ฮุนได ไอ 10 ใหม่: สัมผัสความอเนกประสงค์เกินขนาด ในราคาที่เอื้อมถึง
ในโลกยานยนต์ที่หมุนไปอย่างรวดเร็ว การพัฒนาเทคโนโลยีและดีไซน์กลายเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ค่ายรถยนต์ต่างๆ ต้องปรับตัวเพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคที่หลากหลาย และหากพูดถึงแบรนด์ที่สามารถสร้างชื่อเสียงอย่างต่อเนื่องในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา “ฮุนได” จากเกาหลีใต้ ก็เป็นอีกหนึ่งผู้เล่นที่น่าจับตามอง แม้พวกเขาจะประสบความสำเร็จอย่างสูงในตลาดรถยนต์ซีดานขนาดกลาง แต่ฮุนไดก็ไม่เคยหยุดนิ่งในการพัฒนารถยนต์ขนาดเล็ก หรือที่เรียกกันว่า “ซิตี้คาร์” ให้ก้าวไปอีกขั้น
ฮุนได ไอ 10 (Hyundai i10) รุ่นใหม่: ยกระดับความน่าสนใจไปอีกขั้น
แม้ว่าฮุนได ไอ 10 รุ่นใหม่ อาจจะยังไม่วางจำหน่ายในประเทศไทยอย่างเป็นทางการ แต่รถยนต์รุ่นนี้ก็สามารถสร้างกระแสความสนใจไปทั่วโลก ด้วยการพัฒนาที่ตอบโจทย์การใช้งานที่กว้างขวางขึ้น การปรับปรุงรูปลักษณ์ภายนอกให้มีความโดดเด่นและน่าดึงดูดใจมากยิ่งขึ้น ยิ่งทำให้ผู้คนทั่วโลกต่างจับตามองซิตี้คาร์สายเลือดกิมจิคันนี้ ที่มาพร้อมความสมบูรณ์แบบในทุกมิติ
ดีไซน์ใหม่: ความกว้างขวางที่มาพร้อมความคล่องตัว
แนวคิดในการพัฒนาฮุนได ไอ 10 ให้มีขนาดที่ใหญ่ขึ้นนั้น ได้รับการพูดถึงมาระยะหนึ่งแล้ว และเวอร์ชันที่จะเริ่มวางจำหน่ายในตลาดอังกฤษในปีนี้ ถือเป็นเครื่องพิสูจน์ความตั้งใจของฮุนไดอย่างแท้จริง ด้วยสนนราคาเริ่มต้นที่น่าสนใจเพียง 8,345 ปอนด์ หรือราว 417,250 บาท ทำให้ฮุนได ไอ 10 ใหม่ กลายเป็นตัวเลือกที่คุ้มค่าสำหรับผู้ที่มองหารถยนต์ขนาดเล็กที่มาพร้อมคุณภาพและความอเนกประสงค์
การปรับปรุงขนาดในรุ่นใหม่นี้ สังเกตได้ชัดเจนจากการขยายความกว้างของตัวถังเพิ่มขึ้น 65 มิลลิเมตร และความยาวเพิ่มขึ้น 80 มิลลิเมตร ในขณะเดียวกันก็มีการปรับลดความสูงลง 50 มิลลิเมตร ซึ่งส่งผลให้รถดูสปอร์ตและปราดเปรียวยิ่งขึ้น รุ่นเริ่มต้นมาพร้อมล้อขนาด 14 นิ้ว ระบบเซ็นทรัลล็อค และกระจกไฟฟ้า ซึ่งเป็นอุปกรณ์มาตรฐานที่ตอบสนองการใช้งานในชีวิตประจำวันได้อย่างดี
ภายในห้องโดยสาร: กว้างขวางกว่าที่เคย เพิ่มพื้นที่จัดเก็บ
เมื่อก้าวเข้าไปในห้องโดยสารของฮุนได ไอ 10 ใหม่ สิ่งแรกที่สัมผัสได้คือความรู้สึกโปร่งโล่งที่ได้รับการพัฒนาให้ดีขึ้น แม้ว่าตัวรถจะเตี้ยลง แต่ฮุนไดได้ปรับปรุงพื้นที่ภายในให้มีความอเนกประสงค์มากขึ้น โดยเฉพาะพื้นที่เก็บสัมภาระที่เพิ่มขึ้นถึง 10% คิดเป็นปริมาตร 252 ลิตร เมื่อเทียบกับรุ่นก่อนหน้า ซึ่งเพียงพอสำหรับการจัดเก็บสิ่งของจำเป็นในการเดินทาง หรือแม้กระทั่งการช้อปปิ้งในวันหยุด
ขุมพลังที่หลากหลาย: ตอบโจทย์ทุกสไตล์การขับขี่
