บทวิเคราะห์เชิงลึก: Hyundai i10 ใหม่ – รถซิตี้คาร์ยุคใหม่ที่ตอบโจทย์การใช้งานจริง
ในฐานะผู้คร่ำหวอดในวงการยานยนต์มากว่าทศวรรษ ผมได้เห็นการเปลี่ยนแปลงและวิวัฒนาการของตลาดรถยนต์มาอย่างต่อเนื่อง ค่ายรถยนต์เกาหลีอย่าง Hyundai ถือเป็นหนึ่งในผู้เล่นที่น่าจับตามอง พวกเขาไม่เพียงแต่สร้างชื่อเสียงจากรถยนต์ซีดานขนาดกลาง แต่ยังคงไม่ละทิ้งความมุ่งมั่นในการพัฒนารถยนต์ซิตี้คาร์ให้เข้าถึงกลุ่มผู้บริโภคในวงกว้าง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง Hyundai i10 ที่กำลังจะได้รับการปรับปรุงครั้งใหญ่
แม้ว่า Hyundai i10 รุ่นใหม่นี้จะยังไม่มีแผนวางจำหน่ายในประเทศไทย แต่การพัฒนาและความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นทั่วโลก โดยเฉพาะในตลาดหลักอย่างยุโรป สะท้อนให้เห็นถึงความใส่ใจในรายละเอียดและความต้องการของผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไป การที่ Hyundai เลือกที่จะขยายขนาดตัวถังของ i10 ให้ใหญ่ขึ้น แสดงให้เห็นถึงวิสัยทัศน์ที่กว้างไกลในการตอบสนองต่อเทรนด์ตลาดที่ผู้บริโภคต้องการรถยนต์ที่มีพื้นที่ใช้สอยมากขึ้น แต่ยังคงความคล่องตัวและราคาที่เข้าถึงได้
Hyundai i10 ใหม่: การยกระดับขนาด พร้อมราคาที่น่าดึงดูด
การเปิดตัว Hyundai i10 ในเวอร์ชันที่มีขนาดใหญ่ขึ้น เป็นสัญญาณบ่งบอกถึงการปรับกลยุทธ์ครั้งสำคัญ เพื่อให้รถยนต์ซิตี้คาร์คันนี้สามารถแข่งขันในตลาดที่มีการแข่งขันสูงได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเทศอังกฤษ ซึ่งเป็นตลาดที่ให้ความสำคัญกับรถยนต์ขนาดเล็กในราคาที่สมเหตุสมผล Hyundai i10 ใหม่นี้มีแผนวางจำหน่ายด้วยราคาเริ่มต้นเพียง 8,345 ปอนด์ หรือประมาณ 417,250 บาท ซึ่งถือเป็นจุดขายที่แข็งแกร่งอย่างยิ่ง
การปรับขนาดตัวถังให้ใหญ่ขึ้นนั้น ไม่ได้หมายถึงเพียงแค่รูปลักษณ์ภายนอกที่ดูบึกบึนขึ้น แต่ยังส่งผลโดยตรงต่อพื้นที่ใช้สอยภายในห้องโดยสาร Hyundai i10 ใหม่ได้รับการขยายความกว้างเพิ่มขึ้น 65 มิลลิเมตร และความยาวเพิ่มขึ้น 80 มิลลิเมตร แต่ในขณะเดียวกัน ตัวรถกลับได้รับการปรับลดความสูงลง 50 มิลลิเมตร เพื่อรักษาจุดศูนย์ถ่วงและคงไว้ซึ่งความสปอร์ต การปรับขนาดนี้ทำให้รถดูสมส่วนและมีมิติที่น่าสนใจยิ่งขึ้น
สำหรับรุ่นเริ่มต้น จะมาพร้อมกับล้อขนาด 14 นิ้ว ระบบเซ็นทรัลล็อค และกระจกไฟฟ้าเป็นอุปกรณ์มาตรฐาน ซึ่งเป็นคุณสมบัติพื้นฐานที่ตอบสนองต่อความต้องการของผู้บริโภคส่วนใหญ่ได้อย่างลงตัว
ภายในกว้างขวางขึ้น พร้อมพื้นที่เก็บสัมภาระที่เหนือกว่า
เมื่อก้าวเข้ามาในห้องโดยสารของ Hyundai i10 ใหม่ แม้ว่าตัวรถจะเตี้ยลง แต่การปรับปรุงภายในกลับทำให้รู้สึกได้ถึงพื้นที่ที่กว้างขวางขึ้นอย่างเห็นได้ชัด จุดที่น่าประทับใจคือ พื้นที่เก็บสัมภาระด้านหลังที่ได้รับการเพิ่มปริมาณขึ้นถึง 10% ส่งผลให้มีปริมาตรรวมถึง 252 ลิตร เมื่อเทียบกับรุ่นก่อนหน้า นี่คือการพัฒนาที่สำคัญสำหรับรถยนต์ซิตี้คาร์ ที่มักประสบปัญหาเรื่องพื้นที่เก็บสัมภาระไม่เพียงพอต่อการใช้งานในชีวิตประจำวัน
ขุมพลังที่หลากหลาย ตอบโจทย์ทุกสไตล์การขับขี่
Hyundai วางแผนนำเสนอ Hyundai i10 ใหม่ ด้วยเครื่องยนต์ 2 ทางเลือก เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคที่หลากหลาย:
เครื่องยนต์ 1.0 ลิตร 3 สูบ: ให้กำลังสูงสุด 65 แรงม้า อัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ในเวลา 14.9 วินาที และความเร็วสูงสุด 155 กิโลเมตรต่อชั่วโมง เหมาะสำหรับการขับขี่ในเมือง เน้นความประหยัดและคล่องตัว
เครื่องยนต์ 1.2 ลิตร 4 สูบ: ให้กำลังสูงสุด 86 แรงม้า อัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ในเวลา 12.3 วินาที และความเร็วสูงสุด 171 กิโลเมตรต่อชั่วโมง มอบสมรรถนะที่เหนือกว่า เหมาะสำหรับการขับขี่ที่ต้องการอัตราเร่งที่ดีขึ้น หรือการเดินทางออกนอกเมือง
รุ่นย่อยที่หลากหลาย พร้อมออปชันที่น่าสนใจ
Hyundai i10 ใหม่ จะมีให้เลือกทั้งหมด 3 รุ่นย่อย ได้แก่:
รุ่น S: รุ่นเริ่มต้นที่มาพร้อมออปชันพื้นฐานครบครัน
