โตโยต้า ยาริส ใหม่: ความประหลาดที่กลายเป็นที่ยอมรับ? การวิเคราะห์เชิงลึกสำหรับผู้บริโภคยุคใหม่
สวัสดีครับทุกท่าน ในฐานะผู้คร่ำหวอดในวงการยานยนต์มากว่า 10 ปี ผมได้เห็นการเปลี่ยนแปลงมากมายของตลาดรถยนต์ไทย โดยเฉพาะในกลุ่ม Eco Car และ B-Segment ที่มีการแข่งขันสูงลิบ และหนึ่งในโมเดลที่สร้างความเซอร์ไพรส์และกระแสวิพากษ์วิจารณ์ได้มากที่สุดในช่วงหลายปีที่ผ่านมา คงหนีไม่พ้น Toyota Yaris รุ่นใหม่ ที่เปิดตัวมาพร้อมกับดีไซน์ที่ค่อนข้างแตกต่างไปจากเดิม จนทำให้หลายคนเกิดคำถามในใจ วันนี้ ผมจะพาเจาะลึกทุกแง่มุมของ Toyota Yaris ใหม่ เพื่อให้คุณผู้อ่านได้เห็นภาพที่ชัดเจน และตัดสินใจได้อย่างชาญฉลาด
จุดเริ่มต้นของความกังวล: ดีไซน์ที่กล้าฉีกกรอบ
เมื่อราว 2 ปีก่อน ผมได้รับข้อมูลจากคนใกล้ชิดที่กล่าวถึง Yaris รุ่นใหม่ว่าจะมีดีไซน์ที่ “เหลี่ยมๆ ดูสปอร์ตๆ” และ “กระจังหน้าเหมือน Mitsubishi RVR / ASX” ในตอนนั้น ผมก็ได้แต่ถอนหายใจ เพราะจากประสบการณ์ที่ผ่านมาในตลาดรถยนต์ การออกแบบที่ดูดุดันหรือ ” Masculin” เกินไป มักจะไม่ได้รับความนิยมเท่าที่ควรในตลาด Eco Car ที่มีสัดส่วนผู้หญิงเป็นผู้ซื้อหลักจำนวนมาก ซึ่งมักจะชื่นชอบรถที่มีเส้นสายโค้งมน น่ารักๆ มากกว่า
ภาพจินตนาการในหัวผมตอนนั้น คือ Yaris Hatchback 5 ประตูที่ใหญ่ขึ้น ใช้ A-Pillar ร่วมกับ Vios รุ่นใหม่ (ซึ่งในตอนนั้นยังไม่มีใครเคยเห็นตัวจริง) แต่สิ่งที่ผมได้เห็นในความเป็นจริงในงาน Auto Shanghai 2013 กลับน่าตกใจยิ่งกว่า ภาพถ่ายที่ส่งตรงมาแสดงให้เห็นด้านหน้าที่ดูคล้ายกับ Mitsubishi Lancer EX หรือแม้กระทั่ง “หน้าเหมือนอาเหล่ากง” ประกอบกับชุดไฟท้ายที่ดูแปลกตา ราวกับ “ก้อนน้ำมูกในวันที่เลือดกำเดาไหล” ผมคิดในใจว่า “จบกัน…แบบนี้ ขายผู้ชายได้ แต่ขายผู้หญิงยากแน่ๆ” ทางออกเดียวที่จะช่วยได้คือการใช้ “Colorful marketing” พยายามหาเฉดสีตัวถังสวยๆ มาดึงดูดสายตาผู้หญิง
ฉากหลังของตลาด: โครงการคืนภาษีรถคันแรก และผลกระทบต่อเนื่อง
การเปิดตัว Yaris รุ่นใหม่ในช่วงนั้น เกิดขึ้นท่ามกลางสภาวะตลาดที่ผันผวนอย่างหนัก จากผลพวงของโครงการคืนภาษีรถคันแรกในปี 2011-2012 ที่ทำให้กำลังซื้อในตลาดปั่นป่วน แม้ผู้บริโภคจะพอใจ แต่ผู้ผลิตกลับต้องเร่งกำลังการผลิต จนเมื่อสิ้นสุดโครงการ กำลังซื้อในปี 2013 ก็หดหายอย่างรวดเร็ว รถค้างสต็อกจำนวนมาก ทำให้ค่ายรถต่างๆ ต้องงัดกลยุทธ์โปรโมชั่นที่ไม่เคยมีมาก่อนออกมาใช้เพื่อระบายสต็อก
กลุ่ม B-Segment และ Eco Car ได้รับผลกระทบหนักที่สุด ยอดขายไม่กระเตื้องขึ้นเท่าที่ควร ทำให้การเปิดตัวรถรุ่นใหม่ในช่วงนี้ต้องแบกรับความคาดหวังที่สูงขึ้น และเตรียมใจรับกับยอดขายที่อาจไม่เป็นไปตามเป้า Yaris จึงตกอยู่ในชะตากรรมนี้เช่นเดียวกับ Vios พี่น้องร่วมแพลตฟอร์ม
กระแสที่เปลี่ยนไป: จากความเงียบ สู่การยอมรับที่ค่อยๆ เติบโต
ในช่วงแรก กระแสการพูดถึง Yaris ในโลกโซเชียลมีเดียค่อนข้างบางตา เมื่อเทียบกับรถรุ่นใหม่ของ Toyota ในอดีต ยิ่งเมื่อเทียบกับ Nissan Teana ที่เปิดตัวก่อนหน้าเพียงวันเดียว ก็แทบจะกลบกระแสของ Yaris ไปจนหมดสิ้น
แต่เมื่อเวลาผ่านไป ผมเริ่มสังเกตเห็นว่ากระแสการพูดถึง Yaris เริ่มกลับมามากขึ้นในโลกออนไลน์ และปริมาณ Yaris ใหม่ที่ปรากฏบนท้องถนนก็เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ทุกวัน นี่คือสัญญาณที่บ่งบอกว่า ลูกค้าเริ่มให้การยอมรับ “น้องใหม่หน้าตาประหลาด” คันนี้แล้ว
คำถามที่ค้างคาใจ: สมรรถนะ, อัตราสิ้นเปลือง, และความคุ้มค่า
วันนี้ คำถามที่หลายคนยังคาใจก็คือ:
อัตราเร่ง จะอืดหรือไม่?
