคม
ภาพในหัวของผมในตอนนั้น คือ Yaris Hatchback 5 ประตูคันใหญ่ขึ้น ใช้ A-Pillar ร่วมกับ Vios โฉมใหม่ (ซึ่งตอนนั้นยังเป็นปริศนา) แต่เมื่อภาพถ่ายจากงาน Auto Shanghai 2013 หลุดออกมาสู่สายตา ผมแทบไม่อยากเชื่อ ภาพด้านหน้าที่คล้ายกับ “นายจันหนวดเขี้ยว” หรือ “อาเหล่ากง” ประกอบกับชุดไฟท้ายที่ดูแปลกตา จนหลายคนเปรียบเทียบว่าเป็น “ก้อนน้ำมูก” ช่างห่างไกลจากภาพลักษณ์ที่คาดหวังไว้สิ้นเชิง
“จบกัน…แบบนี้ ขายผู้ชายได้ แต่ขายผู้หญิงยาก” คำพูดนี้ผุดขึ้นในใจทันที ทางออกเดียวที่มองเห็น คือการใช้ “Colorful Marketing” พยายามหาเฉดสีตัวถังสวยๆ มาดึงดูดสายตาผู้หญิง ไม่งั้น Yaris โฉมนี้คงจะไปไม่รอด
เผชิญหน้ากับความท้าทาย: ตลาดที่ผันผวน
การเปิดตัว Yaris ใหม่ ในช่วงเวลานั้น ยังตรงกับช่วงเวลาที่โครงการคืนภาษีรถคันแรกของรัฐบาลเพิ่งสิ้นสุดลง ซึ่งส่งผลให้ตลาดรถยนต์โดยรวมอยู่ในภาวะชะลอตัว กำลังซื้อหดหาย รถค้างสต็อกเต็มลาน ส่งผลกระทบอย่างหนักต่อกลุ่ม B-Segment และ Eco Car ซึ่งเป็นกลุ่มที่ได้รับผลกระทบมากที่สุด ไม่ว่าจะออกแคมเปญหนักแค่ไหน ยอดขายก็ยังไม่กระเตื้องขึ้นเท่าที่ควร
ดังนั้น การเปิดตัวรถยนต์รุ่นใหม่ในช่วงนี้ จึงเป็นการวัดใจผู้ผลิตอย่างแท้จริง หากกระแสไม่เปรี้ยงปร้าง ก็ต้องเตรียมรับมือกับยอดขายที่หดหาย Yaris เองก็หนีไม่พ้นชะตากรรมนี้ ไปพร้อมกับ Vios ที่ใช้แพลตฟอร์มร่วมกัน การเปิดตัว Yaris ในเวลานั้น ดูเหมือนจะเป็น “ไฟท์บังคับ” ที่ Toyota ต้องทำ เพื่อไม่ให้การเปิดตัวล่าช้าออกไปจนหมดความจำเป็น
ผลลัพธ์ที่ออกมาเป็นไปตามที่คาดการณ์ไว้ กระแสการพูดถึง Yaris ในโซเชียลมีเดียบางตา เมื่อเทียบกับรถรุ่นใหม่ๆ ในอดีต น้อยคนที่จะให้ความสนใจ ยิ่งเมื่อเทียบกับ Nissan Teana ที่เปิดตัวก่อนหน้าเพียงวันเดียว ก็แทบจะกลบกระแส Yaris ไปจนหมดสิ้น
พลิกวิกฤตเป็นโอกาส: ความประหลาดใจที่น่าจดจำ
แต่เมื่อเวลาผ่านไป สิ่งที่ไม่คาดคิดก็เริ่มปรากฏขึ้น กระแสการพูดถึง Yaris กลับมาเพิ่มขึ้นในโลกโซเชียลมีเดีย และที่สำคัญที่สุด คือปริมาณ Yaris ใหม่ ที่เริ่มปรากฏให้เห็นบนท้องถนนมากขึ้นเรื่อยๆ นั่นหมายความว่า ลูกค้าเริ่มให้การยอมรับ “น้องใหม่หน้าตาประหลาด” คันนี้แล้ว!
คำถามที่หลายคนยังคงค้างคาใจ คือ อัตราเร่งจะเป็นอย่างไร? ประหยัดน้ำมันหรือไม่? ขับขี่ดีไหม? พวงมาลัยแก้ไขแล้วหรือยัง? ช่วงล่างเป็นอย่างไร? และที่สำคัญที่สุด คือ “ควรจะซื้อหรือไม่?” และถ้าซื้อ “ควรเลือกรุ่นย่อยไหนดี?” คำถามเหล่านี้ จะถูกคลี่คลายในบทความนี้
แต่สิ่งที่จะทำให้คุณประหลาดใจยิ่งกว่าเดิม คือตัวเลขอัตราเร่งที่ออกมานั้น “ไวพอๆ กันกับ Vios” แถมยัง “ประหยัดกว่า Vios” และที่สำคัญ “ได้พื้นที่ห้องโดยสารกว้างขวางกว่า Vios (โดยเฉพาะด้านหลัง)”!
ไม่เชื่อใช่ไหมล่ะ? Yaris ยังคงทำหน้าที่ของรถยนต์ที่สร้างความประหลาดใจให้กับลูกค้าทั่วโลกในแทบทุกครั้งที่เปิดตัว เหมือนเช่นรุ่นแรกของมันเมื่อ 15 ปีก่อนหน้านี้!
