• Sample Page
Film
No Result
View All Result
No Result
View All Result
Film
No Result
View All Result

N3012023 อคร แม อย บผ ชายคนอ นคร part2

admin79 by admin79
December 28, 2025
in Uncategorized
0
N3012023 อคร แม อย บผ ชายคนอ นคร part2

บทวิเคราะห์เชิงลึก: Hyundai i10 ใหม่ – รถซิตี้คาร์ยุคใหม่ที่ตอบโจทย์การใช้งานจริง

ในฐานะผู้คร่ำหวอดในวงการยานยนต์มากว่าทศวรรษ ผมได้เห็นการเปลี่ยนแปลงและวิวัฒนาการของตลาดรถยนต์มาอย่างต่อเนื่อง ค่ายรถยนต์เกาหลีอย่าง Hyundai ถือเป็นหนึ่งในผู้เล่นที่น่าจับตามอง พวกเขาไม่เพียงแต่สร้างชื่อเสียงจากรถยนต์ซีดานขนาดกลาง แต่ยังคงไม่ละทิ้งความมุ่งมั่นในการพัฒนารถยนต์ซิตี้คาร์ให้เข้าถึงกลุ่มผู้บริโภคในวงกว้าง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง Hyundai i10 ที่กำลังจะได้รับการปรับปรุงครั้งใหญ่

แม้ว่า Hyundai i10 รุ่นใหม่นี้จะยังไม่มีแผนวางจำหน่ายในประเทศไทย แต่การพัฒนาและความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นทั่วโลก โดยเฉพาะในตลาดหลักอย่างยุโรป สะท้อนให้เห็นถึงความใส่ใจในรายละเอียดและความต้องการของผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไป การที่ Hyundai เลือกที่จะขยายขนาดตัวถังของ i10 ให้ใหญ่ขึ้น แสดงให้เห็นถึงวิสัยทัศน์ที่กว้างไกลในการตอบสนองต่อเทรนด์ตลาดที่ผู้บริโภคต้องการรถยนต์ที่มีพื้นที่ใช้สอยมากขึ้น แต่ยังคงความคล่องตัวและราคาที่เข้าถึงได้

Hyundai i10 ใหม่: การยกระดับขนาด พร้อมราคาที่น่าดึงดูด

การเปิดตัว Hyundai i10 ในเวอร์ชันที่มีขนาดใหญ่ขึ้น เป็นสัญญาณบ่งบอกถึงการปรับกลยุทธ์ครั้งสำคัญ เพื่อให้รถยนต์ซิตี้คาร์คันนี้สามารถแข่งขันในตลาดที่มีการแข่งขันสูงได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเทศอังกฤษ ซึ่งเป็นตลาดที่ให้ความสำคัญกับรถยนต์ขนาดเล็กในราคาที่สมเหตุสมผล Hyundai i10 ใหม่นี้มีแผนวางจำหน่ายด้วยราคาเริ่มต้นเพียง 8,345 ปอนด์ หรือประมาณ 417,250 บาท ซึ่งถือเป็นจุดขายที่แข็งแกร่งอย่างยิ่ง

การปรับขนาดตัวถังให้ใหญ่ขึ้นนั้น ไม่ได้หมายถึงเพียงแค่รูปลักษณ์ภายนอกที่ดูบึกบึนขึ้น แต่ยังส่งผลโดยตรงต่อพื้นที่ใช้สอยภายในห้องโดยสาร Hyundai i10 ใหม่ได้รับการขยายความกว้างเพิ่มขึ้น 65 มิลลิเมตร และความยาวเพิ่มขึ้น 80 มิลลิเมตร แต่ในขณะเดียวกัน ตัวรถกลับได้รับการปรับลดความสูงลง 50 มิลลิเมตร เพื่อรักษาจุดศูนย์ถ่วงและคงไว้ซึ่งความสปอร์ต การปรับขนาดนี้ทำให้รถดูสมส่วนและมีมิติที่น่าสนใจยิ่งขึ้น

สำหรับรุ่นเริ่มต้น จะมาพร้อมกับล้อขนาด 14 นิ้ว ระบบเซ็นทรัลล็อค และกระจกไฟฟ้าเป็นอุปกรณ์มาตรฐาน ซึ่งเป็นคุณสมบัติพื้นฐานที่ตอบสนองต่อความต้องการของผู้บริโภคส่วนใหญ่ได้อย่างลงตัว

ภายในกว้างขวางขึ้น พร้อมพื้นที่เก็บสัมภาระที่เหนือกว่า

เมื่อก้าวเข้ามาในห้องโดยสารของ Hyundai i10 ใหม่ แม้ว่าตัวรถจะเตี้ยลง แต่การปรับปรุงภายในกลับทำให้รู้สึกได้ถึงพื้นที่ที่กว้างขวางขึ้นอย่างเห็นได้ชัด จุดที่น่าประทับใจคือ พื้นที่เก็บสัมภาระด้านหลังที่ได้รับการเพิ่มปริมาณขึ้นถึง 10% ส่งผลให้มีปริมาตรรวมถึง 252 ลิตร เมื่อเทียบกับรุ่นก่อนหน้า นี่คือการพัฒนาที่สำคัญสำหรับรถยนต์ซิตี้คาร์ ที่มักประสบปัญหาเรื่องพื้นที่เก็บสัมภาระไม่เพียงพอต่อการใช้งานในชีวิตประจำวัน

ขุมพลังที่หลากหลาย ตอบโจทย์ทุกสไตล์การขับขี่

Hyundai วางแผนนำเสนอ Hyundai i10 ใหม่ ด้วยเครื่องยนต์ 2 ทางเลือก เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคที่หลากหลาย:

เครื่องยนต์ 1.0 ลิตร 3 สูบ: ให้กำลังสูงสุด 65 แรงม้า อัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ในเวลา 14.9 วินาที และความเร็วสูงสุด 155 กิโลเมตรต่อชั่วโมง เหมาะสำหรับการขับขี่ในเมือง เน้นความประหยัดและคล่องตัว
เครื่องยนต์ 1.2 ลิตร 4 สูบ: ให้กำลังสูงสุด 86 แรงม้า อัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ในเวลา 12.3 วินาที และความเร็วสูงสุด 171 กิโลเมตรต่อชั่วโมง มอบสมรรถนะที่เหนือกว่า เหมาะสำหรับการขับขี่ที่ต้องการอัตราเร่งที่ดีขึ้น หรือการเดินทางออกนอกเมือง

รุ่นย่อยที่หลากหลาย พร้อมออปชันที่น่าสนใจ

Hyundai i10 ใหม่ จะมีให้เลือกทั้งหมด 3 รุ่นย่อย ได้แก่:

รุ่น S: รุ่นเริ่มต้นที่มาพร้อมออปชันพื้นฐานครบครัน
รุ่น SE: เพิ่มเติมด้วยระบบกุญแจรีโมท และระบบละลายน้ำแข็งที่กระจกมองข้าง
รุ่น Premium Edition: รุ่นท็อปสุดที่มาพร้อมออปชันที่น่าสนใจ เช่น การเชื่อมต่อ Bluetooth พร้อมระบบสั่งงานด้วยเสียง, ไฟ Daytime LED, และระบบสัญญาณเบรกฉุกเฉิน