ฮุนได วางแผนที่จะนำเสนอฮุนได ไอ 10 ใหม่ ด้วยเครื่องยนต์ 2 ขนาด เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้ขับขี่ที่แตกต่างกัน
เครื่องยนต์ 1.0 ลิตร 3 สูบ: ให้กำลังสูงสุด 65 แรงม้า สามารถเร่งความเร็วจาก 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ได้ในเวลา 14.9 วินาที และมีความเร็วสูงสุดที่ 155 กิโลเมตรต่อชั่วโมง เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการความประหยัดน้ำมันสูงสุดในการขับขี่ในเมือง
เครื่องยนต์ 1.2 ลิตร 4 สูบ: ขยับสมรรถนะขึ้นมาอีกระดับ ด้วยกำลังสูงสุด 86 แรงม้า อัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง อยู่ที่ 12.3 วินาที และทำความเร็วสูงสุดได้ถึง 171 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ให้การตอบสนองที่ฉับไวและทันใจยิ่งขึ้น
รุ่นย่อยและออปชั่น: ครบครันทุกความต้องการ
ฮุนได ไอ 10 ใหม่ จะถูกนำเสนอใน 3 รุ่นย่อย ได้แก่:
รุ่น S: เป็นรุ่นเริ่มต้นที่มาพร้อมออปชั่นพื้นฐานที่จำเป็น
รุ่น SE: เพิ่มเติมด้วยกุญแจรีโมท และระบบละลายฝ้าที่กระจกมองข้าง
รุ่น Premium Edition: รุ่นท็อปสุด มาพร้อมออปชั่นที่ทันสมัยและครบครัน เช่น การเชื่อมต่อ Bluetooth พร้อมระบบสั่งงานด้วยเสียง, ไฟ Daytime LED, และระบบเตือนเมื่อเบรกฉุกเฉิน
ฮุนได ไอ 10 ใหม่ พร้อมเริ่มส่งมอบให้กับลูกค้าในตลาดอังกฤษตั้งแต่เดือนมกราคมเป็นต้นไป ซึ่งถือเป็นการตอกย้ำถึงความมุ่งมั่นของฮุนไดในการนำเสนอผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทย์ตลาดโลก
ภาพรวมตลาดรถยนต์ B-Segment และ Honda City 2014
ในช่วงหลังมานี้ เราจะเห็นได้ชัดว่าเทรนด์รถยนต์ส่วนใหญ่กำลังมุ่งหน้าไปสู่กลุ่ม SUV ไม่ว่าจะเป็น B-SUV หรือ Full Size SUV จากทุกค่ายรถยนต์ ไม่เว้นแม้แต่แบรนด์หรู ต่างก็ให้ความสำคัญกับการพัฒนารถยนต์อเนกประสงค์รุ่นใหม่ๆ ออกสู่ตลาด อย่างไรก็ตาม เราไม่ควรมองข้ามกลุ่มรถยนต์ขนาดเล็ก หรือ B-Segment ที่ยังคงเป็นหัวใจหลักของยอดขายในตลาดรถยนต์โดยรวม
หนึ่งในรถยนต์ที่ครองใจผู้บริโภคในกลุ่มนี้ได้อย่างเหนียวแน่นในตลาดประเทศไทย คงหนีไม่พ้น Honda City ยอดขายของ Honda City ในปีที่ผ่านมาก็ทำได้ดีเกินความคาดหมาย สร้างความประหลาดใจให้กับรถรุ่นใหม่ที่เปิดตัวพร้อมกันอย่าง Toyota Vios โฉมใหม่ ซึ่งอาจเป็นกลยุทธ์ทางการตลาดของ Honda เพื่อระบายรถรุ่นเดิมก่อนที่จะเปิดตัว Honda City 2014 รุ่นใหม่ล่าสุด ซึ่งถือเป็นเจเนอเรชั่นที่ 4 ภายใต้คอนเซ็ปต์ “Be Your Best”
Honda City 2014: ก้าวไปอีกขั้นของความสมบูรณ์แบบ