รุ่น SE: เพิ่มเติมด้วยระบบกุญแจรีโมท และระบบละลายน้ำแข็งที่กระจกมองข้าง
รุ่น Premium Edition: รุ่นท็อปสุดที่มาพร้อมออปชันที่น่าสนใจ เช่น การเชื่อมต่อ Bluetooth พร้อมระบบสั่งงานด้วยเสียง, ไฟ Daytime LED, และระบบสัญญาณเบรกฉุกเฉิน
การส่งมอบ Hyundai i10 ใหม่ ในตลาดอังกฤษมีกำหนดเริ่มในเดือนมกราคมปีหน้า ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความพร้อมในการนำเสนอผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทย์ความต้องการของตลาดอย่างรวดเร็ว
เทรนด์ตลาดรถยนต์ซิตี้คาร์: ความท้าทายและโอกาส
ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ตลาดรถยนต์ทั่วโลกมีแนวโน้มที่ชัดเจนในการหันไปพัฒนารถยนต์ประเภท SUV มากขึ้น ตั้งแต่ B-SUV ไปจนถึง Full Size SUV ไม่ว่าจะเป็นแบรนด์ตลาดแมส หรือแบรนด์หรู ต่างก็มุ่งเน้นไปที่กลุ่มรถอเนกประสงค์นี้ อย่างไรก็ตาม สิ่งที่หลายคนอาจมองข้ามไปคือ รถยนต์กลุ่ม B-Segment หรือรถซิตี้คาร์ ยังคงเป็นกลุ่มรถที่ครองส่วนแบ่งการตลาดจำนวนมหาศาล และเป็นที่ต้องการของผู้บริโภคในวงกว้าง
ในประเทศไทยเอง ตลาดรถยนต์ B-Segment ก็มีการแข่งขันที่ดุเดือดอย่างต่อเนื่อง สังเกตได้จากความสำเร็จของ Honda City ที่สามารถทำยอดขายได้อย่างน่าประทับใจในปีที่ผ่านมา แม้จะเผชิญหน้ากับคู่แข่งที่เปิดตัวใหม่ก็ตาม การที่ Honda City โฉมใหม่ (เจนเนอเรชั่นที่ 4) ได้เปิดตัวไปเมื่อต้นปีที่ผ่านมา พร้อมคอนเซ็ปต์ “Be Your Best” สะท้อนให้เห็นถึงความพยายามในการยกระดับรถยนต์ซิตี้คาร์ให้เหนือกว่าคู่แข่งในทุกมิติ
Honda City 2014: นิยามใหม่ของซิตี้คาร์ที่ “เหนือกว่า”
ในฐานะนักทดสอบที่ได้สัมผัสกับรถยนต์มาหลากหลายรุ่น โฆษณาของ Honda City มักจะสร้างความประทับใจได้อย่างเสมอ ด้วยบทเพลงและเนื้อหาที่สื่อสารได้อย่างกินใจ จนทำให้รู้สึกคล้อยตามและอยากสัมผัสประสบการณ์การขับขี่ด้วยตนเอง โดยเฉพาะเมื่อ Honda City 2014 มาพร้อมกับคอนเซ็ปต์ “Be Your Best” ยิ่งทำให้ผมอยากลองเป็น “กัปตัน” ที่ได้เลือกใช้รถคันนี้ เพื่อนำมาสู่บทวิเคราะห์ที่เจาะลึกถึงสมรรถนะและฟังก์ชันต่างๆ
รูปลักษณ์ภายนอก: ความโดดเด่นที่ลงตัว
เมื่อมองเผินๆ Honda City 2014 อาจดูไม่แตกต่างจากรุ่นก่อนหน้ามากนัก แต่เมื่อพิจารณาในรายละเอียด จะพบเห็นการปรับปรุงที่ทำให้รถดูโดดเด่นและมีมิติมากขึ้น จุดที่ได้รับการชื่นชมเป็นพิเศษคือ ดีไซน์ไฟท้ายใหม่ ที่รับกับแนวเส้นโป่งล้อหลัง ทำให้รถดูคมเข้มและมีมิติที่ชัดเจนขึ้น โดยไม่ดูโป่งจนเกินงาม ล้ออัลลอยขนาด 16 นิ้ว ลวดลายใหม่ในรุ่น SV และ SV+ ยังช่วยเสริมภาพลักษณ์ความโฉบเฉี่ยวและหรูหรา
เมื่อเทียบกับรุ่นเดิม มิติของ Honda City 2014 มีความยาวเพิ่มขึ้น 45 มิลลิเมตร และฐานล้อยาวขึ้น 50 มิลลิเมตร ส่วนความสูงเพิ่มขึ้น 5 มิลลิเมตร ขณะที่ความกว้างเท่าเดิมที่ 1,695 มิลลิเมตร การยืดความยาวนี้มีเป้าหมายเพื่อเพิ่มพื้นที่ภายในห้องโดยสาร โดยเฉพาะพื้นที่ด้านหลัง และห้องเก็บสัมภาระ ซึ่งมีปริมาตรถึง 536 ลิตร
ภายในห้องโดยสาร: กว้างขวาง สะดวกสบาย และเปี่ยมด้วยเทคโนโลยี
การเข้ามาในห้องโดยสารด้วยระบบ Keyless Entry ให้สัมผัสแห่งความทันสมัย วัสดุหุ้มเบาะเป็นผ้า แม้ว่ารูปลักษณ์ภายนอกจะดูเตี้ยลง แต่ภายในกลับให้ความรู้สึกกว้างขวาง พื้นที่ห้องโดยสารตอนหลังได้รับการปรับปรุงให้นั่งสบายขึ้น โดยเฉพาะพื้นที่หัวไหล่ที่เพิ่มขึ้น 40 มิลลิเมตร และพื้นที่วางขาเพิ่มอีก 60 มิลลิเมตร
อย่างไรก็ตาม จากการทดลองขับ เบาะนั่งตอนหน้ามีจุดที่น่ารำคาญเล็กน้อยเกี่ยวกับรูปทรงของพนักพิงศีรษะ ที่อาจไม่เข้ากับสรีระของผู้ขับขี่บางท่าน จนทำให้รู้สึกสบายกว่าหากถอดออก
ในรุ่น SV และ SV+ เบาะหลังสามารถพับแบบ 60:40 ได้ ซึ่งต้องอาศัยการดึงปุ่มพับเบาะที่อยู่ภายในห้องโดยสารตอนหลัง
จุดเด่นที่ทำให้ Honda City 2014 แตกต่างคือ หน้าจอสัมผัสขนาด 7 นิ้ว ที่เป็นหัวใจหลักของระบบอินโฟเทนเมนท์ ซึ่งรองรับการใช้งานเป็น Wifi Hotspot และสามารถเชื่อมต่อกับ Siri Eyes Free ช่วยให้ผู้ขับขี่ไม่ต้องละสายตาจากถนนขณะใช้งานสมาร์ทโฟน นอกจากนี้ยังสามารถเชื่อมต่อกับกล้องมองหลังเมื่อเข้าเกียร์ R