การส่งมอบ Hyundai i10 ใหม่ ในตลาดอังกฤษมีกำหนดเริ่มในเดือนมกราคมปีหน้า ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความพร้อมในการนำเสนอผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทย์ความต้องการของตลาดอย่างรวดเร็ว

เทรนด์ตลาดรถยนต์ซิตี้คาร์: ความท้าทายและโอกาส

ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ตลาดรถยนต์ทั่วโลกมีแนวโน้มที่ชัดเจนในการหันไปพัฒนารถยนต์ประเภท SUV มากขึ้น ตั้งแต่ B-SUV ไปจนถึง Full Size SUV ไม่ว่าจะเป็นแบรนด์ตลาดแมส หรือแบรนด์หรู ต่างก็มุ่งเน้นไปที่กลุ่มรถอเนกประสงค์นี้ อย่างไรก็ตาม สิ่งที่หลายคนอาจมองข้ามไปคือ รถยนต์กลุ่ม B-Segment หรือรถซิตี้คาร์ ยังคงเป็นกลุ่มรถที่ครองส่วนแบ่งการตลาดจำนวนมหาศาล และเป็นที่ต้องการของผู้บริโภคในวงกว้าง

ในประเทศไทยเอง ตลาดรถยนต์ B-Segment ก็มีการแข่งขันที่ดุเดือดอย่างต่อเนื่อง สังเกตได้จากความสำเร็จของ Honda City ที่สามารถทำยอดขายได้อย่างน่าประทับใจในปีที่ผ่านมา แม้จะเผชิญหน้ากับคู่แข่งที่เปิดตัวใหม่ก็ตาม การที่ Honda City โฉมใหม่ (เจนเนอเรชั่นที่ 4) ได้เปิดตัวไปเมื่อต้นปีที่ผ่านมา พร้อมคอนเซ็ปต์ “Be Your Best” สะท้อนให้เห็นถึงความพยายามในการยกระดับรถยนต์ซิตี้คาร์ให้เหนือกว่าคู่แข่งในทุกมิติ

Honda City 2014: นิยามใหม่ของซิตี้คาร์ที่ “เหนือกว่า”

ในฐานะนักทดสอบที่ได้สัมผัสกับรถยนต์มาหลากหลายรุ่น โฆษณาของ Honda City มักจะสร้างความประทับใจได้อย่างเสมอ ด้วยบทเพลงและเนื้อหาที่สื่อสารได้อย่างกินใจ จนทำให้รู้สึกคล้อยตามและอยากสัมผัสประสบการณ์การขับขี่ด้วยตนเอง โดยเฉพาะเมื่อ Honda City 2014 มาพร้อมกับคอนเซ็ปต์ “Be Your Best” ยิ่งทำให้ผมอยากลองเป็น “กัปตัน” ที่ได้เลือกใช้รถคันนี้ เพื่อนำมาสู่บทวิเคราะห์ที่เจาะลึกถึงสมรรถนะและฟังก์ชันต่างๆ

รูปลักษณ์ภายนอก: ความโดดเด่นที่ลงตัว

เมื่อมองเผินๆ Honda City 2014 อาจดูไม่แตกต่างจากรุ่นก่อนหน้ามากนัก แต่เมื่อพิจารณาในรายละเอียด จะพบเห็นการปรับปรุงที่ทำให้รถดูโดดเด่นและมีมิติมากขึ้น จุดที่ได้รับการชื่นชมเป็นพิเศษคือ ดีไซน์ไฟท้ายใหม่ ที่รับกับแนวเส้นโป่งล้อหลัง ทำให้รถดูคมเข้มและมีมิติที่ชัดเจนขึ้น โดยไม่ดูโป่งจนเกินงาม ล้ออัลลอยขนาด 16 นิ้ว ลวดลายใหม่ในรุ่น SV และ SV+ ยังช่วยเสริมภาพลักษณ์ความโฉบเฉี่ยวและหรูหรา

เมื่อเทียบกับรุ่นเดิม มิติของ Honda City 2014 มีความยาวเพิ่มขึ้น 45 มิลลิเมตร และฐานล้อยาวขึ้น 50 มิลลิเมตร ส่วนความสูงเพิ่มขึ้น 5 มิลลิเมตร ขณะที่ความกว้างเท่าเดิมที่ 1,695 มิลลิเมตร การยืดความยาวนี้มีเป้าหมายเพื่อเพิ่มพื้นที่ภายในห้องโดยสาร โดยเฉพาะพื้นที่ด้านหลัง และห้องเก็บสัมภาระ ซึ่งมีปริมาตรถึง 536 ลิตร

ภายในห้องโดยสาร: กว้างขวาง สะดวกสบาย และเปี่ยมด้วยเทคโนโลยี

การเข้ามาในห้องโดยสารด้วยระบบ Keyless Entry ให้สัมผัสแห่งความทันสมัย วัสดุหุ้มเบาะเป็นผ้า แม้ว่ารูปลักษณ์ภายนอกจะดูเตี้ยลง แต่ภายในกลับให้ความรู้สึกกว้างขวาง พื้นที่ห้องโดยสารตอนหลังได้รับการปรับปรุงให้นั่งสบายขึ้น โดยเฉพาะพื้นที่หัวไหล่ที่เพิ่มขึ้น 40 มิลลิเมตร และพื้นที่วางขาเพิ่มอีก 60 มิลลิเมตร

อย่างไรก็ตาม จากการทดลองขับ เบาะนั่งตอนหน้ามีจุดที่น่ารำคาญเล็กน้อยเกี่ยวกับรูปทรงของพนักพิงศีรษะ ที่อาจไม่เข้ากับสรีระของผู้ขับขี่บางท่าน จนทำให้รู้สึกสบายกว่าหากถอดออก

ในรุ่น SV และ SV+ เบาะหลังสามารถพับแบบ 60:40 ได้ ซึ่งต้องอาศัยการดึงปุ่มพับเบาะที่อยู่ภายในห้องโดยสารตอนหลัง

จุดเด่นที่ทำให้ Honda City 2014 แตกต่างคือ หน้าจอสัมผัสขนาด 7 นิ้ว ที่เป็นหัวใจหลักของระบบอินโฟเทนเมนท์ ซึ่งรองรับการใช้งานเป็น Wifi Hotspot และสามารถเชื่อมต่อกับ Siri Eyes Free ช่วยให้ผู้ขับขี่ไม่ต้องละสายตาจากถนนขณะใช้งานสมาร์ทโฟน นอกจากนี้ยังสามารถเชื่อมต่อกับกล้องมองหลังเมื่อเข้าเกียร์ R