ต้นกำเนิดแห่งความแปลกใหม่: จาก Yaris สู่ Eco Car ของไทย
Toyota ได้พยายามบุกตลาด Sub-Compact Hatchback ในยุโรปมาอย่างยาวนาน ตั้งแต่สมัยปรับปรุงตระกูล Publica จนกลายเป็น Starlet แต่ Starlet ก็เริ่มกลายเป็นรถยนต์ขนาดเล็กที่น่าเบื่อสำหรับชาวยุโรปและญี่ปุ่นเอง
จึงเป็นที่มาของการมอบหมายให้ Sotiris Kovos นักออกแบบดาวรุ่งจาก Toyota European Office of Creation (EPOC) พัฒนารถยนต์นั่งขนาดเล็กแนวใหม่ เพื่อเอาใจชาวยุโรปโดยเฉพาะ ในเดือนกันยายน 1997 Toyota ได้เปิดตัวรถต้นแบบตระกูล “Fun” ทั้ง FunTime, FunCoupe และ FunCargo ในงาน Frankfurt Motor Show เพื่อส่งสัญญาณว่า รถยนต์ขนาดเล็กจาก Toyota นับจากนี้ จะมีเส้นสายที่ถอดแบบมาจากรถต้นแบบเหล่านี้ และมาพร้อมโครงสร้างวิศวกรรมใหม่ที่เรียกว่า NBC (New Basic Car)
ในปี 1998 Toyota ได้เผยโฉม Yaris เป็นครั้งแรก และเริ่มทำตลาดในยุโรป ชื่อ “Yaris” เกิดจากการจ้างนักตั้งชื่อสินค้าชื่อดัง ให้เวลาดูรถเพียง 5 นาที แล้วกลับไปค้นหาชื่อที่เหมาะสม เขาเลือก “Yaris” ด้วยเหตุผลว่า “Ya” ในภาษาเยอรมัน แปลว่า “Yes” หรือ “ใช่” และ “Charis” เป็นเทพีแห่งความหรูหราและความงามในเทพนิยายกรีกโบราณ
Yaris เปิดตัวในตลาดญี่ปุ่นด้วยชื่อ VITZ เมื่อวันที่ 13 มกราคม 1999 ก่อนจะส่งไปทำตลาดในออสเตรเลียและนิวซีแลนด์ด้วยชื่อ ECHO ส่วนตัวถัง Sedan 2 และ 4 ประตู ขายในญี่ปุ่นชื่อ Platz และในตลาดอื่นๆ ใช้ชื่อ ECHO เช่นกัน แต่ก็ไม่ประสบความสำเร็จเท่ารุ่น Hatchback ที่ขายดีเป็นเทน้ำเทท่า
Yaris รุ่นแรกประสบความสำเร็จด้านยอดขายอย่างสูงในยุโรปและญี่ปุ่น แถมยังคว้ารางวัล European Car of the Year ประจำปี 2000 ซึ่งปกติจะเป็นรางวัลที่รถยุโรปครองบัลลังก์มาตลอด มีเพียง Nissan March ปี 1991 ที่เป็นรถญี่ปุ่นรายแรกที่เคยได้รางวัลนี้
รุ่นที่ 2 เปิดตัวในญี่ปุ่นเมื่อ 1 กุมภาพันธ์ 2005 (รหัส NCP90-NCP91, NCP95) ภายใต้รหัสโครงการ 351L ส่วนเวอร์ชันไทย เปิดตัวครั้งแรกเมื่อ 17 มกราคม 2006 (รหัส NCP91R-AHPGKT) ถือเป็น Yaris รุ่นแรกที่ผลิตในประเทศไทย แม้จะมียอดขายทั่วโลกดี แต่ในไทย ยอดขายช่วงแรกไม่ดีนัก เนื่องจากราคาตั้งที่ค่อนข้างสูง จนต้องมีการประชุมเรียกร้องให้ Toyota Motor Thailand ออกแคมเปญกระตุ้นยอดขาย
รุ่นที่ 3 เปิดตัวในญี่ปุ่นเมื่อ 22 ธันวาคม 2010 เน้นทำตลาดในญี่ปุ่น ยุโรป ออสเตรเลีย และนิวซีแลนด์ แต่ยอดขายก็ไม่เปรี้ยงปร้างเท่ารุ่นก่อน
การพลิกโฉมสู่ Eco Car: การตัดสินใจที่ต้องใช้ความรอบคอบ
ในตอนแรก คนไทยคาดหมายว่า Yaris เวอร์ชันญี่ปุ่น/ยุโรป รุ่นที่ 3 จะเข้ามาประกอบขายในไทย แต่เกิดการเปลี่ยนแปลงที่ไม่คาดคิดขึ้น ทั้งหมดเป็นผลมาจากการที่ Toyota ตัดสินใจเข้าร่วมโครงการ Eco Car ของรัฐบาล ในช่วงสุดท้าย แม้จะไม่เห็นด้วยในตอนแรก
คำถามที่ตามมาคือ Toyota จะเลือกรถยนต์รุ่นใดมาทำตลาดกลุ่ม Eco Car?
จากข้อจำกัดของโครงการ Eco Car ที่ระบุชัดเจนว่าต้องผลิตรถยนต์รุ่นใหม่ที่ยังไม่เคยผลิตจำหน่ายในประเทศใดมาก่อน ทำให้การนำ Yaris รุ่นที่ 3 ที่จะผลิตในญี่ปุ่นและยุโรปมาพัฒนาต่อในไทยเป็นไปไม่ได้ ส่วน Aygo ก็ดูจะเล็กเกินไปสำหรับตลาดไทย และมีข้อตกลงกับ PSA ว่าผลิตได้เฉพาะในสาธารณรัฐเช็กเท่านั้น
ดังนั้น ทางเลือกเดียวที่เหลือ คือ Toyota ต้องพัฒนา Yaris รุ่นใหม่ “อีก 1 ตัวถัง” เพื่อเอาใจตลาดจีน ซึ่งต้องการ Hatchback ขนาดเล็กที่ใหญ่กว่า Yaris เวอร์ชันญี่ปุ่น/ยุโรป อย่างชัดเจน โดยใช้ Platform และโครงสร้างวิศวกรรมบางส่วนร่วมกับ Vios แต่มีการปรับปรุงให้เข้ากับข้อกำหนดของโครงการ Eco Car
Takeshi Matsuda หัวหน้าวิศวกรผู้พัฒนา Yaris และ Vios รุ่นล่าสุด กล่าวว่า “ความตั้งใจของเขาตอนแรกคือทำ Yaris รุ่นนี้ให้เป็น Full Model Change สำหรับตลาดทั่วโลกที่ไม่ใช่ยุโรปหรือญี่ปุ่น แต่เมื่อตลาดไทยมีนโยบายให้ทำ Yaris รุ่นนี้เป็น Eco Car เขาจึงต้องหาทางออกให้กับข้อจำกัดมากมาย และผลลัพธ์ก็ออกมาเป็น Yaris อย่างที่เห็นกันอยู่”
Dear Qin: จุดเริ่มต้นของดีไซน์ที่แตกต่าง