อัตราสิ้นเปลือง กินน้ำมันหรือเปล่า? ประหยัดไหม?
การขับขี่ เป็นอย่างไร? พวงมาลัยแก้ไขหรือยัง? ช่วงล่างเป็นแบบไหน?
ควรจะซื้อหรือไม่? และถ้าซื้อ ควรเลือกรุ่นย่อยใด?
Yaris vs Swift ควรเลือกคันไหน?
เปลี่ยนใจจาก Vios มา Yaris ดีไหม?
และคำตอบที่ผมจะมอบให้ในบทความนี้ อาจจะทำให้คุณประหลาดใจ เพราะ Yaris ใหม่ ไม่ได้มีดีแค่อัตราเร่งที่ “ไวพอกันกับ Vios” แถมยัง “ประหยัดกว่า Vios” และมี “พื้นที่ห้องโดยสารกว้างขวางกว่า Vios (โดยเฉพาะด้านหลัง)” ด้วยซ้ำ!
ประวัติศาสตร์ Yaris: จากยุโรป สู่ตลาดโลกและประเทศไทย
Toyota ได้พยายามบุกตลาด Sub-Compact Hatchback ในยุโรปมานาน ตั้งแต่ยุค Toyota Starlet ที่เริ่มดูน่าเบื่อสำหรับชาวยุโรปและญี่ปุ่น จึงได้มอบหมายให้ Sotiris Kovos นักออกแบบจาก Toyota European Office of Creation (EPOC) หาแนวทางใหม่ ในที่สุด Toyota ก็เปิดตัวรถยนต์ต้นแบบตระกูล Fun สามรุ่น ได้แก่ FunTime, FunCoupe และ FunCargo ในงาน Frankfurt Motor Show ปี 1997 เพื่อส่งสัญญาณว่ารถยนต์ขนาดเล็กจาก Toyota นับจากนี้ จะถูกผลิตขายจริง โดยมีเส้นสายมาจากรถต้นแบบเหล่านี้ และมาพร้อมโครงสร้างวิศวกรรมใหม่ที่เรียกว่า NBC (New Basic Car)
ในปี 1998 Toyota ได้เผยโฉม Yaris ออกมาครั้งแรก และเริ่มทำตลาดในยุโรป ซึ่งสร้างภาพลักษณ์ใหม่ให้กับแบรนด์ Toyota ในสายตาชาวยุโรปอย่างจริงจัง ชื่อ “Yaris” มาจากการผสมผสานคำว่า “Ya” (ภาษาเยอรมันแปลว่า “ใช่”) และ “Charis” (เทพีแห่งความงามในเทพนิยายกรีก)
Yaris เปิดตัวในตลาดญี่ปุ่นด้วยชื่อ VITZ เมื่อวันที่ 13 มกราคม 1999 ต่อด้วยตลาดออสเตรเลียและนิวซีแลนด์ในชื่อ ECHO ส่วนตัวถัง Sedan 2 และ 4 ประตู ขายในญี่ปุ่นชื่อ Platz และขายในตลาดอื่นชื่อ ECHO ซึ่งรุ่น Hatchback ได้รับความนิยมอย่างมหาศาล
Yaris รุ่นแรกประสบความสำเร็จด้านยอดขายอย่างสูงในยุโรปและญี่ปุ่น และยังคว้ารางวัล European Car of the Year ประจำปี 2000 ซึ่งเป็นรางวัลที่ปกติจะมีแต่รถยุโรปเท่านั้นที่ครองบัลลังก์
รุ่นที่ 2 และการมาถึงประเทศไทย
รุ่นที่ 2 เปิดตัวในญี่ปุ่นเมื่อ 1 กุมภาพันธ์ 2005 ใช้รหัสโครงการ 351L เวอร์ชันไทยเปิดตัวครั้งแรกเมื่อ 17 มกราคม 2006 ถือเป็น Yaris รุ่นแรกที่ถูกนำมาขึ้นสายการผลิตในประเทศไทย แม้จะทำยอดขายทั่วโลกได้ดี แต่ในไทย ด้วยการตั้งราคาที่ค่อนข้างสูง ทำให้ยอดขายช่วงแรกไม่ดีเท่าที่ควร จนชมรมดีลเลอร์ Toyota ต้องเรียกร้องให้ Toyota Motor Thailand ออกแคมเปญกระตุ้นยอดขาย
รุ่นที่ 3: การเปลี่ยนแปลงที่ไม่ได้คาดฝัน
รุ่นที่ 3 เปิดตัวในญี่ปุ่นเมื่อ 22 ธันวาคม 2010 Toyota เลือกทำตลาด Yaris รุ่นนี้เฉพาะในญี่ปุ่น, ยุโรป, ออสเตรเลีย และนิวซีแลนด์ แต่ยอดขายก็ยังไม่เปรี้ยงปร้างเท่ารุ่นก่อน
ในตอนแรก คนไทยคาดหวังว่า Yaris เวอร์ชันญี่ปุ่น/ยุโรป และรุ่นที่ 3 นี้จะถูกนำมาประกอบขายในไทย แต่แล้วการเปลี่ยนแปลงที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น ซึ่งทั้งหมดเป็นผลมาจากการที่ Toyota ตัดสินใจร่วมเกาะขบวนผู้ผลิตรถยนต์กลุ่มแรกที่ขอใช้สิทธิประโยชน์ตามโครงการ Eco Car ของรัฐบาลในช่วงสุดท้าย แม้ในตอนแรกจะไม่เห็นด้วยก็ตาม
คำถามที่ตามมา: Toyota จะเลือกรถรุ่นใดมาทำตลาด Eco Car?