ระบบเครื่องเสียงให้เสียงคุณภาพดีผ่านลำโพง 8 จุด รองรับการเชื่อมต่อ Bluetooth เป็นมาตรฐาน พร้อมช่อง USB, AUX in และสาย HDMI แต่ไม่มี CD Slot หรือระบบนำทางมาให้ โดย Honda แนะนำให้ใช้งานผ่าน Honda Link Application นอกจากนี้ ยังมีช่อง Power Outlet สำหรับผู้โดยสารด้านหลังอีก 2 ช่อง เพื่อเอาใจผู้ที่ชื่นชอบสมาร์ทโฟน

ระบบการล็อคและปลดล็อคประตูอาจดูสับสนเล็กน้อยในตอนแรก หากล็อคจากกุญแจ ก็ต้องปลดล็อคจากกุญแจเช่นกัน แต่หากล็อคจากปุ่มที่มือจับประตู ก็เพียงแค่นำมือไปจับที่ประตู ระบบเซ็นเซอร์จะปลดล็อคให้อัตโนมัติ

ขุมพลัง 1.5 ลิตร i-VTEC: ปรับปรุงเพื่อความลงตัว

Honda City 2014 ใช้เครื่องยนต์บล็อกเดิมจากรุ่นก่อนหน้า คือเครื่องยนต์ 4 สูบ SOHC i-VTEC ขนาด 1,497 ซีซี แต่ได้รับการปรับจูนใหม่ให้เข้ากับเกียร์ CVT และรองรับน้ำมัน E85 ให้กำลังสูงสุด 117 แรงม้า ที่ 6,000 รอบต่อนาที และแรงบิดสูงสุด 146 นิวตัน-เมตร ที่ 4,700 รอบต่อนาที แม้แรงม้าจะลดลงเล็กน้อย แต่การปรับจูนทำให้กำลังมาเร็วกว่าเดิม 600 รอบต่อนาที

ตัวเลขเคลมอัตราสิ้นเปลืองน้ำมันอยู่ที่ 17.7 กิโลเมตรต่อลิตร (น้ำมันเบนซิน) และปล่อย CO2 อยู่ที่ 133 กรัมต่อกิโลเมตร

เมื่อขับขี่ในโหมด ECON เครื่องยนต์จะปรับการตอบสนองให้ช้าลง เพื่อให้สอดคล้องกับระบบ Eco Coaching ที่ช่วยแนะนำการขับขี่แบบประหยัดน้ำมัน

อย่างไรก็ตาม เมื่อเน้นสมรรถนะ การตอบสนองของเครื่องยนต์ยังคงทำได้ดีเมื่อเทียบกับรถ B-Car ในพิกัดเดียวกัน การใช้เกียร์ CVT อาจทำให้ความรู้สึกดิบๆ ลดลงเล็กน้อย แต่การตอบสนองจากคันเร่งกลับแม่นยำขึ้น แม้แรงม้าจะลดลง แต่ก็ไม่ส่งผลให้สมรรถนะในการออกตัวหรือเร่งแซงดูด้อยลง

สมรรถนะการทดสอบ: ตัวเลขที่น่าประทับใจ

จากการวัดค่าด้วย OBD Bluetooth ในโหมด D:
0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง: 12.054 วินาที
¼ ไมล์: 19.257 วินาที

ในโหมด S:
0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง: 11.731 วินาที
¼ ไมล์: 18.687 วินาที

ความเร็วสูงสุดที่ทำได้อยู่ที่ประมาณ 197 กิโลเมตรต่อชั่วโมง คาดว่าหากมีระยะทางที่ยาวกว่านี้ อาจทำได้ถึง 200 กิโลเมตรต่อชั่วโมง

โดยรวมแล้ว สมรรถนะของเครื่องยนต์นี้ถือว่าได้รับการปรับจูนมาอย่างลงตัว ช่วงกำลังต้นเป็นไปตามคาด แต่ช่วงปลายไหลต่อเนื่องเกินความคาดหมาย การจับคู่เครื่องยนต์กับเกียร์ใหม่ทำให้การขับขี่ดูลงตัวยิ่งขึ้น

อัตราสิ้นเปลืองน้ำมัน: ประสิทธิภาพที่จับต้องได้

จากการวิ่งเดินทางไกลเฉลี่ยที่ความเร็ว 100-110 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ได้ค่าเฉลี่ย 17.3 กิโลเมตรต่อลิตร หากวิ่งแช่ที่ความเร็ว 100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงอย่างนุ่มนวล ตัวเลขสวยงามที่ 18.1 กิโลเมตรต่อลิตร สำหรับการใช้งานเฉลี่ยเกือบทั้งทริป ได้ประมาณ 16.1 กิโลเมตรต่อลิตร

คาดว่าอัตราสิ้นเปลืองในทางปฏิบัติจริงน่าจะอยู่ที่ประมาณ 14.5 กิโลเมตรต่อลิตร และเมื่อคำนวณจากน้ำมัน 1 ถัง สามารถวิ่งได้เกิน 600 กิโลเมตรอย่างสบายๆ (หมายเหตุ: ทดสอบด้วยน้ำมัน E10 แก๊สโซฮอล์ 91)

ระบบส่งกำลัง CVT EarthDream: สมดุลที่ลงตัว

จากเดิมที่ใช้เกียร์ Torque Converter 5 AT ในรุ่นก่อนหน้า Honda City 2014 เปลี่ยนมาใช้เกียร์ CVT EarthDream ที่ปรับซอยย่อยถึง 7 สปีดในโหมด S เกียร์ลูกใหม่นี้ทำงานร่วมกับเครื่องยนต์บล็อกเดิมที่ปรับจูนมาได้อย่างเข้ากันดี การเปลี่ยนเกียร์สามารถทำได้จากแป้น Paddle Shift ที่พวงมาลัย ซึ่งมีอัตราทดเท่ากับโหมด S แต่เกียร์จะกลับสู่โหมด D เองหลังจากนั้นสักพัก เหมาะสำหรับการใช้ Engine Brake ในการลดความเร็วอย่างกะทันหัน

หากต้องการเร่งแซง แนะนำให้กระแทกคันเร่งลงจนสุด จะได้การตอบสนองที่รวดเร็วกว่าการไล่เกียร์เอง การลองเล่นสับเกียร์เองที่รอบ Redline เพื่อสับเกียร์ที่ 6,000 รอบต่อนาที พบว่าการตอบสนองอัตราเร่งไม่ดีเท่าโหมดอัตโนมัติ หรือหากต้องการความฉับไวขึ้น เพียงโยกคันเกียร์มาที่ตำแหน่ง S และกระแทกคันเร่ง รถก็พร้อมพุ่งทะยานแซงรถคันหน้าได้อย่างไม่ยากเย็น

ความสัมพันธ์ความเร็วต่อรอบเครื่องยนต์:
80 กิโลเมตรต่อชั่วโมง: 1,500 รอบต่อนาที
100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง: 1,900 รอบต่อนาที
120 กิโลเมตรต่อชั่วโมง: 2,250 รอบต่อนาที