1 ปีก่อนการเปิดตัวจริง Toyota เลือกที่จะเกริ่นให้โลกรับรู้ถึงการมาถึงของ Hatchback รุ่นใหม่ ด้วยการสร้างรถยนต์ต้นแบบสีเขียวในชื่อ Toyota Dear Qin Hatchback ควบคู่กับ Toyota Dear Qin Sedan สีแดง ในงาน Beijing Automotive Show ครั้งที่ 12 เมื่อวันที่ 23 เมษายน 2012 Dear Qin ทั้งสองคัน เผยให้เห็นถึงแนวโน้มเส้นสายของ Vios และ Hatchback 5 ประตูรุ่นต่อไปสำหรับตลาดโลก ที่จะแตกต่างจากรุ่นเดิมอย่างสิ้นเชิง การเผยโฉม Dear Qin สีเขียว ซึ่งเป็นตัวแทนของ Yaris ใหม่ที่จะเปิดตัวในอีก 1 ปีข้างหน้า เป็นการสื่อสารให้โลกรู้ว่า รถคันนี้ออกแบบมาเพื่อเอาใจลูกค้าชาวจีน ซึ่งเป็นตลาดเป้าหมายหลัก
เปิดตัวครั้งแรกที่เซี่ยงไฮ้: Yaris-L พร้อมสู่ตลาดโลก
เมื่อเป้าหมายในการพัฒนารถยนต์คันนี้อยู่ที่การเอาใจลูกค้าชาวจีน พวกเขาก็เลยเลือกเปิดตัว Yaris รุ่นประหลาดนี้เป็นครั้งแรกในโลกที่งาน Auto Shanghai 2013 เมื่อวันที่ 20 เมษายน 2013 แต่กว่าจะพร้อมออกสู่ตลาดจีน GAC-Toyota ต้องรอถึงวันที่ 26 สิงหาคม 2013 จึงจะปล่อยข้อมูลตัวรถทั้งหมดออกมา และเริ่มส่งรถยนต์ขึ้นโชว์รูมในชื่อ Yaris-L ในวันที่ 1 กันยายน 2013
ประเทศไทย ถือเป็นประเทศลำดับที่ 2 ของโลก ที่ Toyota เผยโฉม Yaris ใหม่ งานเปิดตัวมีขึ้นเมื่อวันที่ 22 ตุลาคม 2013 ณ ห้างสรรพสินค้า Central World
Takeshi Matsuda หัวหน้าวิศวกรผู้รับผิดชอบโครงการพัฒนา Vios และ Yaris สำหรับตลาดเอเชีย กล่าวว่า ในตอนแรก เขาตั้งใจสร้างรถคันนี้ให้เป็น B-Segment Hatchback ในฐานะรุ่นเปลี่ยนโฉมใหม่ทั้งคันของ Yaris สำหรับตลาดเอเชีย “ไม่ได้ตั้งใจทำรถคันนี้ให้เป็น Eco Car มาตั้งแต่แรก” ทว่า เมื่อนโยบายของผู้บริหารกำหนดให้เป็น Eco Car สำหรับตลาดไทย จึงเกิดข้อจำกัดต่างๆ มากมาย เขาและทีมงานจึงพยายามเอาชนะอุปสรรคเหล่านั้นอย่างดีที่สุด
Matsuda-san เลือกที่จะไม่ประนีประนอมในประเด็นเส้นสายของตัวรถ เขาให้ความสำคัญกับการออกแบบภายนอกและภายใน ที่ต้องนั่งสบายไม่เบียดเสียดกัน ขณะเดียวกัน ต้องยกระดับความประหยัดน้ำมัน ความเงียบในห้องโดยสาร และการเกาะถนน ให้เห็นความแตกต่างอย่างชัดเจนเมื่อเทียบกับรุ่นก่อน
มิติที่กว้างขวาง: พื้นที่ใช้สอยที่เหนือความคาดหมาย
Yaris ใหม่ มีตัวถังยาว 4,115 มิลลิเมตร กว้าง 1,700 มิลลิเมตร สูง 1,475 มิลลิเมตร ระยะฐานล้อ 2,550 มิลลิเมตร เมื่อเปรียบเทียบกับ Yaris รุ่นก่อน (ยาว 3,800 มม., กว้าง 1,695 มม., สูง 1,520 มม., ฐานล้อ 2,460 มม.) จะพบว่า Yaris ใหม่ ยาวขึ้น 315 มม. กว้างขึ้น 5 มม. เตี้ยลง 45 มม. และมีระยะฐานล้อยาวขึ้น 90 มม.
สิ่งที่เพิ่มขึ้นตามมา คือมิติภายในต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นระยะห่างระหว่างผู้โดยสารตอนหน้าและหลัง เพิ่มขึ้นเป็น 912 มม. (มากกว่าเดิม 46 มม.) พื้นที่วางเท้าผู้โดยสารด้านหลังยาวถึง 663 มม. (ยาวกว่าเดิม 77 มม.) แผงพนักพิงเบาะหลังกว้างขึ้น 1,310 มม. (มากกว่าเดิม 10 มม.) ระยะห่างจากจุดกึ่งกลางล้อหลัง – กันชนหลังยาวขึ้น 690 มม. (ยาวกว่าเดิม 110 มม.) ทำให้ห้องเก็บสัมภาระท้ายรถยาวถึง 734 มม. (ยาวกว่าเดิม 140 มม.) จนมีปริมาตรความจุ 326 ลิตร
ดีไซน์ภายนอก: ความ “ไม่เหมือนใคร” ที่อาจสร้างความกังขา
เส้นสายภายนอกมาในสไตล์ “เฉียบคม เน้นเหลี่ยมสัน” พร้อมกระจังหน้าที่หลายคนมองว่าคล้าย Mitsubishi RVR/ASX หรือ Lancer EX แต่เพิ่มความแตกต่างด้วยแถบสีเงิน “หนวดปลาดุก” จนนักรีวิวบางคนตั้งฉายาว่า “Yaris รุ่นลุงหนวด!”
กระจังหน้าในรุ่น G และ E เป็น “หนวดสีเงิน” ส่วนรุ่น J และ J ECO เป็น “หนวดสีดำ” มือจับประตูด้านข้าง รุ่น G เป็นโครเมียม ส่วนรุ่นอื่นๆ เป็นสีเดียวกับตัวถัง ชุดไฟหน้า รุ่น G เป็นโปรเจคเตอร์ ส่วนรุ่นอื่นเป็น Multi Reflector ธรรมดา
รายละเอียดภายนอกบางชิ้นสามารถใช้ร่วมกับ Vios ได้ เช่น ครีบรีดอากาศที่เสาขอบประตู หรือมือจับประตูทั้ง 4 บาน กระจกหน้าต่างคู่หน้าก็สามารถใช้ทดแทนกันได้กับ Vios กระจกบังลมหน้าในรุ่น G เป็น Acoustic Glass ช่วยลดเสียงรบกวน
ส่วนบั้นท้ายนั้น ด้วยเหตุที่ทีมออกแบบอาจต้องการสร้างความต่อเนื่องของเส้นสายจากหน้าต่างประตูคู่หลังจรดกระจกบังลมหลัง จึงมีแผงพลาสติกสีดำ Glossy มาแปะไว้ และทำชุดไฟท้ายให้มีกรอบทรงประหลาดๆ โดยใช้กรอบท่อนล่างของ Vios ลากเส้นขึ้นไปยาวๆ ในแบบที่ไม่เหมือนใคร
เข้าใจได้ว่าต้องการทำไฟท้ายให้ฉีกแนว ล้ำอวกาศ เหมือนในรถต้นแบบ Dear Qin แต่เมื่อออกมาจริง นอกจากจะคล้ายกับไฟท้าย Peugeot 208 รุ่นใหม่แล้ว ยังไปทำลายความลงตัวของงานออกแบบฝาประตูคู่หลัง จนทำให้บั้นท้ายดูแปลกตาอย่างน่าเสียดาย “เหมือนมีใครเอาก้อนเลือดกำเดาไหลไปแปะอยู่กับไฟท้ายของ Vios ยังไงยังงั้น!”