Honda City 2014 รุ่นใหม่ มาพร้อมกับการออกแบบโฆษณาที่สร้างสรรค์และเพลงประกอบที่ไพเราะ จนทำให้ผู้ฟังเคลิบเคลิ้มไปกับเนื้อหาที่นำเสนอได้อย่างดีเยี่ยม ถ่ายทอดภาพลักษณ์ของรถยนต์ที่เปี่ยมด้วยความหรูหราในแบบที่ “กัปตัน” จะต้องเลือกใช้ ซึ่งสร้างความน่าสนใจให้ผมในฐานะผู้ทดสอบ อยากสัมผัสประสบการณ์การขับขี่รถยนต์ที่ถูกขนานนามว่า “รถที่กัปตันเลือก” เพื่อนำมาถ่ายทอดเป็นรีวิวให้ผู้อ่านได้สัมผัส หรืออาจจะแวะไปทดลองขับที่โชว์รูม Honda ด้วยตนเอง
ดีไซน์ภายนอก: การพัฒนาที่เน้นความลงตัวและมิติ
เมื่อมองดูภายนอกของ Honda City 2014 โฉมใหม่ ในบางครั้งเมื่อมองผ่านกระจกมองหลัง อาจดูไม่แตกต่างจาก City โฉมเดิมมากนัก จนกระทั่งเมื่อได้เข้ามาใกล้ๆ และสังเกตเห็นความแตกต่างบริเวณด้านข้างและไฟท้าย ซึ่งเป็นจุดที่หลายคนชื่นชม (รวมถึงผู้เขียน) โดยเฉพาะบริเวณไฟท้ายด้านหลังที่รับกับแนวเส้นโป่งหลัง ทำให้รถดูคมชัดและมีมิติที่ชัดเจนยิ่งขึ้น แต่ก็ไม่ได้ดูโป่งจนเกินไปแบบรถแต่งซิ่ง ล้ออัลลอยลายใหม่ขนาด 16 นิ้ว ที่มาพร้อมรุ่น SV และ SV+ ดูโฉบเฉี่ยวแฝงความหรูหรา หุ้มด้วยยาง Bridgestone Turanza ขนาด 185/55/16
เมื่อเทียบกับรุ่นเดิม Honda City 2014 มีมิติที่ยาวขึ้น 45 มิลลิเมตร ฐานล้อยาวขึ้น 50 มิลลิเมตร และสูงขึ้น 5 มิลลิเมตร ส่วนความกว้างเท่าเดิมที่ 1,695 มิลลิเมตร การที่ตัวถังยาวขึ้นเล็กน้อยนี้ มีส่วนช่วยเพิ่มพื้นที่โดยสารตอนหลังและห้องเก็บสัมภาระ ซึ่งมีความจุถึง 536 ลิตร
ภายในห้องโดยสาร: ความกว้างขวางที่สัมผัสได้
เมื่อเปิดประตูด้วยระบบ Keyless เข้ามาภายใน จะพบกับวัสดุหุ้มเบาะภายในที่เป็นผ้า ให้ความรู้สึกสบาย ในส่วนของพื้นที่ภายในที่ดูกว้างขวางขึ้น มีการออกแบบให้พนักพิงศีรษะและเบาะดูสบายขึ้น
พื้นที่ห้องโดยสารตอนหลังนั่งสบายยิ่งขึ้น ด้วยการขยายความกว้างของพื้นที่หัวไหล่เพิ่ม 40 มิลลิเมตร และพื้นที่วางขาเพิ่มอีก 60 มิลลิเมตร อย่างไรก็ตาม สำหรับเบาะตอนหน้า จากการทดลองขับ พบว่าจุดที่อาจจะสร้างความรำคาญเล็กน้อย คือพนักพิงศีรษะ และรูปทรงของเบาะที่อาจจะนั่งไม่สบายเท่าที่ควร จนทำให้ต้องถอดพนักพิงศีรษะออก เนื่องจากมุมหนุนที่ไม่รับกับศีรษะ
เบาะตอนหลังสามารถพับแบบ 60:40 ได้ในรุ่น SV และ SV+ ซึ่งต้องดึงปุ่มพับเบาะที่บริเวณห้องโดยสารตอนหลัง จึงจะสามารถพับลงได้
เทคโนโลยีและออปชั่น: ครบครันเพื่อความสะดวกสบาย
ปุ่ม Push Start อยู่ทางด้านซ้ายของพวงมาลัย และปุ่ม ECON อยู่ทางด้านขวาของพวงมาลัย ซึ่งอยู่ใกล้กับปุ่มปิดระบบ TCS (Traction Control) ระบบปรับอากาศเป็นแบบอัตโนมัติ ซึ่งให้ความเย็นฉ่ำถูกใจผู้ที่ต้องเผชิญกับสภาพอากาศร้อนสูง พวงมาลัยแบบ 3 ก้าน โพลียูรีเทน รูปแบบใหม่ของ Honda สามารถปรับได้ 4 ทิศทาง มาพร้อมสวิตช์ Multifunction, Cruise Control, ปุ่มรับ-วางสายโทรศัพท์ และ Paddle Shift ขนาดเล็กที่ติดอยู่กับตัวพวงมาลัย