ระบบบังคับเลี้ยว EPS: ความแม่นยำที่สัมผัสได้

พวงมาลัยแร็คแอนด์พีเนียน ผ่อนแรงด้วยระบบไฟฟ้า EPS แบบ 3 ก้าน ให้รัศมีวงเลี้ยว 5.3 เมตร การหมุนพวงมาลัยในช่วงความเร็วต่ำให้ความรู้สึกเบา แต่ไม่เบาจนเกินไปจนขาดความรู้สึก ขับขี่ได้คล่องตัว ซึ่งผู้เขียนรู้สึกชื่นชอบมากกว่ารุ่นเดิม เพราะให้ฟิลลิ่งการขับขี่ที่ดีกว่า ไม่ไวเกินไปนัก

อย่างไรก็ตาม ที่ความเร็วสูง พวงมาลัยยังคงมีความเบาอยู่บ้าง และขาดความหนักแน่นในโค้ง เมื่อเทียบกับรุ่นเดิม แม้ว่ารุ่นใหม่จะมีการตอบสนองของพวงมาลัยที่แม่นยำกว่าและให้การรับรู้ที่ดีกว่า แต่โมเดลเดิมจะมีความหนักแน่นที่ความเร็วสูงและการเข้าโค้งที่ดีกว่าเล็กน้อย

ระบบกันสะเทือน: นุ่มนวลแต่ยังคงความมั่นคง

ด้านหน้าเป็นแบบแม็คเฟอร์สันสตรัท และด้านหลังแบบทอร์ชั่นบีม เมื่อเทียบกับรุ่นโมเดลเก่า พบว่ามีความนุ่มขึ้นเล็กน้อย การขับขี่ที่ความเร็วสูงถือว่าไม่เลวร้ายนัก แม้จะมีอาการหวิวๆ ให้เห็นในช่วงความเร็ว 170 กิโลเมตรต่อชั่วโมงขึ้นไป แต่สำหรับการใช้งานที่ความเร็วเดินทางปกติระดับ 120 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ถือว่าทำได้ดีพอตัว

แต่จุดที่ต้องสังเกตคือ หากขับขี่ในทางโค้งหรือเลี้ยวกลับรถ โดยที่กดคันเร่งลงไปครึ่งหนึ่ง รถจะส่าย มีอาการ Slip ของหน้ายางที่ดูไม่ค่อยเกาะถนนนัก และที่ความเร็วสูงในการเข้าโค้ง ช่วงล่างยังดูอาจไม่เกาะถนนนัก ส่วนหนึ่งมาจากหน้ายาง ซึ่งหากเข้าโค้งด้วยความเร็วสูงเกินไป จะมีเสียงยางกรีดร้องดังออกมาอย่างต่อเนื่อง แม้จะไม่ได้กระแทกคันเร่ง

ระบบเบรก: ประสิทธิภาพที่ไว้วางใจได้

ด้านหน้าเป็นแบบดิสก์พร้อมครีบระบายความร้อน และด้านหลังเป็นแบบดรัม แม้ในรุ่น Top SV การปรับลดสเป็กนี้ไม่ได้ทำให้สมรรถนะด้านการหยุดรถดูแย่ลงแต่อย่างใด ในเชิงความรู้สึก การเซ็ตเบรกมาดีกว่าเดิม ด้วยการที่ไม่มีอาการเบรกแบบทื่อๆ ด้านๆ และไม่ต้องลงน้ำหนักแป้นเยอะเพื่อให้รู้สึกถึงแรงเบรกที่เกิดขึ้น ทำให้การเบรกสามารถทำได้อย่างนุ่มนวลกว่าตัวเก่า

ระบบความปลอดภัย: ความใส่ใจในทุกรายละเอียด

Honda City 2014 ถือเป็นอีกหนึ่งจุดขายสำคัญ ที่ให้ระบบช่วยเหลือด้านความปลอดภัยมาครบครันตั้งแต่รุ่นล่างสุด ได้แก่ ABS, EBD, BA, TCS (ระบบป้องกันล้อลื่นไถล), VSA (ควบคุมเสถียรภาพการทรงตัว), HSA (ช่วยออกตัวบนทางลาดชัน), ESS (ไฟฉุกเฉินติดอัตโนมัติเมื่อกระทืบเบรกกระทันหัน) สำหรับในรุ่น SV+ จะมี Side Curtain Airbag เพิ่มเข้ามาอีกด้วย

สรุป: Honda City 2014 – ซิตี้คาร์ที่ “เหนือกว่า” ทุกมิติ

Honda City 2014 ใหม่ รถ B-Segment หรือ Sub-Compact ที่อัดแน่นระบบช่วยเหลือด้านความปลอดภัยมาให้ตั้งแต่รุ่นล่างสุด ในแบบที่หาไม่ได้ในค่ายอื่น ห้องโดยสารกว้างขวางกว่าคู่แข่ง สมรรถนะที่ดีขึ้นเล็กน้อย และประหยัดกว่าเดิม พร้อมด้วยฟังก์ชันและออปชันที่หลากหลาย แม้ว่าราคาในรุ่น Top อาจดูสูงกว่าคู่แข่งบางรุ่น แต่สิ่งที่ Honda มอบให้กลับคุ้มค่ากว่า ทั้งความสบาย รูปลักษณ์ที่ดูดีเกินกว่ารถ Sub-Compact ทั่วไป

หากคุณกำลังมองหารถ Sub-Compact ที่มีสมรรถนะกลางๆ การโดยสารที่ค่อนข้างสบาย และเป็นผู้ที่ชื่นชอบในเทคโนโลยี ทั้งการเชื่อมต่อและออปชันความปลอดภัย การเลือกรุ่น SV+ จะทำให้คุณรู้สึกเหมือนได้เป็น “กัปตันมาวิน” อย่างแท้จริง แม้ว่าราคานี้อาจทำให้บางคนลังเลที่จะเพิ่มเงินอีกเล็กน้อยเพื่อไปเล่นรถระดับ C-Car แต่ Honda City 2014 ก็มอบสิ่งที่เหนือกว่าในคลาสของตนเอง

คำแนะนำ: ทางที่ดีที่สุดคือ การไปลองขับที่โชว์รูม Honda ด้วยตนเอง เพื่อสัมผัสประสบการณ์และตัดสินใจว่าสิ่งที่คุณได้รับนั้นตรงกับความต้องการของคุณหรือไม่ หรือเพียงแค่หลงไปกับเสียงเพลงโฆษณา “Be Your Best”

ขอขอบคุณ Honda Automobile สำหรับรถทดสอบ Honda City รุ่น SV+ สีเทา ราคา 749,000 บาท

รายละเอียดทางเทคนิค Honda City 2014:
เครื่องยนต์: DOHC i-VTEC 1.5 ลิตร
กำลังสูงสุด: 117 แรงม้า
แรงบิดสูงสุด: 146 นิวตันเมตร
ระบบส่งกำลัง: เกียร์ CVT EarthDream
ระบบขับเคลื่อน: ล้อหน้า (FF)
ระบบบังคับเลี้ยว: พวงมาลัยแร็คแอนด์พีเนียน ผ่อนแรงไฟฟ้า EPS
ระบบเบรก: จานดิสก์คู่หน้า และคู่หลังแบบดรัม
ระบบกันสะเทือน: ด้านหน้าแบบแม็คเฟอร์สันสตรัท และด้านหลังทอร์ชั่นบีม H-Shape