ระบบเครื่องเสียงให้เสียงคุณภาพดีผ่านลำโพง 8 จุด รองรับการเชื่อมต่อ Bluetooth เป็นมาตรฐาน พร้อมช่อง USB, AUX in และสาย HDMI แต่ไม่มี CD Slot หรือระบบนำทางมาให้ โดย Honda แนะนำให้ใช้งานผ่าน Honda Link Application นอกจากนี้ ยังมีช่อง Power Outlet สำหรับผู้โดยสารด้านหลังอีก 2 ช่อง เพื่อเอาใจผู้ที่ชื่นชอบสมาร์ทโฟน
ระบบการล็อคและปลดล็อคประตูอาจดูสับสนเล็กน้อยในตอนแรก หากล็อคจากกุญแจ ก็ต้องปลดล็อคจากกุญแจเช่นกัน แต่หากล็อคจากปุ่มที่มือจับประตู ก็เพียงแค่นำมือไปจับที่ประตู ระบบเซ็นเซอร์จะปลดล็อคให้อัตโนมัติ
ขุมพลัง 1.5 ลิตร i-VTEC: ปรับปรุงเพื่อความลงตัว
Honda City 2014 ใช้เครื่องยนต์บล็อกเดิมจากรุ่นก่อนหน้า คือเครื่องยนต์ 4 สูบ SOHC i-VTEC ขนาด 1,497 ซีซี แต่ได้รับการปรับจูนใหม่ให้เข้ากับเกียร์ CVT และรองรับน้ำมัน E85 ให้กำลังสูงสุด 117 แรงม้า ที่ 6,000 รอบต่อนาที และแรงบิดสูงสุด 146 นิวตัน-เมตร ที่ 4,700 รอบต่อนาที แม้แรงม้าจะลดลงเล็กน้อย แต่การปรับจูนทำให้กำลังมาเร็วกว่าเดิม 600 รอบต่อนาที
ตัวเลขเคลมอัตราสิ้นเปลืองน้ำมันอยู่ที่ 17.7 กิโลเมตรต่อลิตร (น้ำมันเบนซิน) และปล่อย CO2 อยู่ที่ 133 กรัมต่อกิโลเมตร
เมื่อขับขี่ในโหมด ECON เครื่องยนต์จะปรับการตอบสนองให้ช้าลง เพื่อให้สอดคล้องกับระบบ Eco Coaching ที่ช่วยแนะนำการขับขี่แบบประหยัดน้ำมัน
อย่างไรก็ตาม เมื่อเน้นสมรรถนะ การตอบสนองของเครื่องยนต์ยังคงทำได้ดีเมื่อเทียบกับรถ B-Car ในพิกัดเดียวกัน การใช้เกียร์ CVT อาจทำให้ความรู้สึกดิบๆ ลดลงเล็กน้อย แต่การตอบสนองจากคันเร่งกลับแม่นยำขึ้น แม้แรงม้าจะลดลง แต่ก็ไม่ส่งผลให้สมรรถนะในการออกตัวหรือเร่งแซงดูด้อยลง
สมรรถนะการทดสอบ: ตัวเลขที่น่าประทับใจ
จากการวัดค่าด้วย OBD Bluetooth ในโหมด D:
0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง: 12.054 วินาที
¼ ไมล์: 19.257 วินาที
ในโหมด S:
0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง: 11.731 วินาที
¼ ไมล์: 18.687 วินาที
ความเร็วสูงสุดที่ทำได้อยู่ที่ประมาณ 197 กิโลเมตรต่อชั่วโมง คาดว่าหากมีระยะทางที่ยาวกว่านี้ อาจทำได้ถึง 200 กิโลเมตรต่อชั่วโมง
โดยรวมแล้ว สมรรถนะของเครื่องยนต์นี้ถือว่าได้รับการปรับจูนมาอย่างลงตัว ช่วงกำลังต้นเป็นไปตามคาด แต่ช่วงปลายไหลต่อเนื่องเกินความคาดหมาย การจับคู่เครื่องยนต์กับเกียร์ใหม่ทำให้การขับขี่ดูลงตัวยิ่งขึ้น
อัตราสิ้นเปลืองน้ำมัน: ประสิทธิภาพที่จับต้องได้
จากการวิ่งเดินทางไกลเฉลี่ยที่ความเร็ว 100-110 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ได้ค่าเฉลี่ย 17.3 กิโลเมตรต่อลิตร หากวิ่งแช่ที่ความเร็ว 100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงอย่างนุ่มนวล ตัวเลขสวยงามที่ 18.1 กิโลเมตรต่อลิตร สำหรับการใช้งานเฉลี่ยเกือบทั้งทริป ได้ประมาณ 16.1 กิโลเมตรต่อลิตร
คาดว่าอัตราสิ้นเปลืองในทางปฏิบัติจริงน่าจะอยู่ที่ประมาณ 14.5 กิโลเมตรต่อลิตร และเมื่อคำนวณจากน้ำมัน 1 ถัง สามารถวิ่งได้เกิน 600 กิโลเมตรอย่างสบายๆ (หมายเหตุ: ทดสอบด้วยน้ำมัน E10 แก๊สโซฮอล์ 91)
ระบบส่งกำลัง CVT EarthDream: สมดุลที่ลงตัว
จากเดิมที่ใช้เกียร์ Torque Converter 5 AT ในรุ่นก่อนหน้า Honda City 2014 เปลี่ยนมาใช้เกียร์ CVT EarthDream ที่ปรับซอยย่อยถึง 7 สปีดในโหมด S เกียร์ลูกใหม่นี้ทำงานร่วมกับเครื่องยนต์บล็อกเดิมที่ปรับจูนมาได้อย่างเข้ากันดี การเปลี่ยนเกียร์สามารถทำได้จากแป้น Paddle Shift ที่พวงมาลัย ซึ่งมีอัตราทดเท่ากับโหมด S แต่เกียร์จะกลับสู่โหมด D เองหลังจากนั้นสักพัก เหมาะสำหรับการใช้ Engine Brake ในการลดความเร็วอย่างกะทันหัน