ทุกรุ่นติดตั้งใบปัดน้ำฝนพร้อมที่ฉีดน้ำล้างกระจกบังลมหลัง ทับทิมสะท้อนแสงมุมกันชนด้านล่าง รวมถึงสปอยเลอร์เหนือกระจกบานหลังแทบทุกรุ่น
แถบประดับเหนือช่องใส่ป้ายทะเบียนหลัง ในรุ่น G เป็นโครเมียม รุ่น E สีเดียวกับตัวถัง ส่วนรุ่น J สีดำ
รุ่น G ให้ล้ออัลลอย 15 นิ้ว ยาง 185/60 R15 ขณะที่รุ่น E ล้อกระทะ 15 นิ้วพร้อมฝาครอบ ส่วนรุ่น J ล้อกระทะ 14 นิ้ว ยาง 175/65 R14 แต่รุ่น J Eco ไม่มีฝาครอบล้อ เป็นเพียงล้อกระทะเหล็กสีดำ
ภายในห้องโดยสาร: ความคุ้นเคยจาก Vios ที่มาพร้อมจุดเด่นและจุดด้อย
ระบบกุญแจในรุ่น G เป็นรีโมท Keyless-Entry พร้อม Push Start และระบบกันขโมย Immobilizer และ TDS ส่วนรุ่น E เป็นกุญแจรีโมทแบบไข ส่วนรุ่นอื่นๆ เป็นกุญแจมาตรฐานของ Toyota
เมื่อเสาหลังคาคู่หน้า A-Pillar กรอบช่องประตูคู่หน้า และเสา B-Pillar ยกชุดมาจาก Vios การลุกเข้า-ออกเบาะนั่งคู่หน้าจึงเหมือนกันเป๊ะ! การเข้า-ออกอาจต้องระมัดระวังเล็กน้อย เนื่องจาก A-Pillar ค่อนข้างลาดเอียง
แผงประตูด้านข้าง ตำแหน่งวางแขนเหมาะสม ตกแต่งด้วยพลาสติกสีเงิน Metallic ตัดกับพลาสติกสีดำ มือจับประตูด้านข้างออกแบบเป็นช่องวางโทรศัพท์มือถือชั่วคราว ช่องวางของด้านล่างใส่ขวดน้ำได้สบาย
เบาะนั่งคู่หน้า เป็นเบาะผ้าสีดำจาก Vios ใหม่ เปลี่ยนแค่ลายผ้าตรงกลางเป็นสีส้ม พร้อมตะเข็บเย็บสีส้ม เพื่อเพิ่มบุคลิกสปอร์ต โครงสร้างเบาะนั่งปรับเลื่อนได้มากขึ้น ซอยจังหวะถี่ขึ้น เบาะคนขับปรับระดับสูง-ต่ำได้
ด้านหลังเบาะมีการเว้าเพิ่มขึ้น 38 มม. เพื่อเพิ่มระยะห่างหัวเข่าผู้โดยสารด้านหลังกับเบาะหน้า เป็น 48 มม. พนักพิงศีรษะรองรับสบาย พนักพิงหลังออกแบบให้เว้าลึก โอบกระชับสรีระ แก้ปัญหาเบาะนั่งไม่สบายใน Yaris รุ่นเดิมได้ดี แต่เบาะรองนั่งยังค่อนข้างสั้น
จุดที่น่าตำหนิ คือเข็มขัดนิรภัยแบบ ELR 3 จุด ที่ปรับระดับสูง-ต่ำไม่ได้ เหมือนใน Vios และไม่มีที่วางแขนสำหรับคนขับในทุกรุ่น
พื้นที่เหนือศีรษะ ไม่ต่างจาก Vios ใหม่ รู้สึกโปร่งโล่งสบายกว่า Yaris รุ่นก่อนชัดเจน
การลุกเข้า-ออกประตูคู่หลัง แม้ช่องทางจะกว้างขึ้น แต่ยังต้องก้มหัวลงพอสมควร เพื่อไม่ให้ศีรษะโขกกับกรอบทางเข้า ประตูหลังกระจกไฟฟ้าเลื่อนลงสุด แผงประตูมีที่วางแขนพอใช้งานได้
จุดขายสำคัญ: พื้นที่ห้องโดยสารที่กว้างขวางโอ่อ่า
จุดขายสำคัญของ Yaris ใหม่ คือเบาะหลัง ที่มีพื้นที่กว้างใหญ่และโอ่โถงที่สุด เบาะหลังพนักพิงรองรับสบาย ฟองน้ำแน่นกำลังดี พนักศีรษะใช้งานได้จริง ยกเว้นพนักศีรษะตรงกลางรูปตัว L คว่ำ
เบาะรองนั่งออกแบบได้กำลังดี แต่สั้นไปหน่อย พื้นที่เหนือศีรษะ สำหรับคนสูง 171 ซม. เหลือสอดนิ้ว 3 นิ้ว พอดีๆ น่าเสียดายที่พื้นที่นี้ไม่ได้มีใน Vios
พื้นที่วางขาใหญ่สะใจ สมกับที่ออกแบบมาเป็น B-Segment Hatchback ตั้งแต่แรก คนตัวใหญ่นั่งไขว่ห้างได้อย่างสบาย แม้เบาะคนขับจะปรับอยู่ในระดับปกติ
ดังนั้น ยืนยันได้ว่า พื้นที่นั่งโดยสารของ Yaris ใหม่ ใหญ่โต โอ่อ่าที่สุด ในบรรดา Eco Car ทุกคันที่ผลิตขายในประเทศไทย จนถึงปี 2016
เหนือประตูทั้ง 4 บาน มีมือจับยึดเหนี่ยวจิตใจมาให้ครบทั้ง 4 ตำแหน่ง น่าแปลกใจที่ยังมีเข็มขัดนิรภัยปรับสูง-ต่ำไม่ได้
เข็มขัดนิรภัยเบาะหลังเป็น ELR 3 จุดทุกที่นั่ง แต่สำหรับผู้โดยสารตรงกลาง ติดตั้งกับเสา C-Pillar ฝั่งซ้าย ลากสายโยงเชื่อมจุดยึดมาที่กึ่งกลางเพดานหลังคา
Matsuda-san กล่าวถึงการออกแบบเข็มขัดนิรภัยตรงกลางว่า มีการถกเถียงกันมาก เพราะตั้งใจออกแบบให้มี 3 จุด แต่ราคาต้องถูก และต้องไม่บดบังทัศนวิสัย การออกแบบนี้จึงเป็นผลลัพธ์ของการหาจุดลงตัวระหว่างต้นทุนและฟังก์ชัน
เข็มขัดนิรภัยฝั่งซ้ายและขวามีสายล็อกกันเลื่อนตำแหน่งมาให้ และมีจุดยึดเบาะนิรภัย ISOFIX มาให้
พนักพิงเบาะหลัง รุ่น G และ E พับแยก 60:40 แต่รุ่น J และ J ECO ต้องพับทั้งแผงลงมาเป็นก้อนเดียว