จากข้อจำกัดมากมาย จนในที่สุดก็มาลงตัวว่า การผลิต Yaris รุ่นที่ 3 ที่เตรียมจะทำตลาดในญี่ปุ่นและยุโรปเพื่อขายในไทยนั้นเป็นไปไม่ได้ เนื่องจากข้อกำหนดของโครงการ Eco Car ที่ต้องผลิตรถยนต์รุ่นใหม่ที่ยังไม่เคยออกจำหน่ายในประเทศใดมาก่อน
การนำ Aygo รถยนต์ที่พัฒนาร่วมกับ PSA ก็ดูจะเล็กไปสำหรับตลาดไทย ที่ให้ความสำคัญกับภาพลักษณ์ทางสังคมควบคู่ไปกับคุณสมบัติอื่นๆ แถมยังมีข้อตกลงกับ PSA ว่าผลิตได้เฉพาะในโรงงานสาธารณรัฐเช็กเท่านั้น และขายได้เฉพาะในยุโรป
ดังนั้น ทางเลือกเดียวที่เหลือคือ Toyota ต้องพัฒนา Yaris รุ่นใหม่ขึ้นมาอีก 1 ตัวถัง เพื่อเอาใจตลาดศักยภาพสูงอย่างจีน ซึ่งต้องการรถ Hatchback ขนาดเล็กที่มีพื้นที่ใช้สอยเยอะกว่า Yaris เวอร์ชันญี่ปุ่น/ยุโรป โดยใช้ Platform และโครงสร้างวิศวกรรมบางส่วนร่วมกับ Vios แต่มีการปรับปรุงให้เข้ากับข้อกำหนดและกฎเกณฑ์ของโครงการ Eco Car
TakeShi Matsuda: Chief Engineer ผู้พัฒนา Yaris และ Vios รุ่นล่าสุด กล่าวว่า “ความตั้งใจของเขาตอนแรกคือการทำ Yaris รุ่นนี้ให้เป็นรุ่นเปลี่ยนโฉม Full Model Change ของ Yaris สำหรับตลาดทั่วโลก ยกเว้นยุโรปหรือญี่ปุ่น แต่เมื่อตลาดเมืองไทยมีนโยบายให้ทำ Yaris รุ่นนี้เป็น Eco Car เขาจึงต้องหาทางออกสำหรับข้อจำกัดมากมาย และผลลัพธ์ก็คือ Yaris อย่างที่เห็นกันอยู่”
การเปิดตัวระดับโลก: จาก Dear Qin สู่ Yaris-L
1 ปีก่อนการเปิดตัวเวอร์ชันจำหน่ายจริง Toyota ได้เริ่มสร้างความรับรู้ด้วยรถยนต์ต้นแบบ Toyota Dear Qin Hatchback (สีเขียว) และ Sedan (สีแดงเลือดหมู) ในงาน Beijing Automotive Show 2012 โดย Dear Qin ทั้งสองคัน เผยให้เห็นแนวโน้มเส้นสายของ Vios และ Hatchback 5 ประตูรุ่นต่อไปสำหรับตลาดโลก ซึ่งจะแตกต่างไปจากรถรุ่นเดิมอย่างสิ้นเชิง การเปิดตัว Dear Qin สีเขียว ซึ่งเป็นตัวแทนของ Yaris ใหม่ที่จะเปิดตัวในอีก 1 ปีต่อมา เป็นการสื่อสารให้โลกรู้ว่า รถคันนี้ถูกออกแบบมาเพื่อเอาใจลูกค้าชาวจีน ซึ่งเป็นตลาดเป้าหมายหลัก
เนื่องจากเป้าหมายในการพัฒนารถคันนี้คือการเอาใจลูกค้าชาวจีน Toyota จึงเลือกเปิดตัว Yaris รุ่นนี้เป็นครั้งแรกในโลกที่งาน Auto Shanghai 2013 ในชื่อ Yaris-L
ไทย: ประเทศลำดับที่ 2 ที่ได้สัมผัส Yaris ใหม่
ประเทศไทยถือเป็นประเทศลำดับที่ 2 ของโลก ที่ Toyota ได้เผยโฉม Yaris ใหม่ งานเปิดตัวมีขึ้นเมื่อวันที่ 22 ตุลาคม 2013 ณ ห้างสรรพสินค้า Central World