บทวิเคราะห์เชิงลึก: Chevrolet Captiva Diesel (2014) – ยานยนต์อเนกประสงค์ที่ลงตัวยิ่งขึ้น

ในฐานะผู้คร่ำหวอดในวงการยานยนต์มากว่าทศวรรษ ผมได้เห็นการเปลี่ยนแปลงของตลาดรถยนต์อยู่เสมอ บางครั้งรถยนต์ที่ผ่านการทดสอบไปแล้วก็อาจถูกลืมเลือนไปบ้าง ด้วยภาระงานที่ถาโถมเข้ามา วันนี้ผมขอนำเสนอบทวิเคราะห์เชิงลึกของ Chevrolet Captiva Diesel โฉมปรับปรุงปี 2014 ที่ผมเคยได้มีโอกาสสัมผัส และพบว่ามีหลายสิ่งที่ไม่ควรมองข้าม

Chevrolet Captiva: ความลงตัวที่พัฒนาอย่างต่อเนื่อง

Chevrolet Captiva ถือเป็นรถยนต์อเนกประสงค์ที่ได้รับความนิยมอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะหลังจากการปรับปรุงครั้งใหญ่ภายใต้การบริหารของ Marc Hess อดีตประธาน Chevrolet ยุโรป รถรุ่นนี้สามารถสร้างยอดขายได้ดี และกลายเป็นหนึ่งในรถยนต์ที่โดดเด่นในตลาดรถยนต์อเนกประสงค์

การปรับปรุงโฉม หรือ Minor Change ในครั้งนี้ ถือเป็นครั้งที่สองของ Captiva โดยครั้งแรกที่เกิดขึ้นเมื่อหลายปีก่อน เน้นการปรับรูปลักษณ์ภายนอกให้ดูทันสมัยขึ้น ด้วยกระจังหน้าแบบสองชั้นดีไซน์ 6 เหลี่ยมอันเป็นเอกลักษณ์ ไฟหน้าเรียวขึ้น และการออกแบบที่ให้ความเป็นอเมริกันมากขึ้น

สำหรับการปรับปรุงครั้งล่าสุดนี้ Chevrolet ได้ให้ความสำคัญกับการเพิ่มความลงตัวให้กับตัวรถ โดยเฉพาะในส่วนท้ายรถที่ได้รับการออกแบบใหม่ให้ดูทันสมัยขึ้น พร้อมไฟท้ายลายกราฟิกใหม่ที่สวยงาม ท่อไอเสียทรงกลมถูกเปลี่ยนเป็นทรงสี่เหลี่ยมคางหมู ทำให้ภาพรวมของรถดูกลมกลืนตลอดทั้งคัน การปกปิดยางอะไหล่ใต้ท้องรถก็เป็นอีกหนึ่งจุดที่ได้รับการปรับปรุงให้ดูเรียบร้อยขึ้น

รูปลักษณ์ภายนอก: สง่างาม พร้อมการปรับปรุงที่ใส่ใจรายละเอียด

การออกแบบภายนอกของ Chevrolet Captiva Minor Change ถือว่าทำได้อย่างน่าประทับใจ เส้นสายของรถดูสง่างาม ไฟหน้าออกแบบมาอย่างเรียวเพรียว พร้อมโคมโปรเจคเตอร์ ให้ความรู้สึกดุดันแต่แฝงไว้ด้วยความทันสมัย ด้านท้ายรถที่ปรับปรุงใหม่ พร้อมไฟท้าย LED ลายกราฟิกที่โดดเด่นเมื่อมองในยามค่ำคืน

จุดหนึ่งที่ผมสังเกตเห็นคือ การออกแบบสเกิร์ตข้างใหม่ที่มาพร้อมบันไดข้างในตัว ซึ่งแม้จะดูเข้ากันได้ดีกับรถยนต์สายลุย แต่ในมุมมองของผม กลับรู้สึกว่ามันขัดแย้งกับภาพลักษณ์ที่เน้นความดูดีและความหรูหราของ Captiva เล็กน้อย นอกจากนี้ บันไดข้างที่ให้มายังอาจเป็นอุปสรรคต่อการก้าวขึ้นลงสำหรับสตรีที่มีรูปร่างเล็ก หรือมีความสูงไม่มากนัก

ภายในห้องโดยสาร: ความหรูหราที่สัมผัสได้

เมื่อก้าวเข้ามาในห้องโดยสาร ความรู้สึกหรูหราก็ปรากฏขึ้นทันที เบาะนั่งสีเทาอ่อนช่วยเสริมความโดดเด่น และทำให้ภายในดูโปร่งโล่ง การออกแบบโดยรวมยังคงความเป็นรถยนต์อเนกประสงค์แบบคอมแพ็ค ที่สามารถตอบโจทย์การใช้งานแบบ 5 ที่นั่งได้อย่างสบาย และสามารถเพิ่มเป็น 7 ที่นั่งได้ในยามจำเป็น

อย่างไรก็ตาม ในรุ่นใหม่นี้ Chevrolet ยังคงเลือกที่จะติดตั้งเบาะนั่งไฟฟ้าปรับ 8 ทิศทาง เพียงฝั่งคนขับเท่านั้น ซึ่งอาจทำให้ผู้โดยสารด้านข้างรู้สึกว่าขาดความสะดวกสบายไปบ้าง

แม้จะมีจุดที่อาจขาดตกบกพร่องไปบ้าง แต่โดยรวมแล้ว Chevrolet Captiva ใหม่ ได้ผสมผสานความทันสมัยเข้ากับความลงตัวในการใช้งานได้อย่างดี ไม่ว่าจะเป็นระบบ Keyless Entry พร้อม Passive Start ที่สะดวกสบาย พวงมาลัยมัลติฟังก์ชันที่ควบคุมทุกอย่างได้อย่างง่ายดาย ตั้งแต่ระบบเครื่องเสียงไปจนถึงระบบปรับอากาศที่สามารถแยกปรับอุณหภูมิซ้าย-ขวาได้อย่างอิสระ

ระบบเครื่องเสียง: สำหรับผู้ที่ชื่นชอบระบบเครื่องเสียงเป็นชีวิตจิตใจ Captiva มาพร้อมระบบสร้างมิติเสียง 3D Sound Staging ที่ช่วยเพิ่มสุนทรียภาพในการเดินทาง

ขุมพลังดีเซล 2.0 ลิตร: พละกำลังที่เพิ่มขึ้น

หัวใจหลักของ Chevrolet Captiva Diesel ใหม่ คือเครื่องยนต์ดีเซลขนาด 2.0 ลิตร 4 สูบ 16 วาล์ว DOHC พร้อมเทอร์โบแปรผัน ให้กำลังสูงสุด 163 แรงม้า แต่ที่น่าสนใจคือ แรงบิดสูงสุดที่เพิ่มขึ้นจาก 360 เป็น 400 นิวตัน-เมตร แม้จะไม่ได้เปลี่ยนแปลงมากมายนัก แต่ทาง Chevrolet ได้ปรับปรุงสมรรถนะให้ลงตัวมากขึ้น โดยเฉพาะการจับคู่กับชุดเกียร์ใหม่