หากต้องการเร่งแซง แนะนำให้กระแทกคันเร่งลงจนสุด จะได้การตอบสนองที่รวดเร็วกว่าการไล่เกียร์เอง การลองเล่นสับเกียร์เองที่รอบ Redline เพื่อสับเกียร์ที่ 6,000 รอบต่อนาที พบว่าการตอบสนองอัตราเร่งไม่ดีเท่าโหมดอัตโนมัติ หรือหากต้องการความฉับไวขึ้น เพียงโยกคันเกียร์มาที่ตำแหน่ง S และกระแทกคันเร่ง รถก็พร้อมพุ่งทะยานแซงรถคันหน้าได้อย่างไม่ยากเย็น
ความสัมพันธ์ความเร็วต่อรอบเครื่องยนต์:
80 กิโลเมตรต่อชั่วโมง: 1,500 รอบต่อนาที
100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง: 1,900 รอบต่อนาที
120 กิโลเมตรต่อชั่วโมง: 2,250 รอบต่อนาที
ระบบบังคับเลี้ยว EPS: ความแม่นยำที่สัมผัสได้
พวงมาลัยแร็คแอนด์พีเนียน ผ่อนแรงด้วยระบบไฟฟ้า EPS แบบ 3 ก้าน ให้รัศมีวงเลี้ยว 5.3 เมตร การหมุนพวงมาลัยในช่วงความเร็วต่ำให้ความรู้สึกเบา แต่ไม่เบาจนเกินไปจนขาดความรู้สึก ขับขี่ได้คล่องตัว ซึ่งผู้เขียนรู้สึกชื่นชอบมากกว่ารุ่นเดิม เพราะให้ฟิลลิ่งการขับขี่ที่ดีกว่า ไม่ไวเกินไปนัก
อย่างไรก็ตาม ที่ความเร็วสูง พวงมาลัยยังคงมีความเบาอยู่บ้าง และขาดความหนักแน่นในโค้ง เมื่อเทียบกับรุ่นเดิม แม้ว่ารุ่นใหม่จะมีการตอบสนองของพวงมาลัยที่แม่นยำกว่าและให้การรับรู้ที่ดีกว่า แต่โมเดลเดิมจะมีความหนักแน่นที่ความเร็วสูงและการเข้าโค้งที่ดีกว่าเล็กน้อย
ระบบกันสะเทือน: นุ่มนวลแต่ยังคงความมั่นคง
ด้านหน้าเป็นแบบแม็คเฟอร์สันสตรัท และด้านหลังแบบทอร์ชั่นบีม เมื่อเทียบกับรุ่นโมเดลเก่า พบว่ามีความนุ่มขึ้นเล็กน้อย การขับขี่ที่ความเร็วสูงถือว่าไม่เลวร้ายนัก แม้จะมีอาการหวิวๆ ให้เห็นในช่วงความเร็ว 170 กิโลเมตรต่อชั่วโมงขึ้นไป แต่สำหรับการใช้งานที่ความเร็วเดินทางปกติระดับ 120 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ถือว่าทำได้ดีพอตัว
แต่จุดที่ต้องสังเกตคือ หากขับขี่ในทางโค้งหรือเลี้ยวกลับรถ โดยที่กดคันเร่งลงไปครึ่งหนึ่ง รถจะส่าย มีอาการ Slip ของหน้ายางที่ดูไม่ค่อยเกาะถนนนัก และที่ความเร็วสูงในการเข้าโค้ง ช่วงล่างยังดูอาจไม่เกาะถนนนัก ส่วนหนึ่งมาจากหน้ายาง ซึ่งหากเข้าโค้งด้วยความเร็วสูงเกินไป จะมีเสียงยางกรีดร้องดังออกมาอย่างต่อเนื่อง แม้จะไม่ได้กระแทกคันเร่ง
ระบบเบรก: ประสิทธิภาพที่ไว้วางใจได้
ด้านหน้าเป็นแบบดิสก์พร้อมครีบระบายความร้อน และด้านหลังเป็นแบบดรัม แม้ในรุ่น Top SV การปรับลดสเป็กนี้ไม่ได้ทำให้สมรรถนะด้านการหยุดรถดูแย่ลงแต่อย่างใด ในเชิงความรู้สึก การเซ็ตเบรกมาดีกว่าเดิม ด้วยการที่ไม่มีอาการเบรกแบบทื่อๆ ด้านๆ และไม่ต้องลงน้ำหนักแป้นเยอะเพื่อให้รู้สึกถึงแรงเบรกที่เกิดขึ้น ทำให้การเบรกสามารถทำได้อย่างนุ่มนวลกว่าตัวเก่า
ระบบความปลอดภัย: ความใส่ใจในทุกรายละเอียด
Honda City 2014 ถือเป็นอีกหนึ่งจุดขายสำคัญ ที่ให้ระบบช่วยเหลือด้านความปลอดภัยมาครบครันตั้งแต่รุ่นล่างสุด ได้แก่ ABS, EBD, BA, TCS (ระบบป้องกันล้อลื่นไถล), VSA (ควบคุมเสถียรภาพการทรงตัว), HSA (ช่วยออกตัวบนทางลาดชัน), ESS (ไฟฉุกเฉินติดอัตโนมัติเมื่อกระทืบเบรกกระทันหัน) สำหรับในรุ่น SV+ จะมี Side Curtain Airbag เพิ่มเข้ามาอีกด้วย
สรุป: Honda City 2014 – ซิตี้คาร์ที่ “เหนือกว่า” ทุกมิติ
Honda City 2014 ใหม่ รถ B-Segment หรือ Sub-Compact ที่อัดแน่นระบบช่วยเหลือด้านความปลอดภัยมาให้ตั้งแต่รุ่นล่างสุด ในแบบที่หาไม่ได้ในค่ายอื่น ห้องโดยสารกว้างขวางกว่าคู่แข่ง สมรรถนะที่ดีขึ้นเล็กน้อย และประหยัดกว่าเดิม พร้อมด้วยฟังก์ชันและออปชันที่หลากหลาย แม้ว่าราคาในรุ่น Top อาจดูสูงกว่าคู่แข่งบางรุ่น แต่สิ่งที่ Honda มอบให้กลับคุ้มค่ากว่า ทั้งความสบาย รูปลักษณ์ที่ดูดีเกินกว่ารถ Sub-Compact ทั่วไป
หากคุณกำลังมองหารถ Sub-Compact ที่มีสมรรถนะกลางๆ การโดยสารที่ค่อนข้างสบาย และเป็นผู้ที่ชื่นชอบในเทคโนโลยี ทั้งการเชื่อมต่อและออปชันความปลอดภัย การเลือกรุ่น SV+ จะทำให้คุณรู้สึกเหมือนได้เป็น “กัปตันมาวิน” อย่างแท้จริง แม้ว่าราคานี้อาจทำให้บางคนลังเลที่จะเพิ่มเงินอีกเล็กน้อยเพื่อไปเล่นรถระดับ C-Car แต่ Honda City 2014 ก็มอบสิ่งที่เหนือกว่าในคลาสของตนเอง