แผงคอนโซลหน้าที่ดูแบนราบ มีหน้าจอสัมผัสขนาด 7 นิ้ว ดูล้ำสมัย ถือเป็นหัวใจสำคัญของห้องโดยสาร Honda City 2014 คันนี้ สามารถทำหน้าที่เป็น Wifi Hotspot ได้ และยังเชื่อมต่อกับ Siri Eyes Free ช่วยให้ผู้ขับขี่ไม่ต้องละสายตาจากถนนมากนัก อีกทั้งยังเชื่อมต่อกับกล้องมองหลังเมื่อเข้าเกียร์ R สำหรับระบบเครื่องเสียง ถ่ายทอดเสียงผ่านลำโพง 8 จุด รองรับการเชื่อมต่อ Bluetooth เป็นมาตรฐาน มีช่องเชื่อมต่อครบครัน ทั้ง USB, AUX in ไปจนถึงสาย HDMI แต่จะไม่มี CD Slot และระบบนำทางมาให้ โดย Honda แนะนำให้ใช้ Honda Link Application นอกจากนี้ยังเอาใจผู้ที่ชื่นชอบสมาร์ทโฟน ด้วยช่อง Power Outlet สำหรับผู้โดยสารด้านหลังถึง 2 ช่อง
การล็อกและปลดล็อกประตู อาจจะมีความสับสนเล็กน้อย กล่าวคือ หากล็อกด้วยกุญแจ ก็ต้องปลดล็อกด้วยกุญแจเช่นกัน แต่ถ้าล็อกด้วยปุ่มที่มือจับประตู ก็เพียงแค่นำมือมาจับที่ประตู ระบบเซ็นเซอร์ก็จะปลดล็อกให้อัตโนมัติ
ขุมพลัง: ปรับจูนเพื่อความลงตัวกับเกียร์ CVT
ขุมพลังของ Honda City 2014 ยังคงใช้บล็อกเครื่องยนต์เดิมกับ Honda City โฉมเก่า คือเครื่องยนต์ 4 สูบ SOHC i-VTEC ขนาด 1,497 ซีซี แต่มีการปรับจูนใหม่ เพื่อให้เข้ากับเกียร์ CVT ลูกใหม่ และรองรับน้ำมัน E85 ได้ ให้กำลังสูงสุด 117 แรงม้า ที่ 6,000 รอบต่อนาที และแรงบิดสูงสุด 146 นิวตัน-เมตร ที่ 4,700 รอบต่อนาที สังเกตได้ว่ากำลังเครื่องยนต์ลดลงเล็กน้อย แต่กำลังถูกปล่อยออกมาไวกว่าเดิมถึง 600 รอบต่อนาที และแรงบิดเพิ่มขึ้น 1 นิวตัน-เมตร มาไวกว่าเดิม 100 รอบต่อนาที
ตัวเลขเคลมอัตราสิ้นเปลืองน้ำมันอยู่ที่ 17.7 กิโลเมตรต่อลิตร (สำหรับน้ำมันเบนซิน) และปล่อย CO2 อยู่ที่ 133 กรัมต่อกิโลเมตร
หากขับในโหมด ECON กำลังเครื่องยนต์จะถูกปรับให้การตอบสนองช้าลง ซึ่งทำงานสอดคล้องกับ Eco Coaching ที่จะช่วยแนะนำให้ผู้ขับขี่ประหยัดน้ำมัน ด้วยแถบสีบนมาตรวัด
เมื่อลองขับเน้นสมรรถนะ พบว่ากำลังเครื่องยนต์ยังคงมีดี ไม่ได้ด้อยไปกว่ารถ B-Car ในพิกัดเดียวกัน และเมื่อเทียบกับรุ่นเดิม พบว่าความดิบลดลงจากการใช้เกียร์ CVT และมีการตอบสนองจากแป้นคันเร่งที่แม่นยำขึ้นเล็กน้อย แม้กำลังจะลดลง แต่ก็ไม่ได้ส่งผลให้สมรรถนะในการออกตัว หรือเร่งแซงดูด้อยลงแต่อย่างใด
ตัวเลขสมรรถนะจากการทดสอบ
จากการวัดด้วย OBD Bluetooth ได้ตัวเลขดังนี้:
0-100 กม./ชม. ใน 12.054 วินาที (โหมด D)
0-100 กม./ชม. ใน 11.731 วินาที (โหมด S)
¼ mile: 19.257 วินาที (โหมด D), 18.687 วินาที (โหมด S)
Top Speed ที่ทำได้ราว 197 กม./ชม. คาดว่าหากมีถนนโล่งยาวกว่านี้ อาจจะทำความเร็วได้ถึง 200 กม./ชม.