การขับขี่ในเมือง: นุ่มนวลและสะดวกสบาย

ในการขับขี่ในเมือง Chevrolet Captiva Diesel ใหม่ แสดงให้เห็นถึงความนุ่มนวลที่เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะการลดอาการกระตุกของชุดเกียร์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ เหมือนกับการปรับปรุงที่เคยทำกับ Chevrolet Cruze มาก่อนหน้า

อย่างไรก็ตาม การลดความดุดันของรถอาจเป็นดาบสองคมสำหรับผู้ที่คาดหวังสมรรถนะการขับขี่ที่เร้าใจจากเครื่องยนต์ดีเซลแรงบิดสูง แม้แรงบิดจะเพิ่มขึ้น แต่ Captiva 2014 ไม่ได้ให้ความรู้สึกเร่งติดเบาะเหมือนที่บางคนอาจคาดหวัง

อัตราสิ้นเปลืองในเมือง: ในสภาพการจราจรที่หนาแน่น ตัวเลขที่ทำได้อยู่ที่ประมาณ 7.89 กิโลเมตรต่อลิตร ซึ่งอาจดูสูงไปบ้างสำหรับเครื่องยนต์ดีเซล แต่ก็เป็นไปตามสไตล์รถอเมริกันที่เน้นพละกำลัง

ทดสอบในโหมดผสม: ความลงตัวที่สัมผัสได้

การทดสอบในโหมดผสม (Bonn Test Mode) ซึ่งเป็นการผสมผสานระหว่างการขับขี่ในเมืองและนอกเมือง แสดงให้เห็นถึงตัวตนของ Captiva ในฐานะรถยนต์อเนกประสงค์ที่เปี่ยมด้วยความลงตัวและความสุนทรีย์ในการขับขี่ การทำงานของพวงมาลัยที่นุ่มนวลขึ้น ระบบช่วงล่างที่ลงตัว แม้จะมีจังหวะที่แอบกระด้างบ้างจากการใช้ล้อขนาด 19 นิ้ว

อัตราสิ้นเปลืองนอกเมือง: ในการทดสอบด้วยการขับขี่ด้วยความเร็วปกติภายใต้กฎหมายจราจรไทย (ไม่เกิน 120 กิโลเมตรต่อชั่วโมง) ที่รอบเครื่องยนต์ประมาณ 2,400 รอบต่อนาที พบว่าใช้รอบเครื่องยนต์ไม่สูงมากนัก การทดสอบวัดอัตราสิ้นเปลืองนอกเมืองอยู่ที่ 11.62 กิโลเมตรต่อลิตร

การเดินทางไกลสู่ขอนแก่น: ประสิทธิภาพที่พิสูจน์ได้

การเดินทางไกลไปยังขอนแก่นเป็นอีกหนึ่งบทพิสูจน์ที่ท้าทายสำหรับ Chevrolet Captiva Diesel ใหม่ ตลอดเส้นทาง รถคันนี้แสดงศักยภาพออกมาได้อย่างน่าประทับใจ การออกตัวที่นุ่มนวล ผสานกับสมรรถนะทันทีที่ใช้โหมดการขับขี่แบบสปอร์ต ทำให้รถพุ่งทะยานได้อย่างต่อเนื่อง แรงบิดที่มากช่วยให้การขับขี่เป็นไปอย่างสนุกสนาน โดยเฉพาะหากเป็นผู้ที่ชื่นชอบการขับขี่ด้วยความเร็ว

ระบบช่วงล่าง: ระบบกันสะเทือนด้านหน้าแบบแม็คเฟอร์สันสตรัท พร้อมเหล็กกันโคลง และด้านหลังแบบมัลติลิงค์ 4 จุด ช่วยยึดเกาะถนนได้อย่างดีเยี่ยม ทำให้ผู้ขับขี่มั่นใจได้ในการควบคุมรถ แม้จะขับด้วยความเร็วสูงก็ตาม

อัตราสิ้นเปลืองเฉลี่ย: ตลอดการเดินทางไกล แม้จะมีการใช้ความเร็วและเจอสภาพถนนที่หลากหลาย Chevrolet Captiva Diesel ใหม่ สามารถทำอัตราสิ้นเปลืองเฉลี่ยได้ที่ 10.5 กิโลเมตรต่อลิตร ซึ่งถือว่าน่าพอใจสำหรับรถยนต์ขนาดนี้

สรุป: Chevrolet Captiva Diesel (2014) – ความประทับใจที่สุภาพขึ้น

Chevrolet Captiva Diesel Minor Change ปี 2014 เป็นรถยนต์อเนกประสงค์ที่พัฒนาไปในทิศทางที่ดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด รูปลักษณ์ภายนอกดูดีมีระดับมากขึ้น ภายในห้องโดยสารยังคงความสบายและลงตัวในการออกแบบ พร้อมฟังก์ชันที่ทันสมัย

เครื่องยนต์ดีเซล 2.0 ลิตร ได้รับการปรับปรุงให้มีความนุ่มนวลในการขับขี่มากขึ้น ด้วยการเพิ่มแรงบิด 40 นิวตัน-เมตร และการจับคู่กับระบบเกียร์ใหม่ที่วิศวกรรมมาให้มีความนุ่มนวลยิ่งขึ้น แม้จะไม่ใช่แรงบิดในแบบ Flat Torque ที่ตอบสนองทันที แต่ก็ยังคงให้สมรรถนะที่น่าพอใจ

การทดสอบอัตราเร่ง:
0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง: เฉลี่ย 12.48 วินาที
80-120 กิโลเมตรต่อชั่วโมง: เฉลี่ย 8.60 วินาที

ตัวเลขเหล่านี้แสดงให้เห็นว่า Chevrolet Captiva 2014 มีอัตราเร่งที่ดีขึ้นกว่าที่รู้สึกได้จริง ซึ่งถือว่าเป็นตัวเลขที่ไม่ขี้เหร่เลยสำหรับรถยนต์คันนี้

สิ่งที่น่าประทับใจ: ความลงตัวที่ดีขึ้น ความหรูหราที่สัมผัสได้ในการขับขี่ และการพัฒนาด้านความนุ่มนวล

สิ่งที่คาดหวัง: สำหรับรุ่นเครื่องยนต์ดีเซล ในอนาคต คาดหวังที่จะเห็นอัตราประหยัดที่ดีขึ้นกว่าเดิม