คำแนะนำ: ทางที่ดีที่สุดคือ การไปลองขับที่โชว์รูม Honda ด้วยตนเอง เพื่อสัมผัสประสบการณ์และตัดสินใจว่าสิ่งที่คุณได้รับนั้นตรงกับความต้องการของคุณหรือไม่ หรือเพียงแค่หลงไปกับเสียงเพลงโฆษณา “Be Your Best”
ขอขอบคุณ Honda Automobile สำหรับรถทดสอบ Honda City รุ่น SV+ สีเทา ราคา 749,000 บาท
รายละเอียดทางเทคนิค Honda City 2014:
เครื่องยนต์: DOHC i-VTEC 1.5 ลิตร
กำลังสูงสุด: 117 แรงม้า
แรงบิดสูงสุด: 146 นิวตันเมตร
ระบบส่งกำลัง: เกียร์ CVT EarthDream
ระบบขับเคลื่อน: ล้อหน้า (FF)
ระบบบังคับเลี้ยว: พวงมาลัยแร็คแอนด์พีเนียน ผ่อนแรงไฟฟ้า EPS
ระบบเบรก: จานดิสก์คู่หน้า และคู่หลังแบบดรัม
ระบบกันสะเทือน: ด้านหน้าแบบแม็คเฟอร์สันสตรัท และด้านหลังทอร์ชั่นบีม H-Shape
บทวิเคราะห์เชิงลึก: Chevrolet Captiva Diesel (2014) – ยานยนต์อเนกประสงค์ที่ลงตัวยิ่งขึ้น
ในฐานะผู้คร่ำหวอดในวงการยานยนต์มากว่าทศวรรษ ผมได้เห็นการเปลี่ยนแปลงของตลาดรถยนต์อยู่เสมอ บางครั้งรถยนต์ที่ผ่านการทดสอบไปแล้วก็อาจถูกลืมเลือนไปบ้าง ด้วยภาระงานที่ถาโถมเข้ามา วันนี้ผมขอนำเสนอบทวิเคราะห์เชิงลึกของ Chevrolet Captiva Diesel โฉมปรับปรุงปี 2014 ที่ผมเคยได้มีโอกาสสัมผัส และพบว่ามีหลายสิ่งที่ไม่ควรมองข้าม
Chevrolet Captiva: ความลงตัวที่พัฒนาอย่างต่อเนื่อง
Chevrolet Captiva ถือเป็นรถยนต์อเนกประสงค์ที่ได้รับความนิยมอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะหลังจากการปรับปรุงครั้งใหญ่ภายใต้การบริหารของ Marc Hess อดีตประธาน Chevrolet ยุโรป รถรุ่นนี้สามารถสร้างยอดขายได้ดี และกลายเป็นหนึ่งในรถยนต์ที่โดดเด่นในตลาดรถยนต์อเนกประสงค์
การปรับปรุงโฉม หรือ Minor Change ในครั้งนี้ ถือเป็นครั้งที่สองของ Captiva โดยครั้งแรกที่เกิดขึ้นเมื่อหลายปีก่อน เน้นการปรับรูปลักษณ์ภายนอกให้ดูทันสมัยขึ้น ด้วยกระจังหน้าแบบสองชั้นดีไซน์ 6 เหลี่ยมอันเป็นเอกลักษณ์ ไฟหน้าเรียวขึ้น และการออกแบบที่ให้ความเป็นอเมริกันมากขึ้น
สำหรับการปรับปรุงครั้งล่าสุดนี้ Chevrolet ได้ให้ความสำคัญกับการเพิ่มความลงตัวให้กับตัวรถ โดยเฉพาะในส่วนท้ายรถที่ได้รับการออกแบบใหม่ให้ดูทันสมัยขึ้น พร้อมไฟท้ายลายกราฟิกใหม่ที่สวยงาม ท่อไอเสียทรงกลมถูกเปลี่ยนเป็นทรงสี่เหลี่ยมคางหมู ทำให้ภาพรวมของรถดูกลมกลืนตลอดทั้งคัน การปกปิดยางอะไหล่ใต้ท้องรถก็เป็นอีกหนึ่งจุดที่ได้รับการปรับปรุงให้ดูเรียบร้อยขึ้น
รูปลักษณ์ภายนอก: สง่างาม พร้อมการปรับปรุงที่ใส่ใจรายละเอียด
การออกแบบภายนอกของ Chevrolet Captiva Minor Change ถือว่าทำได้อย่างน่าประทับใจ เส้นสายของรถดูสง่างาม ไฟหน้าออกแบบมาอย่างเรียวเพรียว พร้อมโคมโปรเจคเตอร์ ให้ความรู้สึกดุดันแต่แฝงไว้ด้วยความทันสมัย ด้านท้ายรถที่ปรับปรุงใหม่ พร้อมไฟท้าย LED ลายกราฟิกที่โดดเด่นเมื่อมองในยามค่ำคืน
จุดหนึ่งที่ผมสังเกตเห็นคือ การออกแบบสเกิร์ตข้างใหม่ที่มาพร้อมบันไดข้างในตัว ซึ่งแม้จะดูเข้ากันได้ดีกับรถยนต์สายลุย แต่ในมุมมองของผม กลับรู้สึกว่ามันขัดแย้งกับภาพลักษณ์ที่เน้นความดูดีและความหรูหราของ Captiva เล็กน้อย นอกจากนี้ บันไดข้างที่ให้มายังอาจเป็นอุปสรรคต่อการก้าวขึ้นลงสำหรับสตรีที่มีรูปร่างเล็ก หรือมีความสูงไม่มากนัก
ภายในห้องโดยสาร: ความหรูหราที่สัมผัสได้
เมื่อก้าวเข้ามาในห้องโดยสาร ความรู้สึกหรูหราก็ปรากฏขึ้นทันที เบาะนั่งสีเทาอ่อนช่วยเสริมความโดดเด่น และทำให้ภายในดูโปร่งโล่ง การออกแบบโดยรวมยังคงความเป็นรถยนต์อเนกประสงค์แบบคอมแพ็ค ที่สามารถตอบโจทย์การใช้งานแบบ 5 ที่นั่งได้อย่างสบาย และสามารถเพิ่มเป็น 7 ที่นั่งได้ในยามจำเป็น
อย่างไรก็ตาม ในรุ่นใหม่นี้ Chevrolet ยังคงเลือกที่จะติดตั้งเบาะนั่งไฟฟ้าปรับ 8 ทิศทาง เพียงฝั่งคนขับเท่านั้น ซึ่งอาจทำให้ผู้โดยสารด้านข้างรู้สึกว่าขาดความสะดวกสบายไปบ้าง
แม้จะมีจุดที่อาจขาดตกบกพร่องไปบ้าง แต่โดยรวมแล้ว Chevrolet Captiva ใหม่ ได้ผสมผสานความทันสมัยเข้ากับความลงตัวในการใช้งานได้อย่างดี ไม่ว่าจะเป็นระบบ Keyless Entry พร้อม Passive Start ที่สะดวกสบาย พวงมาลัยมัลติฟังก์ชันที่ควบคุมทุกอย่างได้อย่างง่ายดาย ตั้งแต่ระบบเครื่องเสียงไปจนถึงระบบปรับอากาศที่สามารถแยกปรับอุณหภูมิซ้าย-ขวาได้อย่างอิสระ