ตำแหน่งก้านปลดล็อกพนักพิงติดตั้งที่ฝาผนังด้านข้างทั้ง 2 ฝั่ง เป็นปุ่มกดลงไปเพื่อปลดล็อก
พื้นที่เก็บสัมภาระ: กว้างขวางเพียงพอต่อการใช้งาน
ฝาประตูห้องเก็บของด้านหลัง ใช้ระบบกลอนไฟฟ้า เชื่อมต่อกับรีโมท Keyless Entry แต่บางกรณีถ้าเครื่องยนต์ยังติดอยู่ อาจไม่ยอมปลดล็อก ต้องดับเครื่องยนต์ก่อน
รอบกรอบช่องทางเข้าห้องเก็บของด้านหลังบุพลาสติกมาเรียบร้อย ต่างจาก Eco Car หลายรุ่นที่ปล่อยเปลือยให้เห็นเนื้อเหล็ก ฝาประตูค้ำยันด้วยโช้คอัพไฮดรอลิค 2 ต้น มีแผงบังสัมภาระ
ห้องเก็บสัมภาระด้านหลังยาว 734 มม. เพิ่มจาก Yaris รุ่นเดิม 140 มม. มีปริมาตร 326 ลิตรตามมาตรฐาน VDA เยอรมนี บรรจุกระเป๋าเดินทางขนาดกลาง Hard Case ได้ 3 ใบ พร้อมกระเป๋าเดินทางสะพายไหล่ 1-2 ใบ ถือว่ามีความจุเยอะสุดในบรรดา Eco Car Hatchback ทุกคันในไทยตอนนี้
ผนังด้านข้างฝั่งซ้าย มีไฟส่องสว่างในห้องเก็บของ และเมื่อยกพื้นห้องเก็บของขึ้นมา จะพบยางอะไหล่ Dunlop SP10 ขนาด 175/65 R14 พร้อมเครื่องมือและแม่แรงจากโรงงาน
คอนโซลหน้า: ความคุ้นเคยที่มาจาก Vios
แผงหน้าปัดหน้าตาคุ้นๆ ก็ไม่ต้องงง เพราะยกชุดมาจาก Vios ใหม่ทั้งดุ้น แม้กระทั่งแนวตะเข็บเส้นด้ายลายหลอกๆ ก็เหมือนกัน วัสดุตกแต่งแตกต่างกันไปตามรุ่นย่อย
แถบโค้งต่อเนื่องจากช่องแอร์ด้านข้างเข้าหาแผงควบคุมกลางเป็นพลาสติกสีดำปกติ ไม่ได้ประดับด้วย Trim ดำเงาหรือสีเงินเหมือนใน Vios ใหม่ ทว่า ฐานคันเกียร์ แผงมือจับประตูทั้ง 4 บาน และกรอบช่องวางโทรศัพท์มือถือใน Yaris รุ่น G ประดับด้วย Trim สีเงิน
วัสดุบุเพดานหลังคาเป็น Recycle สีดำ แผงบังแดดพร้อมกระจกแต่งหน้าแบบมีฝาปิดมาให้ทั้งฝั่งคนขับและโดยสาร แต่ไม่มีไฟแต่งหน้า
สวิตช์กระจกไฟฟ้า 4 บาน แบบ Auto One-Touch พร้อมสวิตช์ล็อกกระจกฝั่งผู้โดยสาร และ Central Lock บนแผงประตูคนขับ สวิตช์กระจกมองข้างปรับและพับไฟฟ้า สวิตช์ Push Start ใต้ช่องแอร์ฝั่งคนขับ ช่องวางแก้วเลื่อนเปิด-ปิดได้
พวงมาลัย 3 ก้าน พร้อม Multi Function ควบคุมชุดเครื่องเสียง ยกมาจาก Vios มี Grip จับถนัดมือ แต่ระยะห่างจากขอบมาตรวัดน้อยมาก
สวิตช์ไฟหน้า ไฟเลี้ยว ไฟสูง บนคอพวงมาลัยฝั่งขวา ไม่มีไฟตัดหมอกหน้าในทุกรุ่น สวิตช์ใบปัดน้ำฝนพร้อมที่ฉีดน้ำด้านหน้า มีระบบหน่วงเวลา และตั้งเวลาหน่วงได้เฉพาะรุ่น G และ E
มาตรวัดและเครื่องเสียง: ดีไซน์ที่ยังคงน่าตำหนิ
ชุดมาตรวัดเป็นแบบ 3 วงกลม ตำแหน่งสัญญาณไฟเตือนต่างๆ เหมือนกัน ตอนกลางคืนเรืองแสงสีขาวเป็นหลัก Font ตัวเลขอ่านง่าย แบ่งขีดความเร็วชัดเจน ลายกราฟิกพื้นหลังใช้โทนสีแดงเป็นหลัก เพิ่มบุคลิกสปอร์ต
เฉพาะรุ่น G จอแสดงข้อมูลตรงกลางเป็นสีส้ม ตัวเลข Digital บอกตำแหน่งเกียร์ ระยะทางรวม Odometer, Trip Meter A/B, อัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงเฉลี่ย, ความเร็วเฉลี่ย และระยะทางน้ำมันเหลือ
แต่ที่ยังต้องตำหนิ คือลายกราฟิกพื้นหลังมาตรวัดยังคงเป็นพื้นเรียบๆ แบนๆ ไร้มิติ
ชุดเครื่องเสียงเป็นวิทยุ AM/FM พร้อมช่องใส่ CD/MP3/WMA 1 แผ่น และมีช่องเสียบ USB และ AUX รุ่น G กับ E มีลำโพง 4 ชิ้น ส่วนรุ่น J กับ J ECO มีลำโพง 2 ชิ้น คุณภาพเสียงไม่ต่างจาก Vios พอฟังได้ หน้าจอสีส้ม บอกภาษาได้ทั้ง อังกฤษ ไทย ญี่ปุ่น และจีน
สวิตช์เครื่องปรับอากาศในรุ่น G เป็นแบบหน้าจอ Digital จาก Vios ให้ความเย็นสะใจ แต่การใช้งานอาจสับสน โดยเฉพาะสวิตช์ฝั่งซ้ายสุด ที่รวมการหมุนเลือกความแรงพัดลม ทิศทางลม และอุณหภูมิไว้ในสวิตช์หมุนชุดเดียวกัน
สวิตช์แบบมือหมุน 3 วง ในรุ่น E, J, J ECO ใช้งานง่าย สะดวก แต่ดีไซน์ไม่สวย
ช่องวางโทรศัพท์มือถือ ใต้สวิตช์เครื่องปรับอากาศ ด้านหลังคันเกียร์ ออกแบบมาให้วางมือถือ แต่ถ้าเจอถนนขรุขระ โอกาสที่โทรศัพท์จะหล่นมีอยู่