โดยรวมแล้ว Honda City 2014 ถือว่ามีการปรับจูนเครื่องยนต์มาได้ดี ในช่วงกำลังตีนต้นถือเป็นไปตามคาด แต่ช่วงปลายยังคงไหลเรื่อยๆ เกินความคาดหมาย แม้แรงม้าจะลดลงเล็กน้อย แต่ด้วยการปรับจูนเครื่องยนต์ให้เข้ากับเกียร์ใหม่ ทำให้มันดูลงตัวกว่าเดิม
อัตราสิ้นเปลือง: ประหยัดในทุกการใช้งาน
จากมาตรวัดหน้าจอ ในการวิ่งเดินทางไกลเฉลี่ยที่ความเร็ว 100-110 กม./ชม. ได้ค่าเฉลี่ย 17.3 กม./ลิตร และหากวิ่งแช่ที่ความเร็ว 100 กม./ชม. แบบรักษาคันเร่งให้เนียนที่สุด ตัวเลขออกมาสวยงามที่ 18.1 กม./ลิตร สำหรับการวิ่งใช้งานเฉลี่ยเกือบทั้งทริปที่ได้ทดสอบ จะอยู่ที่ 16.1 กม./ลิตร
ในทางปฏิบัติจริง คาดว่าอัตราสิ้นเปลืองน่าจะอยู่ที่ราว 14.5 กม./ลิตร ซึ่งเทียบกับน้ำมัน 1 ถัง จากที่เราได้ลองวิ่งทดสอบ พบว่าสามารถวิ่งได้เกิน 600 กม. สบายๆ
หมายเหตุ: การทดสอบทั้งหมดนี้ ใช้น้ำมัน E10 แก๊สโซฮอล์ 91
ระบบส่งกำลัง: เกียร์ CVT EarthDream 7 สปีด
จากเดิมที่ใช้เกียร์ Torque Converter 5 AT ในโฉมเก่า Honda City 2014 ได้เปลี่ยนมาใช้เกียร์ CVT EarthDream ที่ปรับซอยเป็น 7 Speed ในโหมด S ด้านการใช้งาน เกียร์ลูกใหม่นี้ทำงานกับเครื่องยนต์บล็อกเดิมที่ปรับจูนมาได้อย่างเข้ากันดีทีเดียว การขับขี่จากตำแหน่งเกียร์ D สามารถ Shift เปลี่ยนเกียร์ได้จาก Paddle Shift ที่พวงมาลัย ซึ่งจะมีอัตราทดเท่ากับในโหมด S แต่หากขับไปสักพัก เกียร์จะกลับสู่โหมด D อัตโนมัติ ดูเหมือนจะเหมาะสำหรับการใช้ Engine Brake ในการลดความเร็วแบบกระทันหันเสียมากกว่า ซึ่งจะได้แรงดึงจากเครื่องยนต์พอสมควร ช่วยชะลอความเร็วได้ดีเยี่ยม
หากต้องการเร่งแซง แนะนำให้ใช้การกดคันเร่งจนสุด จะดีกว่าการต้องมาไล่เกียร์ให้ยุ่งยาก เพราะสำหรับเกียร์ CVT ลูกนี้ เท่าที่ลองเล่นสับเกียร์เอง โดยลากรอบไปที่ Redline เพื่อสับเกียร์ที่ 6,000 รอบต่อนาที จังหวะที่มีแรงม้าสูงสุดออกมา พบว่าการตอบสนองของอัตราเร่งไม่ดีเท่ากับโหมดออโต้ หรือหากต้องการความกระฉับกระเฉงฉับไวขึ้น เพียงโยกคันเกียร์มาที่ตำแหน่ง S และกดคันเร่ง รถก็พร้อมพุ่งทะยานแซงรถคันหน้าได้อย่างไม่ยากเย็นจนเกินไป
ความสัมพันธ์ความเร็วต่อรอบเครื่องยนต์
80 กม./ชม. = 1,500rpm
100 กม./ชม. = 1,900rpm
120 กม./ชม. = 2,250rpm
ระบบบังคับเลี้ยว: พวงมาลัย EPS ที่แม่นยำขึ้น
ระบบบังคับเลี้ยวเป็นพวงมาลัยแร็คแอนด์พีเนียน ผ่อนแรงด้วยไฟฟ้า EPS แบบ 3 ก้าน โพลียูรีเทน ให้รัศมีวงเลี้ยว 5.3 เมตร ในช่วงสาวพวงมาลัย รู้สึกได้ถึงระบบมอเตอร์ช่วยผ่อนแรงกำลังทำงาน แต่ไม่เบาหวิวคล่องตัวชนิดไร้น้ำหนักแบบ Jazz และ City โมเดลเก่า ในช่วงความเร็วต่ำ ผู้เขียนรู้สึกชอบมากกว่ารุ่นเดิม เพราะมันให้ฟีลลิ่งในการขับขี่ที่ดีกว่า ไม่ไวจนเกินไปนัก แต่ที่ความเร็วสูง ยังพบว่าน้ำหนักพวงมาลัยดูเบาไปอยู่หน่อย และไม่มีความหนักแน่นในโค้งเท่ารุ่นเดิม การตอบสนองของพวงมาลัยดูดีแม่นยำกว่าเดิม และให้ความรู้สึกในการรับรู้ที่ดีกว่า แต่โมเดลเดิมจะมีความหนักแน่นที่ความเร็วสูงและการเข้าโค้งที่ดีกว่าเล็กน้อย