ระบบเครื่องเสียง: สำหรับผู้ที่ชื่นชอบระบบเครื่องเสียงเป็นชีวิตจิตใจ Captiva มาพร้อมระบบสร้างมิติเสียง 3D Sound Staging ที่ช่วยเพิ่มสุนทรียภาพในการเดินทาง
ขุมพลังดีเซล 2.0 ลิตร: พละกำลังที่เพิ่มขึ้น
หัวใจหลักของ Chevrolet Captiva Diesel ใหม่ คือเครื่องยนต์ดีเซลขนาด 2.0 ลิตร 4 สูบ 16 วาล์ว DOHC พร้อมเทอร์โบแปรผัน ให้กำลังสูงสุด 163 แรงม้า แต่ที่น่าสนใจคือ แรงบิดสูงสุดที่เพิ่มขึ้นจาก 360 เป็น 400 นิวตัน-เมตร แม้จะไม่ได้เปลี่ยนแปลงมากมายนัก แต่ทาง Chevrolet ได้ปรับปรุงสมรรถนะให้ลงตัวมากขึ้น โดยเฉพาะการจับคู่กับชุดเกียร์ใหม่
การขับขี่ในเมือง: นุ่มนวลและสะดวกสบาย
ในการขับขี่ในเมือง Chevrolet Captiva Diesel ใหม่ แสดงให้เห็นถึงความนุ่มนวลที่เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะการลดอาการกระตุกของชุดเกียร์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ เหมือนกับการปรับปรุงที่เคยทำกับ Chevrolet Cruze มาก่อนหน้า
อย่างไรก็ตาม การลดความดุดันของรถอาจเป็นดาบสองคมสำหรับผู้ที่คาดหวังสมรรถนะการขับขี่ที่เร้าใจจากเครื่องยนต์ดีเซลแรงบิดสูง แม้แรงบิดจะเพิ่มขึ้น แต่ Captiva 2014 ไม่ได้ให้ความรู้สึกเร่งติดเบาะเหมือนที่บางคนอาจคาดหวัง
อัตราสิ้นเปลืองในเมือง: ในสภาพการจราจรที่หนาแน่น ตัวเลขที่ทำได้อยู่ที่ประมาณ 7.89 กิโลเมตรต่อลิตร ซึ่งอาจดูสูงไปบ้างสำหรับเครื่องยนต์ดีเซล แต่ก็เป็นไปตามสไตล์รถอเมริกันที่เน้นพละกำลัง
ทดสอบในโหมดผสม: ความลงตัวที่สัมผัสได้
การทดสอบในโหมดผสม (Bonn Test Mode) ซึ่งเป็นการผสมผสานระหว่างการขับขี่ในเมืองและนอกเมือง แสดงให้เห็นถึงตัวตนของ Captiva ในฐานะรถยนต์อเนกประสงค์ที่เปี่ยมด้วยความลงตัวและความสุนทรีย์ในการขับขี่ การทำงานของพวงมาลัยที่นุ่มนวลขึ้น ระบบช่วงล่างที่ลงตัว แม้จะมีจังหวะที่แอบกระด้างบ้างจากการใช้ล้อขนาด 19 นิ้ว
อัตราสิ้นเปลืองนอกเมือง: ในการทดสอบด้วยการขับขี่ด้วยความเร็วปกติภายใต้กฎหมายจราจรไทย (ไม่เกิน 120 กิโลเมตรต่อชั่วโมง) ที่รอบเครื่องยนต์ประมาณ 2,400 รอบต่อนาที พบว่าใช้รอบเครื่องยนต์ไม่สูงมากนัก การทดสอบวัดอัตราสิ้นเปลืองนอกเมืองอยู่ที่ 11.62 กิโลเมตรต่อลิตร
การเดินทางไกลสู่ขอนแก่น: ประสิทธิภาพที่พิสูจน์ได้
การเดินทางไกลไปยังขอนแก่นเป็นอีกหนึ่งบทพิสูจน์ที่ท้าทายสำหรับ Chevrolet Captiva Diesel ใหม่ ตลอดเส้นทาง รถคันนี้แสดงศักยภาพออกมาได้อย่างน่าประทับใจ การออกตัวที่นุ่มนวล ผสานกับสมรรถนะทันทีที่ใช้โหมดการขับขี่แบบสปอร์ต ทำให้รถพุ่งทะยานได้อย่างต่อเนื่อง แรงบิดที่มากช่วยให้การขับขี่เป็นไปอย่างสนุกสนาน โดยเฉพาะหากเป็นผู้ที่ชื่นชอบการขับขี่ด้วยความเร็ว
ระบบช่วงล่าง: ระบบกันสะเทือนด้านหน้าแบบแม็คเฟอร์สันสตรัท พร้อมเหล็กกันโคลง และด้านหลังแบบมัลติลิงค์ 4 จุด ช่วยยึดเกาะถนนได้อย่างดีเยี่ยม ทำให้ผู้ขับขี่มั่นใจได้ในการควบคุมรถ แม้จะขับด้วยความเร็วสูงก็ตาม
อัตราสิ้นเปลืองเฉลี่ย: ตลอดการเดินทางไกล แม้จะมีการใช้ความเร็วและเจอสภาพถนนที่หลากหลาย Chevrolet Captiva Diesel ใหม่ สามารถทำอัตราสิ้นเปลืองเฉลี่ยได้ที่ 10.5 กิโลเมตรต่อลิตร ซึ่งถือว่าน่าพอใจสำหรับรถยนต์ขนาดนี้
สรุป: Chevrolet Captiva Diesel (2014) – ความประทับใจที่สุภาพขึ้น
Chevrolet Captiva Diesel Minor Change ปี 2014 เป็นรถยนต์อเนกประสงค์ที่พัฒนาไปในทิศทางที่ดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด รูปลักษณ์ภายนอกดูดีมีระดับมากขึ้น ภายในห้องโดยสารยังคงความสบายและลงตัวในการออกแบบ พร้อมฟังก์ชันที่ทันสมัย
เครื่องยนต์ดีเซล 2.0 ลิตร ได้รับการปรับปรุงให้มีความนุ่มนวลในการขับขี่มากขึ้น ด้วยการเพิ่มแรงบิด 40 นิวตัน-เมตร และการจับคู่กับระบบเกียร์ใหม่ที่วิศวกรรมมาให้มีความนุ่มนวลยิ่งขึ้น แม้จะไม่ใช่แรงบิดในแบบ Flat Torque ที่ตอบสนองทันที แต่ก็ยังคงให้สมรรถนะที่น่าพอใจ