TakeShi Matsuda Chief Engineer ผู้รับผิดชอบโครงการพัฒนา Vios และ Yaris สำหรับตลาดเอเชีย กล่าวว่า ในตอนแรก เขาตั้งใจสร้างรถคันนี้ให้เป็น B-Segment Hatchback ในฐานะรุ่นเปลี่ยนโฉมใหม่ทั้งคันสำหรับตลาดเอเชีย “ไม่ได้ตั้งใจทำรถคันนี้ให้เป็น Eco Car มาตั้งแต่แรก”
ทว่า เมื่อนโยบายของผู้บริหารกำหนดให้ Yaris ต้องเข้ามาทำตลาดในฐานะ Eco Car สำหรับตลาดเมืองไทย ทำให้เกิดข้อจำกัดต่างๆ มากมาย เขาและทีมงานจึงพยายามเอาชนะอุปสรรคเหล่านั้นอย่างดีที่สุด
Matsuda-san เลือกที่จะไม่ประนีประนอมในประเด็นเรื่องเส้นสายของตัวรถ เขาให้ความสำคัญกับการออกแบบภายนอกและภายใน ที่ต้องนั่งสบายไม่เบียดเสียดกัน ขณะเดียวกันก็ต้องยกระดับความประหยัดน้ำมัน ความเงียบในห้องโดยสาร และการเกาะถนนให้ดีขึ้นกว่ารุ่นก่อนอย่างชัดเจน
การออกแบบภายนอก: สปอร์ตเหลี่ยมคม หรือ “หน้าเหมือนอาเหล่ากง”?
Yaris ใหม่ มีตัวถังยาว 4,115 มม. กว้าง 1,700 มม. สูง 1,475 มม. ระยะฐานล้อ 2,550 มม. ซึ่งยาวขึ้นกว่า Yaris รุ่นก่อนอย่างชัดเจน (ยาวขึ้น 315 มม.)
เส้นสายภายนอกมาในสไตล์ “เฉียบคม เน้นเหลี่ยมสัน” พร้อมกระจังหน้าที่หลายคนมองว่าคล้ายกับ Mitsubishi RVR / ASX หรือ Lancer EX จนได้รับฉายา “Yaris รุ่นลุงหนวด!”
กระจังหน้า: รุ่น G และ E เป็นแถบสีเงิน ส่วนรุ่น J และ J ECO เป็นสีดำ
มือจับประตู: รุ่น G เป็นโครเมียม ส่วนรุ่นอื่นๆ เป็นสีเดียวกับตัวถัง
ไฟหน้า: รุ่น G เป็นโปรเจคเตอร์ ส่วนรุ่นอื่นเป็น Multi Reflector ธรรมดา
กระจกมองข้าง: รุ่น G, E, J เป็นสีเดียวกับตัวถัง ส่วน J ECO เป็นสีดำ และรุ่น G มีไฟเลี้ยวในตัว
รายละเอียดภายนอก: บางชิ้นส่วนสามารถใช้ร่วมกับ Vios ได้ เช่น ครีบรีดอากาศที่เสาขอบประตู หรือมือจับประตูทั้ง 4 บาน
ส่วนบั้นท้ายนั้น ทีมออกแบบน่าจะต้องการสร้างความต่อเนื่องของเส้นสายจากหน้าต่างประตูคู่หลังจรดกระจกบังลมหลัง จึงต้องมีแผงพลาสติกสีดำ Glossy เชื่อมต่อ และชุดไฟท้ายที่มีกรอบทรงประหลาด ลากเส้นยาวในแบบที่ไม่เหมือนใคร หลายคนมองว่าคล้ายกับไฟท้ายของ Peugeot 208 รุ่นใหม่ ซึ่งทำลายความลงตัวของงานออกแบบฝาประตูคู่หลังและบานประตูคู่หลัง จนทำให้บั้นท้ายดูแปลกประดักประเดิด
ทุกรุ่นติดตั้งใบปัดน้ำฝนพร้อมที่ฉีดน้ำล้างกระจกบังลมหลัง ทับทิมสะท้อนแสงมุมกันชน และสปอยเลอร์เหนือกระจกบานหลัง
ล้อและยาง: รุ่น G ล้ออัลลอย 15 นิ้ว ยาง 185/60 R15, รุ่น E ล้อกระทะ 15 นิ้วพร้อมฝาครอบ, รุ่น J ล้อกระทะ 14 นิ้วพร้อมฝาครอบ ยาง 175/65 R14, รุ่น J Eco ล้อกระทะเหล็กสีดำ ยาง 175/65 R14 (ไม่มีฝาครอบล้อ)