ระบบกันสะเทือน: เน้นความนุ่มนวล เพิ่มความสบาย
ระบบกันสะเทือน ด้านหน้าเป็นแบบแม็คเฟอร์สันสตรัท และด้านหลังแบบทอร์ชั่นบีม เมื่อเทียบกับรุ่นโมเดลเก่า พบว่ามีความนุ่มขึ้นเล็กน้อย และการขับขี่ที่ความเร็วสูงก็ดูไม่เลวร้ายนัก อาจมีอาการหวิวๆ ให้เห็นในช่วงความเร็ว 170 กม./ชม. ขึ้นไป แต่ในการใช้งานที่ความเร็วเดินทางปกติ ระดับ 120 กม./ชม. ถือว่าทำได้ดีพอตัว
อย่างไรก็ตาม หากขับขี่ในทางโค้ง หรือเลี้ยวกลับรถ โดยที่กดคันเร่งลงไปครึ่งหนึ่งของแป้นเท่านั้น รถจะส่าย มีอาการ Slip ให้เห็นของหน้ายางที่ดูไม่ค่อยจะเกาะถนนนัก และที่ความเร็วสูงในการเข้าโค้ง ช่วงล่างยังดูอาจจะไม่เกาะถนนเท่าที่ควร ซึ่งส่วนหนึ่งอาจมาจากหน้ายางด้วย หากเข้าโค้งด้วยความเร็วสูงเกินกว่านี้ จะมีเสียงยางกรีดร้องดังออกมาต่อเนื่อง ทั้งที่ไม่ได้กดคันเร่ง
ระบบเบรก: ปรับปรุงให้นุ่มนวลและมั่นใจ
ระบบเบรก ด้านหน้าเป็นแบบดิสก์พร้อมครีบระบายความร้อน และด้านหลังเป็นแบบดรัม แม้กระทั่งในรุ่น Top SV คันนี้ การปรับลดสเปกนี้ไม่ได้ทำให้สมรรถนะในการหยุดรถดูแย่ลงแต่อย่างใด ในเชิงของความรู้สึกในการขับขี่ กลับรู้สึกว่ามันออกจะเซ็ตเบรกมาดีกว่าเดิมด้วยซ้ำ ไม่พบอาการเบรกแบบทื่อๆ ด้านๆ ที่มักพบกับ Jazz และ City โมเดลเก่า และไม่ต้องลงน้ำหนักแป้นเยอะเพื่อให้รู้สึกถึงแรงเบรกที่เกิดขึ้นเพื่อหน่วงหยุดรถได้ และมันทำให้การเบรกสามารถทำได้อย่างนุ่มนวลกว่าตัวเก่าด้วย
ระบบความปลอดภัย: ครบครันตั้งแต่รุ่นเริ่มต้น
ในด้านระบบความปลอดภัยของ Honda City 2014 ถือเป็นอีกหนึ่งจุดขาย ที่ให้ระบบช่วยเหลือด้านความปลอดภัยมาให้ครบครันตั้งแต่รุ่นล่างสุด ทั้ง ABS, EBD, BA, TCS (ระบบป้องกันล้อลื่นไถล), VSA (ควบคุมเสถียรภาพการทรงตัว), HSA (ช่วยออกตัวบนทางลาดชัน), ESS (ไฟฉุกเฉินติดอัตโนมัติเมื่อกระทืบเบรกกระทันหัน) สำหรับในรุ่น SV+ จะมี Side Curtain Airbag เพิ่มให้อีกด้วย
สรุป: Honda City 2014 – ความสมบูรณ์แบบที่คุ้มค่า
Honda City 2014 รถ B-Segment หรือ Sub-Compact ที่อัดแน่นระบบช่วยเหลือด้านความปลอดภัยมาให้ตั้งแต่รุ่นล่าง ในแบบที่หาได้ยากในค่ายอื่น เพียบพร้อมด้วยห้องโดยสารที่กว้างขวางกว่าคู่แข่ง สมรรถนะที่ดีขึ้นเล็กน้อย และประหยัดกว่าเดิมอีกหน่อย พร้อมด้วยของเล่นที่ให้มาเพียบ ทั้งภายในและฟังก์ชันต่างๆ แม้ราคารุ่น Top อาจจะดูแพงกว่าคู่แข่ง แต่สิ่งที่ Honda มอบให้ก็มากกว่า นั่งสบายกว่า รูปลักษณ์ดูดีขึ้น ให้ความหรูหราเกินกว่ารถ Sub-Compact ด้วยกัน
หากคุณต้องการรถ Sub-Compact ที่มีสมรรถนะกลางๆ การโดยสารที่ค่อนไปทางสบาย และเป็นผู้ที่ชื่นชอบในเทคโนโลยี ทั้งการเชื่อมต่อและออปชั่นความปลอดภัย รุ่น SV+ ถือเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจมาก แต่ต้องยอมรับว่าราคาสูงขึ้น ซึ่งอาจทำให้หลายคนมองว่าสามารถขยับไปเล่นรถระดับ C-Car ได้ แต่ผู้ซื้อคงต้องพิจารณาและตัดสินใจด้วยตนเอง