การทดสอบอัตราเร่ง:
0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง: เฉลี่ย 12.48 วินาที
80-120 กิโลเมตรต่อชั่วโมง: เฉลี่ย 8.60 วินาที
ตัวเลขเหล่านี้แสดงให้เห็นว่า Chevrolet Captiva 2014 มีอัตราเร่งที่ดีขึ้นกว่าที่รู้สึกได้จริง ซึ่งถือว่าเป็นตัวเลขที่ไม่ขี้เหร่เลยสำหรับรถยนต์คันนี้
สิ่งที่น่าประทับใจ: ความลงตัวที่ดีขึ้น ความหรูหราที่สัมผัสได้ในการขับขี่ และการพัฒนาด้านความนุ่มนวล
สิ่งที่คาดหวัง: สำหรับรุ่นเครื่องยนต์ดีเซล ในอนาคต คาดหวังที่จะเห็นอัตราประหยัดที่ดีขึ้นกว่าเดิม
บทวิเคราะห์: BMW 420d Coupe Sport – ยนตรกรรมสปอร์ตหรู ที่มาพร้อมความคุ้มค่า
ในฐานะผู้คร่ำหวอดในวงการยานยนต์ ผมได้สังเกตเห็นถึงกลยุทธ์ของ BMW ประเทศไทย ที่มักจะนำเข้ารถยนต์รุ่นใหม่ๆ เข้ามาทำตลาดอย่างรวดเร็ว ทันทีที่เปิดตัวในต่างประเทศ BMW 420d Coupe Sport คันนี้ ก็เป็นหนึ่งในตัวอย่างที่ชัดเจนของกลยุทธ์ดังกล่าว
BMW 420d Coupe Sport: ดีไซน์ที่โดดเด่น ราคาสมเหตุสมผล
ก่อนที่รุ่นเปิดประทุนจะตามมาทำตลาด BMW 420 Coupe ได้รับความสนใจจากกลุ่มผู้บริโภคที่มีกำลังซื้อเป็นอย่างมาก ส่วนหนึ่งเป็นเพราะสนนราคาจำหน่ายในรุ่น Sport ที่ตั้งไว้เพียง 3.799 ล้านบาท ถือเป็นราคาที่เอื้อมถึงได้ไม่ยากเย็นสำหรับผู้ที่ต้องการรถยนต์ที่มอบทั้งความเท่และสมรรถนะ
รูปลักษณ์ภายนอก: ความสปอร์ตที่สะกดทุกสายตา
แม้จะมีพื้นฐานการพัฒนามาจากซีดาน แต่ BMW 4 Series Coupe ก็มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวที่โดดเด่นหลายประการ การออกแบบตัวถังแบบ Coupe ที่เน้นความยาวของด้านหน้า ให้ความรู้สึกสปอร์ตเต็มพิกัด ไฟหน้า LED ดีไซน์ล้ำสมัย พร้อมไฟเดย์ไลท์ที่ส่องสว่าง และไฟตัดหมอกที่ออกแบบอย่างลงตัว ทำให้รถดูดุดันและน่าเกรงขาม
ด้านหน้าของรถได้รับการออกแบบให้มีพื้นผิวสีดำมันเงาที่บริเวณกันชนหน้า ช่วยเสริมความดุดัน ฝากระโปรงหน้าที่ออกแบบให้เป็นทรงโดม ยิ่งเพิ่มความโอ่อ่าให้กับส่วนหน้าของรถ เส้นสายที่ไล่จากฝากระโปรงหน้าไปยังด้านข้างทำได้อย่างชัดเจนและโดดเด่น
แม้จะเป็นรถยนต์แบบ Coupe เสา C ไม่ได้ถูกบีบลงมากจนเกินไปนัก ทำให้พื้นที่ภายในห้องโดยสารยังคงใช้งานได้ดี ด้านท้ายรถดูเรียบง่ายแต่แฝงไว้ด้วยความหรูหรา พร้อมไฟท้ายยาวที่สะดุดตาในยามค่ำคืน และระบบเปิดฝากระโปรงท้ายอัตโนมัติ
ล้ออัลลอยขนาด 18 นิ้ว พร้อมยางรันแฟลต และการตกแต่งรายละเอียดภายนอกต่างๆ ทำได้อย่างดีเยี่ยม หากเป็นรถสีเข้ม จะยิ่งช่วยขับเน้นความดุดันของรถได้มากยิ่งขึ้น
ขุมพลังดีเซล 2.0 ลิตร: สมรรถนะ ประหยัด และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
เครื่องยนต์ดีเซล 2.0 ลิตร กลายเป็นเครื่องยนต์หลักที่ BMW ใช้ในรถยนต์แทบทุกรุ่นที่ทำตลาด และเครื่องยนต์ TwinPower Turbo รุ่นนี้ ก็ถือเป็นหนึ่งในเครื่องยนต์ที่ได้รับการยกย่องว่าเหมาะสมกับการใช้งานในชีวิตประจำวันมากที่สุด
เครื่องยนต์ดีเซล 4 สูบ 16 วาล์ว ให้กำลังสูงสุด 184 แรงม้า ที่ 4,000 รอบต่อนาที พร้อมแรงบิดมหาศาล 380 นิวตัน-เมตร ที่รอบต่ำตั้งแต่ 1,750-2,750 รอบต่อนาที ส่งผลให้อัตราเร่งตั้งแต่ช่วงออกตัวมีความปราดเปรียว
ตามสเปก รถสามารถทำอัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ได้ใน 7.3 วินาที แม้การทดสอบจริงอาจอยู่ที่ประมาณ 9 วินาที แต่ก็ถือว่าน่าประทับใจสำหรับรถยนต์ในพิกัดนี้
ระบบส่งกำลัง: ส่งกำลังผ่านเกียร์อัตโนมัติ 8 สปีดแบบสปอร์ต ที่ชาญฉลาด สามารถปรับการทำงานได้อย่างเหมาะสม มาพร้อมโหมดเปิด-ปิดการทำงานของเครื่องยนต์อัตโนมัติ (Auto Start/Stop) ซึ่งแนะนำให้ปิดใช้งานเมื่อไม่ต้องการการกระชากที่อาจเกิดขึ้นเมื่อเครื่องยนต์กลับมาทำงานใหม่
อัตราสิ้นเปลือง: BMW เคลมอัตราการสิ้นเปลืองน้ำมันของรถคันนี้ไว้ที่ 21.7 กิโลเมตรต่อลิตร ซึ่งอาจทำได้จริงหากขับขี่ด้วยความเร็วคงที่ในสภาพการจราจรที่เหมาะสม แต่ในการใช้งานจริง โดยเฉพาะเมื่อเน้นสมรรถนะ อัตราสิ้นเปลืองที่ทำได้จะอยู่ที่ประมาณ 15-16 กิโลเมตรต่อลิตร ซึ่งถือว่าไม่แตกต่างจากรถรุ่นอื่นมากนัก