ระบบกุญแจ: รุ่น G เป็นรีโมท Keyless-Entry พร้อม Push Start, ระบบกันขโมย Immobilizer และ TDS ส่วนรุ่น E เป็นกุญแจรีโมทไข ส่วนรุ่น J และ J ECO เป็นกุญแจแบบมาตรฐาน
ภายในห้องโดยสาร: พื้นที่กว้างขวาง แต่ยังคงกลิ่นอาย Vios
เนื่องจาก A-Pillar, กรอบช่องประตูคู่หน้า และ B-Pillar ยกชุดมาจาก Vios ใหม่ การเข้า-ออก และการนั่งในเบาะคู่หน้าจึงให้ความรู้สึกเหมือนกันเป๊ะ
การเข้า-ออก: สำหรับคนตัวสูง อาจต้องใช้ความระมัดระวังเล็กน้อย เนื่องจาก A-Pillar ค่อนข้างลาดเอียง
แผงประตูด้านข้าง: ออกแบบให้ตำแหน่งวางแขนเหมาะสม ตกแต่งด้วยพลาสติกสีเงิน Metallic สลับกับพลาสติกสีดำลายฝีเย็บหลอกๆ มือจับประตูด้านข้างออกแบบเป็นช่องวางโทรศัพท์มือถือ ช่องวางของด้านล่างใส่ขวดน้ำได้สบาย
มือจับเปิดประตูด้านใน: รุ่น G เป็นพลาสติกชุบโครเมียม 4 จุด
เบาะนั่งคู่หน้า: เป็นเบาะผ้าสีดำ ยกชุดมาจาก Vios ใหม่ เปลี่ยนแค่ลายผ้าตรงกลางเป็นสีส้มพร้อมตะเข็บสีส้มเพื่อเพิ่มความสปอร์ต สัมผัสไม่ต่างจาก Vios ใหม่
การปรับเบาะ: โครงสร้างเบาะนั่งคู่หน้าปรับเลื่อนขึ้น-ลง ได้มากขึ้น (260 มม.) เบาะคนขับปรับระดับสูง-ต่ำได้ (60 มม.)
พื้นที่ภายใน: ด้านหลังเบาะมีการเว้าเพิ่มขึ้น 38 มม. เพื่อเพิ่มระยะห่างระหว่างเข่าผู้โดยสารด้านหลังกับเบาะหน้า (เพิ่มเป็น 48 มม.)
เบาะรองนั่ง: ยังคงสั้นไปหน่อย ถ้าเพิ่มความยาวอีก 10 มม. จะสบายขึ้น
เข็มขัดนิรภัย: ELR 3 จุด แบบปรับระดับสูง-ต่ำไม่ได้ เป็นสิ่งที่น่าตำหนิอย่างยิ่ง ทั้งที่ใส่ถุงลมนิรภัยมาให้ 2 ใบ
ที่พักแขน: ไม่มีที่พักแขนสำหรับคนขับในทุกรุ่น
พื้นที่เหนือศีรษะ: โปร่งโล่งสบายกว่า Yaris รุ่นก่อนอย่างชัดเจน
เบาะหลัง: จุดขายสำคัญที่ให้พื้นที่โอ่อ่า
การเข้า-ออก: แม้ช่องทางเข้าจะกว้างขึ้นกว่า Yaris รุ่นเดิม แต่ยังคงต้องก้มหัวลงพอสมควรเพื่อไม่ให้ศีรษะโขกกับกรอบทางเข้า
กระจกหน้าต่างไฟฟ้าคู่หลัง: เลื่อนเปิดลงมาได้จนสุด
แผงประตูคู่หลัง: มีพื้นที่วางแขนในระดับพอใช้งานได้
เบาะหลัง: เป็นจุดขายสำคัญ กว้างขวาง โอ่อ่าที่สุด พนักพิงรองรับแผ่นหลังและไหล่ได้สบาย ฟองน้ำแน่นกำลังดี
พนักศีรษะ: ด้านข้างใช้งานได้จริง ส่วนตรงกลางรูปตัว L คว่ำ อาจถอดออกได้
เบาะรองนั่ง: ออกแบบได้กำลังดี แต่สั้นไปเล็กน้อย
พื้นที่เหนือศีรษะ: สำหรับคนสูง 171 ซม. เหลือพื้นที่ให้สอดนิ้ว 3 นิ้วได้พอดี
พื้นที่วางขา: ใหญ่สะใจ นั่งไขว่ห้างได้อย่างสบาย ยืนยันได้ว่าพื้นที่นั่งโดยสารของ Yaris ใหม่ ใหญ่โต โอ่อ่าที่สุดในบรรดา Eco Car ที่ผลิตขายในประเทศไทยจนถึงปี 2016!