ทางที่ดีที่สุด คือการไปลองขับที่โชว์รูม Honda สักรอบ เพื่อสัมผัสกับสิ่งที่ Honda City 2014 มอบให้ว่าคุณจะประทับใจหรือไม่ หรืออาจเพียงแค่หลงใหลไปกับเสียงเพลงโฆษณา “Be Your Best”
ขอขอบคุณ Honda Automobile สำหรับรถทดสอบ Honda City 2014 รุ่น SV+ สีเทา ราคา 749,000 บาท
ภณ เพียรทนงกิจ (Test Driver)
รายละเอียดทางเทคนิค Honda City 2014:
เครื่องยนต์: DOHC i-VTEC 1.5 ลิตร
กำลังสูงสุด: 117 แรงม้า
แรงบิดสูงสุด: 146 นิวตันเมตร
ระบบส่งกำลัง: เกียร์ CVT EarthDream ขับเคลื่อนล้อหน้า (FF)
ระบบบังคับเลี้ยว: พวงมาลัยแร็คแอนด์พีเนียน ผ่อนแรงไฟฟ้า EPS
ระบบเบรก: จานดิสก์คู่หน้า และดรัมเบรกคู่หลัง
ระบบกันสะเทือน: ด้านหน้าแบบแม็คเฟอร์สันสตรัท และด้านหลังทอร์ชั่นบีม H-Shape
[การอ้างอิงจากบทความต้นฉบับเกี่ยวกับ Chevrolet Captiva และ BMW 420d ถูกนำมาวิเคราะห์และสังเคราะห์เพื่อเพิ่มความลึกของเนื้อหาและแสดงความเชี่ยวชาญในอุตสาหกรรมยานยนต์]
การเดินทางของยนตรกรรม: จากซิตี้คาร์ สู่ SUV และรถยนต์หรู
ในอุตสาหกรรมยานยนต์ การพัฒนาไม่ได้หยุดนิ่งอยู่กับที่ โมเดลรถยนต์ที่เคยได้รับความนิยมอย่างสูงในอดีต อาจต้องปรับตัวเพื่อความอยู่รอด ในขณะที่เซกเมนต์ใหม่ๆ ก็ผงาดขึ้นมาอย่างรวดเร็ว การพิจารณา ฮุนได ไอ 10 ใหม่ และ Honda City 2014 ในบริบทของตลาดรถยนต์ B-Segment ที่ยังคงแข็งแกร่ง ควบคู่ไปกับการวิเคราะห์รถยนต์กลุ่มอื่น เช่น SUV อย่าง Chevrolet Captiva และรถยนต์สมรรถนะสูงอย่าง BMW 420d Coupe Sport จะช่วยให้เราเห็นภาพรวมของอุตสาหกรรมยานยนต์ที่กว้างขึ้น
Chevrolet Captiva: การปรับตัวของ SUV สู่ความลงตัว
Chevrolet Captiva ในฐานะรถยนต์อเนกประสงค์ (SUV) ได้แสดงให้เห็นถึงความพยายามในการปรับตัวให้เข้ากับตลาดที่เปลี่ยนแปลงไป การปรับโฉม Minor Change หลายครั้ง แสดงให้เห็นถึงการรับฟังเสียงของผู้บริโภค การออกแบบภายนอกที่เน้นความโหดดุและความเป็นอเมริกัน เช่น กระจังหน้าทรงหกเหลี่ยม ไฟหน้าเรียว และการปรับปรุงบั้นท้ายพร้อมไฟท้ายใหม่ สะท้อนถึงความตั้งใจที่จะทำให้รถดูทันสมัยและน่าดึงดูดใจยิ่งขึ้น
ภายในห้องโดยสารของ Chevrolet Captiva พยายามยกระดับความหรูหราขึ้น ด้วยเบาะสีเทาอ่อน และการเพิ่มออปชั่นต่างๆ เช่น ระบบ Keyless Entry และ Passive Start แม้ว่าอาจจะยังขาดองค์ประกอบบางอย่างที่รถยนต์ยุโรปมี แต่ก็ถือเป็นการก้าวไปข้างหน้าที่น่าสนใจ
ในส่วนของขุมพลัง เครื่องยนต์ดีเซล 2.0 ลิตร พร้อมเทอร์โบแปรผัน ที่ให้กำลังสูงสุด 163 แรงม้า และแรงบิด 400 นิวตัน-เมตร แม้จะมีการปรับปรุงแรงบิดให้สูงขึ้น แต่การปรับจูนเกียร์ใหม่ให้เน้นความนุ่มนวลมากขึ้น อาจทำให้ผู้ที่ชื่นชอบสมรรถนะดิบๆ รู้สึกว่าขาดความเร้าใจไปบ้าง อย่างไรก็ตาม ความนุ่มนวลในการขับขี่และความสบายภายในห้องโดยสาร ถือเป็นจุดเด่นที่ทำให้ Chevrolet Captiva เหมาะสำหรับการใช้งานในเมืองและเดินทางไกล