กล่องเก็บของบนแผงหน้าปัดฝั่งผู้โดยสาร (Glove Compartment) ยกมาจาก Vios แม้ฝาภายนอกจะดูใหญ่ แต่ใส่คู่มือ สมุดรับประกัน เอกสารประกันภัย ก็เต็มแล้ว
ในขณะที่ Vios ให้กล่องเก็บของขนาดเล็กพร้อมฝาเปิดที่พยายามจะเป็นที่วางแขน Yaris กลับไม่มีอะไรให้เกินเบรกมือ 1 จุด ช่องวางแก้วน้ำผู้โดยสารด้านหลัง 1 ตำแหน่ง ช่องเสียบกล่อง CD ที่ใช้งานไม่ได้จริง เพราะใส่กล่อง CD 2 ใบจะเบียดเสียดเกินไป และอาจหล่นไปบนพื้นที่วางขาคนขับ
ทัศนวิสัย: ก้าวข้ามข้อจำกัดของรุ่นเดิม
ทัศนวิสัยด้านหน้า ไม่แตกต่างจาก Vios แม้แต่น้อย แต่เมื่อเทียบกับ Yaris รุ่นเดิมแล้ว ดีขึ้นกว่าเดิมจนสัมผัสได้
เสาหลังคาคู่หน้า A-Pillar ฝั่งขวา บดบังรถที่แล่นสวนมาบนทางโค้งน้อยลง กระจกมองข้าง แม้ให้การมองเห็นรถด้านหลังได้ดี แต่กรอบพลาสติกด้านในกินพื้นที่ขอบกระจกด้านล่างเล็กน้อย
เสาหลังคาคู่หน้า A-Pillar ฝั่งซ้าย ยังแอบบดบังรถขณะเลี้ยวกลับอยู่บ้างในบางรูปแบบของจุดกลับรถ แต่นอกนั้นไม่มีปัญหามากนัก ถือว่าโปร่งขึ้นกว่า Yaris เดิม
กระจกมองข้างฝั่งซ้าย ก็ยังมองเห็นรถคันหลังได้ดี เพียงแต่ขอบกระจกด้านล่างอาจถูกกรอบด้านในบดบังเล็กน้อย
สำหรับทัศนวิสัยด้านหลัง ในเมื่อเสาหลังคาคู่หลังมีขนาดใหญ่คล้าย Nissan Tiida Hatchback อาจมีการบดบังรถจักรยานยนต์ที่แล่นตามมาจากด้านหลังฝั่งซ้ายได้บ้าง เวลาเปลี่ยนช่องทาง ควรเพิ่มความระมัดระวัง และอย่าพึ่งพากระจกมองข้างฝั่งซ้ายเพียงอย่างเดียว
รายละเอียดด้านวิศวกรรมและการทดลองขับ: สมรรถนะที่เหนือความคาดหมาย
เมื่อ Toyota ตัดสินใจให้ Yaris ใหม่ เปลี่ยนกลุ่มตลาด จาก B-Segment Hatchback 1,500 ซีซี ลงมาฟัดเหวี่ยงกับ Eco Car 1,200 ซีซี ทำให้ Toyota จำเป็นต้องลดขนาดเครื่องยนต์ลง เลิกใช้เครื่องยนต์ 1NZ-FE บล็อก 1,497 ซีซี 109 แรงม้า แทนที่ด้วยเครื่องยนต์ 3NR-FE บล็อก 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว ความจุ 1,197 ซีซี กำลังสูงสุด 86 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 108 นิวตันเมตร มาพร้อม Dual VVT-i
เครื่องยนต์รุ่นนี้ ผ่านการทดสอบตามมาตรฐาน Eco Car ใช้น้ำมันเครื่อง 0W20 สามารถใช้น้ำมันเครื่องเกรดอื่นได้ตามมาตรฐาน
เครื่องยนต์จะส่งกำลังสู่ระบบขับเคลื่อนล้อหน้า ด้วยเกียร์อัตโนมัติ Super CVT-i เพียงอย่างเดียว ไร้เงาเกียร์ธรรมดา อัตราทดเกียร์เดินหน้า 2.386 – 0.426 : 1 อัตราทดเกียร์ถอยหลัง 2.505 – 1.736 : 1 อัตราทดเฟืองท้าย 5.833 : 1
น้ำมันเกียร์ต้องใช้ Toyota Genuine CVT Fluid FE เท่านั้น
เหตุผลที่ Yaris ใหม่ มีแค่เกียร์ CVT คือจากการสำรวจ พบว่าความต้องการเกียร์ธรรมดาในตลาด Eco Car ไม่ถึง 5% แต่มีเสียงลือว่ารุ่นเกียร์ธรรมดาอาจปล่อย CO2 เกินกว่ามาตรฐาน
Toyota เคลมว่าเกียร์ CVT ลูกนี้ ถูกออกแบบมาให้ใช้น้ำมันเกียร์เฉพาะของตน และมีท่อหายใจยกสูงเพื่อรองรับปัญหาน้ำท่วม
ขณะติดเครื่องยนต์ รอบเดินเบาต่ำสุด 600 รอบ/นาที เพื่อประหยัดน้ำมัน เมื่อคอมเพรสเซอร์แอร์ทำงาน รอบจะเพิ่มเป็น 800 รอบ/นาที
ตัวเลขสมรรถนะจากโรงงาน ระบุอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงเฉลี่ย 5.0 ลิตร/100 กม. ปล่อย CO2 เฉลี่ย 118 กรัม/กม.
อัตราเร่ง: เหนือความคาดหมาย ชนิดที่ Vios ยังต้องอ้าปากหวอ!
ตัวเลขอัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ที่ 12.4 วินาที และ 80-120 กม./ชม. ที่ 8.5 วินาที ชนิดที่ผมและผู้ช่วยจับเวลาถึงกับอ้าปากหวอ! ตัวเลขนี้ “พอกันกับ Toyota Vios พี่น้องร่วมตระกูล Platform ที่ใช้เครื่องยนต์ 1,500 ซีซี และเกียร์อัตโนมัติ 4 จังหวะ!”
Yaris 1.2 ลิตร CVT คือรถยนต์นั่งขนาดเล็ก พิกัด Eco Car ประกอบในไทย ที่ทำตัวเลขอัตราเร่งได้เร็วและแรงที่สุดในตลาดตอนนี้!