ความปลอดภัย: ครบครัน แต่มีจุดที่ควรปรับปรุง
เข็มขัดนิรภัย: แถวหลังมี ELR 3 จุด ทุกที่นั่ง แต่ตรงกลางถูกติดตั้งที่เสาหลังคาหลังสุด (C-Pillar) แล้วลากสายโยงเชื่อมมาที่เพดานหลังคา การออกแบบนี้มีเหตุผลด้านต้นทุนและการออกแบบตามที่ Chief Engineer ชี้แจง
จุดยึดเบาะเด็ก: มี ISOFIX มาให้ที่เบาะหลัง
พนักพิงเบาะหลัง: รุ่น G กับ E พับแยก 60:40 แต่รุ่น J และ J ECO พับทั้งแผงลงมาเป็นก้อนเดียว
ก้านปลดล็อกพนักพิง: ติดตั้งที่ฝาผนังด้านข้างทั้ง 2 ฝั่ง
ฝาประตูห้องเก็บของด้านหลัง: ใช้ระบบกลอนไฟฟ้า เชื่อมต่อกับรีโมท Keyless Entry แต่บางครั้งต้องดับเครื่องยนต์ก่อนถึงจะปลดล็อกได้
ห้องเก็บสัมภาระท้ายรถ: ยาว 734 มม. มีปริมาตร 326 ลิตร (มาตรฐาน VDA) บรรทุกกระเป๋าเดินทางขนาดกลางได้ 3 ใบ พร้อมกระเป๋าเดินทางสะพายไหล่ 1-2 ใบ ถือว่ามีความจุเยอะสุดในบรรดา Eco Car Hatchback ในไทย
ยางอะไหล่: Dunlop SP10 ขนาด 175/65 R14 พร้อมเครื่องมือและแม่แรง
แผงหน้าปัดและอุปกรณ์ภายใน: ยกชุดจาก Vios แต่มีรายละเอียดแตกต่าง
แผงหน้าปัด: หน้าตาคุ้นๆ ยกชุดมาจาก Vios ใหม่ เหมือนกันทั้งลายตะเข็บเส้นด้ายหลอกๆ วัสดุตกแต่งแตกต่างกันไปตามรุ่นย่อย
Trim: รุ่น G ประดับด้วย Trim สีเงินบริเวณฐานคันเกียร์, มือจับประตู, และกรอบช่องวางโทรศัพท์มือถือ
เพดานหลังคา: วัสดุบุเพดานสีดำ
แผงบังแดด: พร้อมกระจกแต่งหน้าแบบมีฝาปิดทั้งสองฝั่ง แต่ไม่มีไฟแต่งหน้า
ระบบมัลติมีเดียและแอร์: เน้นฟังก์ชันพื้นฐาน
ชุดเครื่องเสียง: วิทยุ AM/FM, CD/MP3/WMA 1 แผ่น, USB, AUX. รุ่น G กับ E มีลำโพง 4 ชิ้น, รุ่น J กับ J ECO มี 2 ชิ้น คุณภาพเสียงพอฟังได้ หน้าจอสีส้ม อ่านได้หลายภาษา
เครื่องปรับอากาศ: รุ่น G เป็นแบบ Digital ยกชุดจาก Vios ให้ความเย็นสะใจ แต่การใช้งานอาจสร้างความสับสนได้ โดยเฉพาะสวิตช์ฝั่งซ้ายที่รวมการหมุนเลือกความแรงพัดลม, ทิศทางลม, และอุณหภูมิไว้ในสวิตช์เดียว รุ่น E, J, J ECO เป็นแบบมือบิดวงกลม 3 วง ใช้งานง่าย แต่ไม่สวย
ช่องวางโทรศัพท์มือถือ: ยังคงเป็นจุดที่ควรปรับปรุง
ช่องวางโทรศัพท์มือถือใต้สวิตช์เครื่องปรับอากาศด้านหลังคันเกียร์ ยังคงเป็นปัญหาเดิมที่เคยบ่นใน Vios เพราะหากเจอถนนขรุขระ หรือเลี้ยวแรงไป โทรศัพท์อาจหล่นลงมาบนพื้นที่วางขาได้
กล่องเก็บของ: Glove Compartment ยกมาจาก Vios ใส่คู่มือ, สมุดรับประกัน, เอกสารประกันภัย ก็เต็มครึ่งพื้นที่แล้ว
ที่เท้าแขนและช่องเก็บของ: Yaris ไม่มีที่พักแขนมาให้เกินเบรกมือ 1 จุด, ช่องวางแก้วน้ำผู้โดยสารหลัง 1 ตำแหน่ง, ช่องเสียบกล่อง CD ที่ใช้งานได้ไม่จริง
ทัศนวิสัย: โปร่งขึ้นกว่าเดิม
ด้านหน้า: ไม่แตกต่างจาก Vios เลย โปร่งขึ้นกว่า Yaris รุ่นเดิมอย่างชัดเจน
เสา A-Pillar: ฝั่งขวา บดบังรถที่สวนมาบนทางโค้งน้อยลง ฝั่งซ้าย บดบังรถขณะเลี้ยวกลับได้บ้างในบางรูปแบบ
กระจกมองข้าง: มองเห็นรถด้านหลังได้ดี แต่กรอบพลาสติกด้านในกินพื้นที่กระจกเล็กน้อย
ด้านหลัง: เสา C-Pillar มีขนาดใหญ่ อาจบดบังรถจักรยานยนต์ที่ตามมาด้านหลังฝั่งซ้าย
วิศวกรรมและสมรรถนะ: หัวใจสำคัญที่พลิกความคาดหมาย
Toyota ตัดสินใจให้ Yaris ใหม่ เปลี่ยนกลุ่มตลาดจาก B-Segment Hatchback 1,500 ซีซี มาสู้ในกลุ่ม Eco Car 1,200 ซีซี ทำให้ต้องลดขนาดเครื่องยนต์จาก 1NZ-FE (1,497 ซีซี, 109 แรงม้า) ไปใช้เครื่องยนต์ 3NR-FE (1,197 ซีซี, 86 แรงม้า) พร้อมระบบ Dual VVT-i
เครื่องยนต์: 3NR-FE, 4 สูบ, DOHC, 16 วาล์ว, 1,197 ซีซี, กำลังอัด 11.5:1, กำลังสูงสุด 86 แรงม้า ที่ 6,000 รอบ/นาที, แรงบิดสูงสุด 108 นิวตันเมตร ที่ 4,000 รอบ/นาที
เกียร์: Super CVT-i เท่านั้น (ไม่มีเกียร์ธรรมดา) อัตราทดเกียร์เดินหน้า 2.386 – 0.426 : 1, เกียร์ถอยหลัง 2.505 – 1.736 : 1, เฟืองท้าย 5.833 : 1
การประหยัดน้ำมัน: ตามมาตรฐาน UNECE Reg.101 Rev.1 เฉลี่ย 5.0 ลิตร/100 กม. (16.64 กม./ลิตร จากการทดสอบจริง) ปล่อย CO2 เฉลี่ย 118 กรัม/กม.