โหมดการขับขี่: มีให้เลือกหลากหลาย ตั้งแต่ Eco, Comfort ไปจนถึง Sport ซึ่งแต่ละโหมดจะส่งผลต่อการตอบสนองของเครื่องยนต์ ช่วงล่าง และอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงได้อย่างชัดเจน โหมด Comfort ถือว่าเพียงพอและลงตัวที่สุดสำหรับการใช้งานในเมือง
ภายในห้องโดยสาร: ความหรูหรา และฟังก์ชันที่ครบครัน
เมื่อเปิดประตูเข้ามาในห้องโดยสารที่เน้นโทนสีแดงเป็นหลัก สอดประสานกับสีดำเข้ม ให้ความรู้สึกโอ่อ่า ทันสมัย และหรูหรา ตำแหน่งเบาะที่นั่งทั้ง 4 ออกแบบมาอย่างลงตัวและใช้งานได้จริง ระบบพับเบาะด้านหน้าช่วยอำนวยความสะดวกในการเข้า-ออกที่นั่งตอนหลัง เบาะที่นั่งตอนหลังออกแบบแยกส่วน พร้อมช่องวางของตรงกลาง และมีพื้นที่วางขาและศีรษะที่กว้างขวาง
เบาะที่นั่งด้านหน้าควบคุมด้วยระบบไฟฟ้าทั้งหมด ทำจากหนัง Dakota ให้การรองรับแผ่นหลัง ขา และน้ำหนักตัวได้อย่างดีเยี่ยม พร้อมระบบปรับตำแหน่งเบาะที่นั่งให้กระชับกับแผ่นหลังได้มากขึ้น
พวงมาลัย: แบบสปอร์ต สามารถปรับเลื่อนได้ 4 ทิศทางด้วยมือและคันโยก
แผงคอนโซล: การออกแบบคุ้นเคยในรถ BMW รุ่นใหม่ๆ พร้อมหน้าจอแสดงผลขนาดใหญ่ 8.8 นิ้วตรงกลางคอนโซล และปุ่ม iDrive ที่สามารถสั่งการด้วยการเขียนได้
โดยรวมแล้ว ห้องโดยสารของ BMW 420d Coupe Sport ให้ความรู้สึกเร้าใจในการขับขี่ ไม่แพ้ความสะดวกสบายในการใช้งานจริง แม้จะเป็นรถยนต์แบบ Coupe แต่ก็มีพื้นที่เพียงพอสำหรับผู้โดยสาร 4 คนเดินทางร่วมกันได้อย่างสบาย
สมรรถนะการขับขี่: ความสนุกสนานที่มาพร้อมความปลอดภัย
สมรรถนะของเครื่องยนต์ดีเซลรุ่นนี้ของ BMW นั้น แทบจะรับประกันได้ในเรื่องของความสนุกสนานในการขับขี่ การประหยัดน้ำมัน และด้วยเทคโนโลยีต่างๆ ที่ติดตั้งมา ก็ช่วยเสริมในเรื่องของความปลอดภัยได้อย่างน่าเชื่อถือ
ความสนุกสนานในการขับขี่: มาจากพละกำลังที่ล้นเหลือ ล้ออัลลอยขนาด 18 นิ้ว ให้ความรู้สึกในการขับขี่ที่ดี และไม่กระด้างจนเกินไปนัก พอที่จะสัมผัสแรงสะท้อนจากพื้นถนนได้อยู่บ้าง แต่ไม่รบกวนการควบคุมรถ
พวงมาลัย: แม่นยำ ทำให้การควบคุมรถเป็นไปอย่างไหลลื่น แม้จะต้องวิ่งผ่านสภาพถนนที่หลากหลายของเมืองไทย ก็ไม่ได้ทำให้การควบคุมรถยากเย็นอะไร ช่วงล่างที่หนึบแน่นแต่ไม่แข็งกระด้าง ช่วยให้สามารถทำความเร็วของรถไปได้อย่างต่อเนื่อง
อุปกรณ์ความปลอดภัย: ระบบความปลอดภัยและระบบสนับสนุนต่างๆ ติดตั้งมาอย่างครบครันสมราคา ไม่ต้องมีการปรับปรุงเพิ่มเติมใดๆ
สรุป: BMW 420d Coupe Sport – ยนตรกรรมที่คุ้มค่าสำหรับผู้ที่ต้องการความโดดเด่น
หากมองข้ามเรื่องค่าตัวที่อาจดูสูงไปบ้างในความรู้สึกที่ขึ้นไปแตะๆ เลข 4 และการที่ยังไม่ค่อยมีส่วนลดจากตัวแทนจำหน่ายมากนัก เนื่องจากเป็นรถที่ทำยอดขายได้ดีอยู่แล้ว BMW 420d Coupe Sport ถือเป็นรถยนต์ที่ตอบสนองความต้องการของผู้ที่ต้องการรถเท่ๆ สักคัน ที่ขับไปทางไหนก็มีคนเหลียวมอง
เป็นรถหรูจากค่ายใบพัดฟ้าขาวที่น่าจับจองเป็นเจ้าของอีกหนึ่งคัน ด้วยดีไซน์ที่โดดเด่น สมรรถนะที่ยอดเยี่ยม และความคุ้มค่าที่ได้รับ เหมาะสำหรับผู้ที่มองหารถยนต์ที่มอบทั้งความสุนทรีย์ในการขับขี่ และภาพลักษณ์ที่เหนือระดับ
รายละเอียดทางเทคนิค BMW 420d Coupe Sport:
ราคาจำหน่าย: 3.799 ล้านบาท
เครื่องยนต์: ดีเซล TwinPower Turbo 2.0 ลิตร
กำลังสูงสุด: 184 แรงม้า ที่ 4,000 รอบต่อนาที
แรงบิดสูงสุด: 380 นิวตัน-เมตร ที่ 1,750-2,750 รอบต่อนาที
อัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง: 7.3 วินาที
ความเร็วสูงสุด: 232 กิโลเมตรต่อชั่วโมง
อัตราสิ้นเปลืองเฉลี่ย: 21.7 กิโลเมตรต่อลิตร
อัตราการปล่อยไอเสียเฉลี่ย: 121 กรัมต่อกิโลเมตร
หากคุณกำลังมองหารถยนต์ที่มอบประสบการณ์การขับขี่ที่น่าประทับใจ พร้อมความหรูหราและสมรรถนะที่เหนือกว่าในคลาส ลองพิจารณา Honda City 2014, Chevrolet Captiva Diesel (2014) หรือ BMW 420d Coupe Sport ที่เราได้นำเสนอไป และอย่าลืมไปทดลองขับด้วยตนเองเพื่อค้นหารถยนต์ที่ใช่สำหรับคุณ