สาเหตุที่ Yaris ทำตัวเลขได้ดี อาจมาจาก:
อุณหภูมิ: อากาศเย็นขึ้น ช่วยให้เครื่องยนต์ทำงานได้ดีขึ้น (แต่นี่เป็นเพียงปัจจัยเสริม)
อัตราทดเกียร์และเฟืองท้าย: Toyota ทดเฟืองท้ายสูงถึง 5.833:1 ทำให้รถพุ่งทะยานออกไปอย่างรวดเร็ว
ปัจจัยอื่นๆ: การเติมน้ำมันที่แตกต่างกันอาจมีผลเล็กน้อย
ความเร็วสูงสุด: หลังจาก 5,000 รอบ/นาที เครื่องยนต์ไต่ความเร็วช้าลง ต้องใช้แรงส่งจากเนินช่วยดันไปอีก ระยะทางยาวนานกว่าจะได้ตัวเลขนี้
การขับขี่: ถ้าเข้าใจว่านี่คือรถ 1,200 ซีซี ตัวเลขอัตราเร่งที่ได้นั้น เพียงพอและแรงเกินความคาดหมาย ไต่ความเร็วขึ้นไปให้แรงดึงและความว่องไวพอๆ กับ Vios 1,500 ซีซี
การเหยียบคันเร่งจนจมมิด จะทำให้รถพุ่งทะยานอย่างว่องไว การเร่งแซง ถ้าเหยียบคันเร่งจนจมมิด เครื่องยนต์และเกียร์ตอบสนองทันใจ
เกียร์ S ช่วยเครื่องยนต์เตรียมพร้อมสำหรับการตอกฝ่าเท้า ส่วนเกียร์ B ใช้ช่วยขึ้น-ลงเขา
การเก็บเสียง: ทำได้ดีกว่าที่คิดในช่วงความเร็ว 100-120 กม./ชม. อาจดีกว่า Vios เล็กน้อย แต่หลังจากนั้นเสียงลมจะดังขึ้นเป็นปกติ
พวงมาลัย: เป็นแบบแร็คแอนด์พีเนียน พร้อมเพาเวอร์ไฟฟ้า EPS ปรับน้ำหนักตามความเร็ว ใช้แร็คเดียวกับ Vios แต่ปรับปรุงระยะรอบมอเตอร์ให้หน่วงมือมากขึ้น เพื่อสร้างความมั่นใจในการขับขี่ทางตรง
แม้จะยังคง “ไร้ชีวิตชีวา” แบบพวงมาลัยไฟฟ้า แต่ก็ดีขึ้นกว่า Yaris เดิม นิ่งขึ้น ตอบสนองคล่องแคล่ว แต่ตึงมือเล็กน้อย
พวงมาลัยของ Vios และ Yaris ใหม่ มีลักษณะคล้าย Mercedes-Benz คือเมื่อหมุนพวงมาลัย วงพวงมาลัยจะขยับขึ้น-ลงตามการหมุนเล็กน้อย เป็นลักษณะของแกนเยื้องศูนย์ เพื่อช่วยให้การประคองพวงมาลัยในความเร็วสูงแม่นยำขึ้น
การตอบสนองในย่านความเร็วต่ำ เบาแรง หมุนคล่อง แต่ไม่เบาโหวงจนเกินไป มีอาการขืนมือเล็กน้อย ไม่ขืนมือเท่า Honda City รุ่นปัจจุบัน
ในการขับขี่ทางตรง พวงมาลัยของ Yaris นิ่งและควบคุมได้ดีกว่า Vios ไม่ต้องเลี้ยงซ้ายเลี้ยงขวาตลอด ถือว่ามีการปรับปรุงให้ดีขึ้น
การบังคับรถขณะเข้าโค้ง ตอบสนองได้ในระดับที่ดี มีน้ำหนักพอประมาณ เลี้ยงพวงมาลัยในโค้งให้นิ่งทำได้ไม่ยาก ควบคุมรถในทางโค้งได้นิ่งขึ้น
สิ่งที่ควรปรับปรุง คือการใส่ชุดปรับระยะใกล้-ห่างจากพวงมาลัยเพิ่มเติม
ช่วงล่าง: สมดุลระหว่างความนุ่มนวลและการยึดเกาะ
ระบบกันสะเทือนหน้า เป็นแบบแมคเฟอร์สันสตรัทพร้อมเหล็กกันโคลง ด้านหลังเป็นแบบทอร์ชันบีม พร้อมคอยล์สปริงและเหล็กกันโคลง ยกชุดจาก Vios แต่มีการปรับปรุงให้เน้นความนุ่มนวลในการดูดซับแรงสะเทือน และเพิ่มเสถียรภาพขณะขับขี่ด้วยความเร็ว
ในช่วงความเร็วต่ำ ช่วงล่างแข็งกระด้างกว่าที่คิดเล็กน้อย แต่ไม่หนี Suzuki Swift การซับแรงสะเทือนตามหลุมบ่อทำได้ไม่ถึงกับดีนัก
ในความเร็วเดินทาง 40-140 กม./ชม. การทรงตัวทำได้ดี สบาย ลดความเหนื่อยล้าในการขับขี่ทางไกล นุ่มนวลกำลังดี ไม่แข็งเกินไป
เมื่อพ้น 140 กม./ชม. ไปแล้ว อาการหน้ารถดิ้นตามกระแสลมจะเกิดขึ้น ซึ่งเป็นปกติของรถขนาดเล็ก แต่มีไม่มากนัก และการเซ็ตพวงมาลัยที่ On center feeling นิ่ง ทำให้ควบคุมรถได้เป็นธรรมชาติ หวาดเสียน้อยกว่า
การเข้าโค้ง Yaris ทำได้ดีกว่าที่คาดคิด สามารถเข้าโค้งต่อเนื่องบนทางด่วนได้สบายด้วยความเร็ว 90-95 กม./ชม. ซึ่งเป็นเรื่องน่าประหลาดใจว่า Yaris ถูกยกระดับช่วงล่างได้ถึงขนาดนี้
ยอมรับว่า Toyota ทำการบ้านเรื่องการปรับเซ็ตพวงมาลัยและช่วงล่างได้ดี เทียบเคียงได้กับ Suzuki Swift และมีอาการเด้งน้อยกว่า Swift ชัดเจน
ระบบเบรก: ประสิทธิภาพที่เชื่อถือได้
ระบบห้ามล้อเป็นแบบ หน้าดิสก์ – หลังดรัม ทุกรุ่นติดตั้ง ABS, EBD และ Brake Assist
การตอบสนองของเบรกมาในสไตล์เดียวกับ Vios เบรกจิกๆ ดี หรือจะเบรกให้นุ่มนวลก็ได้ ผ้าเบรกจับจานเบรกไว แป้นเบรกค่อนข้างตื้น ระบบ ABS ทำงานกำลังดี
ในช่วงความเร็วต่ำ เบรกตอบสนองไว หน้ารถจิก และหน่วงความเร็วได้มาก มั่นใจได้ว่าหากรถคันหน้าเบรกกะทันหัน โอกาสชนท้ายมีน้อยมาก