สมรรถนะ:
0-100 กม./ชม.: 12.4 วินาที (น่าทึ่งมาก!)
80-120 กม./ชม.: 8.9 วินาที (เทียบเท่า Vios 1.5 ลิตร 4AT!)
ความเร็วสูงสุด: 174 กม./ชม. (ที่ 5,000 รอบ/นาที)
อัตราเร่งที่เหนือความคาดหมาย: Yaris 1.2 CVT แรงเท่า Vios 1.5 4AT?
ตัวเลขที่ออกมาทำให้ผมและทีมงานถึงกับอ้าปากหวอ! อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. และ 80-120 กม./ชม. ออกมาพอๆ กับ Toyota Vios พี่น้องร่วมแพลตฟอร์มที่ใช้เครื่องยนต์ 1,500 ซีซี และเกียร์อัตโนมัติ 4 จังหวะ! Yaris 1.2 ลิตร CVT คันนี้ ทำอัตราเร่งได้เร็วและแรงที่สุดในตลาด Eco Car ในไทยตอนนี้!
ปัจจัยที่ทำให้ Yaris ทำตัวเลขได้ดี:
อุณหภูมิ: คืนที่ทดสอบอากาศเย็น (22-23 องศาเซลเซียส) ซึ่งช่วยให้เครื่องยนต์ทำงานได้ดีขึ้น
อัตราทดเฟืองท้าย: Toyota ทดเฟืองท้ายให้ Yaris ใหม่ ถึง 5.833:1 ทำให้รถออกตัวจัดจ้าน ไต่ความเร็วได้อย่างต่อเนื่อง
การปรับตั้งเกียร์: เกียร์ CVT ถูกปรับตั้งมาให้เหมาะสมกับเครื่องยนต์ 1,200 ซีซี
การขับขี่: ความลงตัวที่อาจทำให้คุณประหลาดใจ
อัตราเร่ง: เพียงพอและแรงเกินความคาดหมาย การไต่ความเร็วให้แรงดึงและความว่องไวพอๆ กับ Vios 1.5 ลิตร หากต้องการอัตราเร่งทันใจ ให้เหยียบคันเร่งจมมิด แต่ถ้าแตะคันเร่งเบาๆ รถจะค่อยๆ ออกตัวตามปกติ
โหมด S: ช่วยให้เครื่องยนต์เตรียมพร้อมสำหรับการเร่งแซงได้ทันที
โหมด B: ใช้ช่วยขึ้น-ลงเขา
การเก็บเสียง: ทำได้ดีกว่าที่คิด ในช่วงความเร็ว 100-120 กม./ชม. แทบไม่ต้องเพิ่มเสียงพูดเลย
พวงมาลัย: EPS (Electric Power Steering) ปรับน้ำหนักตามความเร็ว ใช้แร็คชุดเดียวกับ Vios แต่ปรับปรุงระยะรอบมอเตอร์ให้หน่วงมือมากขึ้น ตอบสนองได้คล่องแคล่ว แต่นิ่งและควบคุมได้ดีกว่า Vios ใหม่เล็กน้อย
ช่วงล่าง: ก้าวข้ามคู่แข่ง สู่ความสบายที่คาดไม่ถึง
ระบบกันสะเทือน: หน้า แมคเฟอร์สันสตรัท, หลัง ทอร์ชันบีม พร้อมเหล็กกันโคลง ยกชุดจาก Vios แต่มีการปรับปรุงให้เน้นความนุ่มนวลและเสถียรภาพ
ความเร็วต่ำ: ช่วงล่างแข็งกระด้างกว่าที่คิดเล็กน้อย แต่ไม่หนี Suzuki Swift มากนัก การซับแรงสะเทือนตามหลุมบ่อทำได้ไม่ถึงกับดีนัก
ความเร็วเดินทาง (40-140 กม./ชม.): การทรงตัวทำได้ดีมาก วิ่งตรงไปข้างหน้าได้อย่างสบาย ลดความเหนื่อยล้าในการขับขี่ทางไกล นุ่มกำลังดี
ความเร็วสูง (เกิน 140 กม./ชม.): เริ่มมีอาการหน้าสั่นไถลตามกระแสลม แต่มีไม่มากนัก และการเซ็ตพวงมาลัยที่นิ่ง ทำให้ควบคุมรถได้ง่าย
การเข้าโค้ง: ทำได้ดีกว่าที่คาดคิด สามารถเข้าโค้งด้วยความเร็วสูงได้อย่างนิ่งและปลอดภัย เป็นจุดเด่นที่น่าประทับใจ
ระบบห้ามล้อ: ปลอดภัย มั่นใจได้
ระบบ: หน้าดิสก์ – หลังดรัม ทุกรุ่น ABS, EBD, BA, Brake Override
การตอบสนอง: เบรกจิกๆ ดี หรือจะเบรกให้นุ่มนวลก็ทำได้ แป้นเบรกค่อนข้างตื้น ABS ทำงานกำลังดี
โครงสร้างตัวถังและอุปกรณ์ความปลอดภัย: มาตรฐานที่ดี