บทวิเคราะห์: BMW 420d Coupe Sport – ยนตรกรรมสปอร์ตหรู ที่มาพร้อมความคุ้มค่า

ในฐานะผู้คร่ำหวอดในวงการยานยนต์ ผมได้สังเกตเห็นถึงกลยุทธ์ของ BMW ประเทศไทย ที่มักจะนำเข้ารถยนต์รุ่นใหม่ๆ เข้ามาทำตลาดอย่างรวดเร็ว ทันทีที่เปิดตัวในต่างประเทศ BMW 420d Coupe Sport คันนี้ ก็เป็นหนึ่งในตัวอย่างที่ชัดเจนของกลยุทธ์ดังกล่าว

BMW 420d Coupe Sport: ดีไซน์ที่โดดเด่น ราคาสมเหตุสมผล

ก่อนที่รุ่นเปิดประทุนจะตามมาทำตลาด BMW 420 Coupe ได้รับความสนใจจากกลุ่มผู้บริโภคที่มีกำลังซื้อเป็นอย่างมาก ส่วนหนึ่งเป็นเพราะสนนราคาจำหน่ายในรุ่น Sport ที่ตั้งไว้เพียง 3.799 ล้านบาท ถือเป็นราคาที่เอื้อมถึงได้ไม่ยากเย็นสำหรับผู้ที่ต้องการรถยนต์ที่มอบทั้งความเท่และสมรรถนะ

รูปลักษณ์ภายนอก: ความสปอร์ตที่สะกดทุกสายตา

แม้จะมีพื้นฐานการพัฒนามาจากซีดาน แต่ BMW 4 Series Coupe ก็มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวที่โดดเด่นหลายประการ การออกแบบตัวถังแบบ Coupe ที่เน้นความยาวของด้านหน้า ให้ความรู้สึกสปอร์ตเต็มพิกัด ไฟหน้า LED ดีไซน์ล้ำสมัย พร้อมไฟเดย์ไลท์ที่ส่องสว่าง และไฟตัดหมอกที่ออกแบบอย่างลงตัว ทำให้รถดูดุดันและน่าเกรงขาม

ด้านหน้าของรถได้รับการออกแบบให้มีพื้นผิวสีดำมันเงาที่บริเวณกันชนหน้า ช่วยเสริมความดุดัน ฝากระโปรงหน้าที่ออกแบบให้เป็นทรงโดม ยิ่งเพิ่มความโอ่อ่าให้กับส่วนหน้าของรถ เส้นสายที่ไล่จากฝากระโปรงหน้าไปยังด้านข้างทำได้อย่างชัดเจนและโดดเด่น

แม้จะเป็นรถยนต์แบบ Coupe เสา C ไม่ได้ถูกบีบลงมากจนเกินไปนัก ทำให้พื้นที่ภายในห้องโดยสารยังคงใช้งานได้ดี ด้านท้ายรถดูเรียบง่ายแต่แฝงไว้ด้วยความหรูหรา พร้อมไฟท้ายยาวที่สะดุดตาในยามค่ำคืน และระบบเปิดฝากระโปรงท้ายอัตโนมัติ

ล้ออัลลอยขนาด 18 นิ้ว พร้อมยางรันแฟลต และการตกแต่งรายละเอียดภายนอกต่างๆ ทำได้อย่างดีเยี่ยม หากเป็นรถสีเข้ม จะยิ่งช่วยขับเน้นความดุดันของรถได้มากยิ่งขึ้น

ขุมพลังดีเซล 2.0 ลิตร: สมรรถนะ ประหยัด และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม

เครื่องยนต์ดีเซล 2.0 ลิตร กลายเป็นเครื่องยนต์หลักที่ BMW ใช้ในรถยนต์แทบทุกรุ่นที่ทำตลาด และเครื่องยนต์ TwinPower Turbo รุ่นนี้ ก็ถือเป็นหนึ่งในเครื่องยนต์ที่ได้รับการยกย่องว่าเหมาะสมกับการใช้งานในชีวิตประจำวันมากที่สุด

เครื่องยนต์ดีเซล 4 สูบ 16 วาล์ว ให้กำลังสูงสุด 184 แรงม้า ที่ 4,000 รอบต่อนาที พร้อมแรงบิดมหาศาล 380 นิวตัน-เมตร ที่รอบต่ำตั้งแต่ 1,750-2,750 รอบต่อนาที ส่งผลให้อัตราเร่งตั้งแต่ช่วงออกตัวมีความปราดเปรียว

ตามสเปก รถสามารถทำอัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ได้ใน 7.3 วินาที แม้การทดสอบจริงอาจอยู่ที่ประมาณ 9 วินาที แต่ก็ถือว่าน่าประทับใจสำหรับรถยนต์ในพิกัดนี้

ระบบส่งกำลัง: ส่งกำลังผ่านเกียร์อัตโนมัติ 8 สปีดแบบสปอร์ต ที่ชาญฉลาด สามารถปรับการทำงานได้อย่างเหมาะสม มาพร้อมโหมดเปิด-ปิดการทำงานของเครื่องยนต์อัตโนมัติ (Auto Start/Stop) ซึ่งแนะนำให้ปิดใช้งานเมื่อไม่ต้องการการกระชากที่อาจเกิดขึ้นเมื่อเครื่องยนต์กลับมาทำงานใหม่

อัตราสิ้นเปลือง: BMW เคลมอัตราการสิ้นเปลืองน้ำมันของรถคันนี้ไว้ที่ 21.7 กิโลเมตรต่อลิตร ซึ่งอาจทำได้จริงหากขับขี่ด้วยความเร็วคงที่ในสภาพการจราจรที่เหมาะสม แต่ในการใช้งานจริง โดยเฉพาะเมื่อเน้นสมรรถนะ อัตราสิ้นเปลืองที่ทำได้จะอยู่ที่ประมาณ 15-16 กิโลเมตรต่อลิตร ซึ่งถือว่าไม่แตกต่างจากรถรุ่นอื่นมากนัก

โหมดการขับขี่: มีให้เลือกหลากหลาย ตั้งแต่ Eco, Comfort ไปจนถึง Sport ซึ่งแต่ละโหมดจะส่งผลต่อการตอบสนองของเครื่องยนต์ ช่วงล่าง และอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงได้อย่างชัดเจน โหมด Comfort ถือว่าเพียงพอและลงตัวที่สุดสำหรับการใช้งานในเมือง

ภายในห้องโดยสาร: ความหรูหรา และฟังก์ชันที่ครบครัน

เมื่อเปิดประตูเข้ามาในห้องโดยสารที่เน้นโทนสีแดงเป็นหลัก สอดประสานกับสีดำเข้ม ให้ความรู้สึกโอ่อ่า ทันสมัย และหรูหรา ตำแหน่งเบาะที่นั่งทั้ง 4 ออกแบบมาอย่างลงตัวและใช้งานได้จริง ระบบพับเบาะด้านหน้าช่วยอำนวยความสะดวกในการเข้า-ออกที่นั่งตอนหลัง เบาะที่นั่งตอนหลังออกแบบแยกส่วน พร้อมช่องวางของตรงกลาง และมีพื้นที่วางขาและศีรษะที่กว้างขวาง