ในช่วงความเร็วเดินทาง หรือความเร็วสูง การหน่วงความเร็วยังทำได้ดี เพียงแต่ถ้าต้องการชะลอรถแบบไม่รีบร้อน ควรเหยียบแป้นเบรกลงไปประมาณ 30% หากต้องการผลชัดเจน ควรเหยียบลึกลงไป 40%
โครงสร้างตัวถังและอุปกรณ์ความปลอดภัย: มาตรฐานที่ควรรักษา
โครงสร้างตัวถังใช้เทคโนโลยี GOA ดูดซับแรงปะทะ และชิ้นส่วนสามารถใช้ร่วมกับ Vios ได้ รายละเอียดด้านวิศวกรรมตัวถังแตกต่างแค่ครึ่งคันหลัง
กว่า 50% ของเหล็กที่ใช้ขึ้นรูปโครงสร้างตัวถังและพื้นแชสซี ใช้ High Strength Steel
อุปกรณ์ความปลอดภัย: ถุงลมนิรภัยคู่หน้า SRS มีให้ครบตั้งแต่รุ่น J ECO, พนักศีรษะ WIL, เข็มขัดนิรภัย ELR 3 จุด พร้อมระบบดึงกลับอัตโนมัติ (แต่ยังปรับระดับสูง-ต่ำไม่ได้) และจุดยึด ISOFIX
อัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงเฉลี่ย: ประหยัดน้ำมันตามมาตรฐาน Eco Car
จากการทดลองขับ 92.2 กม. เติมน้ำมันกลับ 5.54 ลิตร คำนวณได้อัตราสิ้นเปลืองเฉลี่ย 16.64 กม./ลิตร
ตัวเลขนี้ถือว่าทำได้ดี เป็นไปตามที่คาดการณ์ไว้เมื่อเทียบกับ Eco Car ด้วยกัน Yaris ทำตัวเลขในระดับเดียวกันกับ Honda Brio CVT และดีกว่ารถยนต์นั่งกลุ่ม B-Segment ส่วนใหญ่ ยกเว้น Ford Fiesta 1.6 ลิตร ที่ทำได้ใกล้เคียงกัน
สรุป: Vios 5 ประตู เครื่องเล็กกว่า เกียร์ CVT แต่แรงเท่ากัน แถมประหยัดกว่า
Toyota Yaris เป็นผลงานที่ออกมาภายใต้การประนีประนอมข้อจำกัดต่างๆ แต่กลับทำอัตราเร่งได้ดีเกินคาด จน Vios 1,500 ซีซี ถึงกับอ้าปากหวอ!
จุดเด่น:
สมรรถนะ: อัตราเร่งที่เหนือความคาดหมาย
พื้นที่ภายใน: กว้างขวางโอ่อ่า นั่งสบายกว่าคู่แข่งทุกคันในพิกัด Eco Car
ช่วงล่าง: ดีเทียบเท่า Suzuki Swift และบางด้านดีกว่า เช่นอาการเด้งเมื่อบรรทุกคนเยอะ
การเข้าโค้ง: ทำได้ดีกว่าที่คาดคิด
เบรก: จิกดี ตอบสนองไว
จุดที่ควรปรับปรุง:
พวงมาลัย: ควรมีชุดปรับระยะใกล้-ห่าง และลดความเป็น “Robocop” ลง
เข็มขัดนิรภัยคู่หน้า: ควรปรับระดับสูง-ต่ำได้
การออกแบบและตกแต่งภายใน: ควรปรับปรุงให้คุ้มค่ากับราคามากขึ้น
ไฟท้าย: ดีไซน์ที่อาจไม่ถูกใจทุกคน
เทียบกับคู่แข่ง: ตัวเลือกที่น่าสนใจ
Nissan March: ถูกมองข้ามเพราะขาดความสดใหม่ ตัวรถเล็ก สมรรถนะอืด พวงมาลัยไร้ชีวิตชีวา
Mitsubishi Mirage: เด่นด้วยเครื่องยนต์ 3 สูบ ประหยัดน้ำมันมากที่สุด แต่ตัวถังเล็ก พวงมาลัยไม่เป็นธรรมชาติ ช่วงล่างย้วยเกินไป
Honda Brio: ยังพอหาที่ยืนในตลาดได้สำหรับกลุ่มวัยรุ่นขาซิ่งที่มองหารุ่นเกียร์ธรรมดาเพื่อนำไปแข่ง
Suzuki Swift: คู่แข่งโดยตรงของ Yaris ลูกค้ากลุ่มที่มอง Yaris มักจะเทียบกับ Swift ด้วย Swift ยังคงให้ความสนุกในการขับขี่ได้ดีกว่าเล็กน้อย และมีราคาที่ถูกกว่ารุ่นท็อปราว 40,000 บาท แต่ Yaris ได้เปรียบเรื่องพื้นที่ห้องโดยสารที่กว้างขวางกว่า
ราคาที่ทับซ้อน: Vios กำลังถูกท้าทาย?
ราคาขายปลีกของ Yaris ใหม่ (469,000 – 599,000 บาท) และ Vios ใหม่ (559,000 – 734,000 บาท) มีการทับซ้อนกันถึง 3 รุ่นย่อย
สำหรับผู้ที่มอง Vios รุ่น 1.5J A/T (589,000 บาท) หากไม่ติดเรื่องเกียร์ CVT และไม่ได้ต้องการท้ายรถ Sedan อย่างแท้จริง การเพิ่มเงินเพียง 10,000 บาท เพื่อขยับไป Yaris 1.2G (599,000 บาท) จะได้อุปกรณ์ที่มากกว่าหลายรายการ เช่น ล้ออัลลอย, เครื่องปรับอากาศอัตโนมัติ, Push Start/Smart Entry, จอ MID, พวงมาลัย Multi Function, ที่ปัดน้ำฝนปรับจังหวะได้ และ ABS/EBD
หาก Toyota สามารถแก้ไขจุดที่ควรปรับปรุงได้ทั้งหมดนี้ Yaris และ Vios จะกลายเป็นรถยนต์ที่เอาชนะใจลูกค้าชาวไทยได้มากยิ่งขึ้นไปอีก
หากคุณกำลังมองหารถยนต์ Eco Car ที่มอบสมรรถนะที่น่าประหลาดใจ พื้นที่ภายในที่กว้างขวาง และการขับขี่ที่มั่นใจได้ Toyota Yaris รุ่นใหม่ คือหนึ่งในตัวเลือกที่น่าสนใจอย่างยิ่ง ลองเข้ามาสัมผัสและทดลองขับด้วยตัวคุณเอง เพื่อค้นหาคำตอบว่า “Yaris” คันนี้ จะใช่ “รถในฝัน” ของคุณหรือไม่?