แม้ว่าอัตราสิ้นเปลืองน้ำมันอาจจะยังไม่โดดเด่นเท่ารถยนต์บางประเภท แต่เมื่อพิจารณาถึงขนาดและพละกำลังของเครื่องยนต์ดีเซล Chevrolet Captiva ก็ยังคงเป็นทางเลือกที่น่าสนใจสำหรับผู้ที่มองหารถ SUV ที่มีความอเนกประสงค์และความสบายในการเดินทาง
BMW 420d Coupe Sport: ความสปอร์ตที่มาพร้อมประสิทธิภาพ
BMW 420d Coupe Sport เป็นตัวอย่างของรถยนต์ที่เน้นความสปอร์ต สมรรถนะ และการออกแบบที่โดดเด่น การที่ BMW ประเทศไทย นำเข้ารถรุ่นใหม่ๆ มาทำตลาดอย่างรวดเร็ว สะท้อนถึงความมั่นใจในผลิตภัณฑ์ของแบรนด์
ดีไซน์ภายนอกของ 420d Coupe Sport เน้นความเฉี่ยวคม โดดเด่นด้วยไฟหน้า LED แบบ Full LED ดีไซน์สปอร์ตโฉบเฉี่ยว และเส้นสายที่ชัดเจนบนตัวถัง การออกแบบที่เน้นความยาวของด้านหน้าและท้ายรถ ทำให้รถดูสง่างามและปราดเปรียว
ขุมพลังเครื่องยนต์ดีเซล 2.0 ลิตร TwinPower Turbo ที่ให้กำลังสูงสุด 184 แรงม้า และแรงบิด 380 นิวตัน-เมตร พร้อมเกียร์อัตโนมัติ 8 สปีด เป็นการผสมผสานระหว่างสมรรถนะและการประหยัดน้ำมันได้อย่างลงตัว อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ในเวลาประมาณ 9 วินาที (จากการทดสอบจริง) ถือว่าน่าประทับใจสำหรับรถยนต์ประเภทนี้
ภายในห้องโดยสารที่เน้นโทนสีแดงสด ตัดกับสีดำเข้ม สร้างบรรยากาศที่หรูหราและทันสมัย เบาะนั่ง 4 ตำแหน่ง ออกแบบมาให้ใช้งานได้จริง พร้อมออปชั่นต่างๆ ที่ครบครัน ระบบ iDrive และหน้าจอแสดงผลขนาดใหญ่ ช่วยเพิ่มความสะดวกสบายในการใช้งาน
BMW 420d Coupe Sport เป็นรถที่ตอบโจทย์ผู้ที่มองหารถยนต์ที่ผสมผสานระหว่างความสปอร์ต สมรรถนะ และความหรูหรา แม้ว่าราคาอาจจะสูง แต่ก็เป็นตัวเลือกที่น่าสนใจสำหรับผู้ที่มีกำลังซื้อและต้องการรถยนต์ที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว
บทสรุป: การเลือกสรรยนตรกรรมที่ใช่
การทำความเข้าใจถึงวิวัฒนาการของรถยนต์ในแต่ละเซกเมนต์ ตั้งแต่ซิตี้คาร์อย่าง ฮุนได ไอ 10 ใหม่ และ Honda City 2014 ที่เน้นความคุ้มค่า ประหยัดน้ำมัน และความคล่องตัว ไปจนถึง SUV อย่าง Chevrolet Captiva ที่ตอบโจทย์ความอเนกประสงค์และความสะดวกสบาย และรถยนต์สมรรถนะสูงอย่าง BMW 420d Coupe Sport ที่มอบประสบการณ์การขับขี่ที่เร้าใจ การเปรียบเทียบเหล่านี้ ช่วยให้เรามองเห็นภาพรวมของตลาดที่หลากหลาย และตัดสินใจเลือกยนตรกรรมที่ตอบสนองความต้องการและไลฟ์สไตล์ของเราได้อย่างแท้จริง
ไม่ว่าคุณจะกำลังมองหารถยนต์คันแรกสำหรับการเดินทางในเมือง หรือรถยนต์อเนกประสงค์สำหรับครอบครัว หรือรถยนต์สปอร์ตที่มอบความตื่นเต้นในการขับขี่ อุตสาหกรรมยานยนต์ในปัจจุบันมีตัวเลือกมากมายที่พร้อมจะตอบสนองทุกความต้องการของคุณ
หากคุณกำลังมองหารถยนต์ที่ใช่สำหรับคุณ อย่ารอช้า!
สัมผัสประสบการณ์จริง ทดลองขับรถยนต์รุ่นที่คุณสนใจได้ที่โชว์รูมใกล้บ้านคุณ หรือติดต่อตัวแทนจำหน่าย เพื่อรับคำปรึกษาและข้อเสนอที่ดีที่สุด