เบาะที่นั่งด้านหน้าควบคุมด้วยระบบไฟฟ้าทั้งหมด ทำจากหนัง Dakota ให้การรองรับแผ่นหลัง ขา และน้ำหนักตัวได้อย่างดีเยี่ยม พร้อมระบบปรับตำแหน่งเบาะที่นั่งให้กระชับกับแผ่นหลังได้มากขึ้น

พวงมาลัย: แบบสปอร์ต สามารถปรับเลื่อนได้ 4 ทิศทางด้วยมือและคันโยก

แผงคอนโซล: การออกแบบคุ้นเคยในรถ BMW รุ่นใหม่ๆ พร้อมหน้าจอแสดงผลขนาดใหญ่ 8.8 นิ้วตรงกลางคอนโซล และปุ่ม iDrive ที่สามารถสั่งการด้วยการเขียนได้

โดยรวมแล้ว ห้องโดยสารของ BMW 420d Coupe Sport ให้ความรู้สึกเร้าใจในการขับขี่ ไม่แพ้ความสะดวกสบายในการใช้งานจริง แม้จะเป็นรถยนต์แบบ Coupe แต่ก็มีพื้นที่เพียงพอสำหรับผู้โดยสาร 4 คนเดินทางร่วมกันได้อย่างสบาย

สมรรถนะการขับขี่: ความสนุกสนานที่มาพร้อมความปลอดภัย

สมรรถนะของเครื่องยนต์ดีเซลรุ่นนี้ของ BMW นั้น แทบจะรับประกันได้ในเรื่องของความสนุกสนานในการขับขี่ การประหยัดน้ำมัน และด้วยเทคโนโลยีต่างๆ ที่ติดตั้งมา ก็ช่วยเสริมในเรื่องของความปลอดภัยได้อย่างน่าเชื่อถือ

ความสนุกสนานในการขับขี่: มาจากพละกำลังที่ล้นเหลือ ล้ออัลลอยขนาด 18 นิ้ว ให้ความรู้สึกในการขับขี่ที่ดี และไม่กระด้างจนเกินไปนัก พอที่จะสัมผัสแรงสะท้อนจากพื้นถนนได้อยู่บ้าง แต่ไม่รบกวนการควบคุมรถ

พวงมาลัย: แม่นยำ ทำให้การควบคุมรถเป็นไปอย่างไหลลื่น แม้จะต้องวิ่งผ่านสภาพถนนที่หลากหลายของเมืองไทย ก็ไม่ได้ทำให้การควบคุมรถยากเย็นอะไร ช่วงล่างที่หนึบแน่นแต่ไม่แข็งกระด้าง ช่วยให้สามารถทำความเร็วของรถไปได้อย่างต่อเนื่อง

อุปกรณ์ความปลอดภัย: ระบบความปลอดภัยและระบบสนับสนุนต่างๆ ติดตั้งมาอย่างครบครันสมราคา ไม่ต้องมีการปรับปรุงเพิ่มเติมใดๆ

สรุป: BMW 420d Coupe Sport – ยนตรกรรมที่คุ้มค่าสำหรับผู้ที่ต้องการความโดดเด่น

หากมองข้ามเรื่องค่าตัวที่อาจดูสูงไปบ้างในความรู้สึกที่ขึ้นไปแตะๆ เลข 4 และการที่ยังไม่ค่อยมีส่วนลดจากตัวแทนจำหน่ายมากนัก เนื่องจากเป็นรถที่ทำยอดขายได้ดีอยู่แล้ว BMW 420d Coupe Sport ถือเป็นรถยนต์ที่ตอบสนองความต้องการของผู้ที่ต้องการรถเท่ๆ สักคัน ที่ขับไปทางไหนก็มีคนเหลียวมอง

เป็นรถหรูจากค่ายใบพัดฟ้าขาวที่น่าจับจองเป็นเจ้าของอีกหนึ่งคัน ด้วยดีไซน์ที่โดดเด่น สมรรถนะที่ยอดเยี่ยม และความคุ้มค่าที่ได้รับ เหมาะสำหรับผู้ที่มองหารถยนต์ที่มอบทั้งความสุนทรีย์ในการขับขี่ และภาพลักษณ์ที่เหนือระดับ

รายละเอียดทางเทคนิค BMW 420d Coupe Sport:
ราคาจำหน่าย: 3.799 ล้านบาท
เครื่องยนต์: ดีเซล TwinPower Turbo 2.0 ลิตร
กำลังสูงสุด: 184 แรงม้า ที่ 4,000 รอบต่อนาที
แรงบิดสูงสุด: 380 นิวตัน-เมตร ที่ 1,750-2,750 รอบต่อนาที
อัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง: 7.3 วินาที
ความเร็วสูงสุด: 232 กิโลเมตรต่อชั่วโมง
อัตราสิ้นเปลืองเฉลี่ย: 21.7 กิโลเมตรต่อลิตร
อัตราการปล่อยไอเสียเฉลี่ย: 121 กรัมต่อกิโลเมตร

หากคุณกำลังมองหารถยนต์ที่มอบประสบการณ์การขับขี่ที่น่าประทับใจ พร้อมความหรูหราและสมรรถนะที่เหนือกว่าในคลาส ลองพิจารณา Honda City 2014, Chevrolet Captiva Diesel (2014) หรือ BMW 420d Coupe Sport ที่เราได้นำเสนอไป และอย่าลืมไปทดลองขับด้วยตนเองเพื่อค้นหารถยนต์ที่ใช่สำหรับคุณ

Previous Post

N3012025 หญ งคนน กำล งหน จากตำรวจ แต ทำไมท กคนต องกล วตำรวจคนน ตอนจบม นเป นแบบน เอง part2

Next Post

N3112022 กร องช อด ใช เส ยงเด กเสร ฟเป นเคร องม อหลอกลวงแฟนคล part2

Next Post
N3112022 กร องช อด ใช เส ยงเด กเสร ฟเป นเคร องม อหลอกลวงแฟนคล part2

N3112022 กร องช อด ใช เส ยงเด กเสร ฟเป นเคร องม อหลอกลวงแฟนคล part2

Leave a Reply Cancel reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *

Recent Posts

  • N3112017 เด กขโมยกระเป าจากผ หญ งคนน ในกระเป าน นม อะไร ทำไมตำรวจก อยากได part2
  • N3112011 เต อนภ อย าต ดม อถ อจนเป นหายนะแก คนอ part2
  • N3112019 ปหน าจอม อถ อล กค าทำไมม หน าพ อก บผ หญ แม กตามไปส บถ งก บช อค #พ คตอนจบอย างฮา part2
  • N3112008 กล บบ านนอกมาเจอเพ อนสม ยเร ยนท เคยชอบก จะเป นย งไง part2
  • N3112007 เต อนภ เต มน ำม นต องเช คให ไม นจะเจอแบบน part2

Recent Comments

No comments to show.

Archives

  • December 2025
  • November 2025
  • October 2025
  • September 2025
  • August 2025

Categories

  • Uncategorized

© 2025 JNews - Premium WordPress news & magazine theme by Jegtheme.

No Result
View All Result

© 2025 JNews - Premium WordPress news & magazine theme by Jegtheme.