โครงสร้าง: ใช้เทคโนโลยี GOA ดูดซับแรงปะทะ ชิ้นส่วนตัวถังใช้ร่วมกับ Vios ได้กว่า 50% เป็น High Strength Steel
อุปกรณ์ความปลอดภัย: ถุงลมนิรภัยคู่หน้า SRS, พนักศีรษะ WIL, เข็มขัดนิรภัย ELR 3 จุด พร้อมระบบดึงกลับ (ปรับสูง-ต่ำไม่ได้), ISOFIX
อัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิง: ประหยัด น่าพอใจ
จากการทดลองขับขี่จริง 92.2 กม. เติมน้ำมันกลับ 5.54 ลิตร ได้อัตราสิ้นเปลืองเฉลี่ย 16.64 กม./ลิตร ถือว่าทำได้ดี เป็นไปตามที่คาดหวังสำหรับรถยนต์ Eco Car เครื่อง 1,200 ซีซี
สรุป: Vios 5 ประตู เครื่องเล็ก เกียร์ CVT แต่แรงเท่ากัน ประหยัดกว่า
Toyota Yaris ใหม่ คือผลงานที่ออกมาภายใต้การประนีประนอมข้อจำกัดต่างๆ มากมาย จนกลายเป็น Hatchback ขนาดเล็ก เครื่องยนต์ 1,200 ซีซี Eco Car ที่ทำอัตราเร่งได้ดีเกินคาด จน Vios 1,500 ซีซี ต้องอ้าปากหวอ
จุดเด่น:
สมรรถนะภาพรวมเหนือความคาดหมาย
พื้นที่ห้องโดยสารโอ่โถง นั่งสบายกว่าคู่แข่งทุกคันในพิกัด Eco Car
ช่วงล่างดีเทียบเท่า Suzuki Swift และในบางด้านยังดีกว่า
อัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงดี
การเข้าโค้งทำได้ดีและมั่นใจ
ข้อควรปรับปรุง:
พวงมาลัยควรมีชุดปรับระยะใกล้-ห่าง และลดความรู้สึก “ไร้ชีวิตชีวา”
เข็มขัดนิรภัยคู่หน้าควรปรับระดับสูง-ต่ำได้
การออกแบบและตกแต่งภายในบางส่วนควรได้รับการปรับปรุง
ไฟท้ายดีไซน์แปลกตา และกระจังหน้าที่ดูคล้ายรถรุ่นอื่น
ทางเลือกที่น่าสนใจ: Yaris vs Swift และ Vios
Yaris vs Swift: Swift ยังคงให้ความสนุกในการขับขี่มากกว่าเล็กน้อย ด้วยพวงมาลัยที่เป็นธรรมชาติกว่า และช่วงล่างที่เอื้อต่อการขับขี่คล่องตัว แต่ Yaris มีพื้นที่ห้องโดยสารกว้างขวางกว่า และเบาะหลังนั่งสบายกว่า
Yaris vs Vios: Yaris รุ่นท็อป 1.2G ราคา 599,000 บาท จ่ายน้อยกว่า Vios 1.5J 4AT (589,000 บาท) เพียง 10,000 บาท แต่ได้ Yaris ที่มีอุปกรณ์มาให้มากกว่าหลายรายการ เช่น ล้ออัลลอย, แอร์อัตโนมัติ, Push Start/Smart Entry, จอ MID, พวงมาลัย Multi Function, ที่ปัดน้ำฝนปรับจังหวะได้, ABS/EBD
การตัดสินใจของคุณ:
หากคุณกำลังชั่งใจว่าจะเลือกรถรุ่นไหน นอกจากจะพิจารณาเงินในกระเป๋าแล้ว ลองสำรวจตัวเลือกอื่นๆ ให้รอบคอบ Yaris ใหม่ เป็นรถที่น่าสนใจ ด้วยสมรรถนะที่ดีเกินคาด พื้นที่ห้องโดยสารกว้างขวาง และช่วงล่างที่ลงตัว แต่ก็ยังมีจุดที่ควรปรับปรุง
หากคุณมองหาความคุ้มค่า, พื้นที่ใช้สอย, และสมรรถนะที่ดี Yaris ใหม่ คือตัวเลือกที่คุณไม่ควรมองข้าม แต่ถ้าคุณให้ความสำคัญกับความสนุกในการขับขี่และสไตล์ที่โดดเด่น Swift อาจเป็นคำตอบของคุณ
สุดท้ายนี้ การตัดสินใจขึ้นอยู่กับความต้องการและความพึงพอใจของคุณเอง ลองไปสัมผัสและทดลองขับด้วยตัวคุณเอง เพื่อหา “เพื่อนร่วมทาง” ที่ใช่ที่สุดสำหรับคุณ.

