• Sample Page
Film
No Result
View All Result
No Result
View All Result
Film
No Result
View All Result

N0201073 กคำท หล ดออกมา อคมม ดท ดความส มพ นธ part2

admin79 by admin79
December 29, 2025
in Uncategorized
0
N0201073 กคำท หล ดออกมา อคมม ดท ดความส มพ นธ part2

MINI John Cooper Works: อัครยานยนต์สายพันธุ์สปอร์ต สัมผัสประสบการณ์ขับขี่เหนือระดับ

ในโลกแห่งยานยนต์ที่เต็มไปด้วยนวัตกรรมและความเร็วที่พัฒนาไม่หยุดนิ่ง ชื่อของ MINI John Cooper Works (JCW) คือหนึ่งในสัญลักษณ์ที่บ่งบอกถึงสมรรถนะอันดุดันและจิตวิญญาณแห่งการแข่งขันอย่างแท้จริง ในฐานะรุ่นที่ทรงพลังที่สุดในตระกูล MINI ด้วยการปรุงแต่งจาก John Cooper Works สำนักแต่งระดับตำนานที่ผูกพันกับ MINI มาอย่างยาวนาน จนในที่สุดได้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของ BMW อย่างเป็นทางการ นี่คือการก้าวข้ามขีดจำกัดของรถยนต์ขนาดเล็กให้กลายเป็นซูเปอร์คาร์สำหรับใช้งานจริงบนท้องถนน

ดีไซน์ที่เร้าใจ สะท้อน DNA แห่งความแรง

จากประสบการณ์ในวงการยานยนต์กว่าทศวรรษ ข้าพเจ้าสัมผัสได้ถึงเสน่ห์อันยากจะต้านทานของ MINI JCW ตั้งแต่แรกเห็น การออกแบบภายนอกของ MINI John Cooper Works F56 นี้ ได้รับการเสริมแต่งให้มีความดุดันและโดดเด่นเหนือกว่า MINI Hatch 3 Door Cooper S อย่างชัดเจน จุดที่สังเกตได้ง่ายคือช่องดักอากาศขนาดใหญ่ที่ติดตั้งเพิ่มขึ้นบริเวณมุมกันชนด้านหน้า บ่งบอกถึงความต้องการอากาศเพื่อป้อนให้กับขุมพลังที่กำลังรอการปลดปล่อย ล้ออัลลอยลายดอกไม้สีทูโทนขนาด 18 นิ้ว พร้อมลายเซ็น JCW ที่สะดุดตา สะท้อนถึงความใส่ใจในรายละเอียด และปิดท้ายด้วยชุดกันชนท้ายที่ได้รับการออกแบบใหม่ ให้มีลักษณะคล้ายช่องระบายอากาศ 4 ช่อง พร้อมท่อไอเสียคู่ที่วางตัวอยู่ตรงกลาง สร้างความรู้สึกทรงพลังและสปอร์ตอย่างเต็มขั้น

เอกลักษณ์ที่ขาดไม่ได้คือการจับคู่สีอันเร้าใจ หลังคาและกระจกมองข้างสีแดง Chili Red ตัดกับสีตัวถังพิเศษอย่างสีเขียว Rebel Green หรือสีอื่นๆ ที่ลูกค้าเลือกสรร เสริมด้วยแถบสีแต่งรอบคันลาย JCW ที่เล่นโทนสีดำตัดขอบด้วยสีแดง ยิ่งเพิ่มความดุดันและสปอร์ตให้กับตัวรถอย่างมีนัยสำคัญ นอกจากนี้ ยังมี MINI Head-Up Display ที่มาพร้อมคอนเทนต์พิเศษเฉพาะรุ่น JCW ซึ่งแสดงข้อมูลสำคัญขณะขับขี่ได้อย่างครบครัน โดยไม่ทำให้ผู้ขับละสายตาจากถนน นี่คือการผสมผสานเทคโนโลยีและความสปอร์ตที่ลงตัว

ขุมพลังเหนือชั้น สมรรถนะที่ต้องสัมผัส

หัวใจหลักของ MINI John Cooper Works คือเครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบ ขนาด 2.0 ลิตร เทอร์โบ อินเตอร์คูลเลอร์ วางตามขวาง (transverse) ที่ได้รับการปรับแต่งมาเป็นพิเศษ ให้พละกำลังสูงสุดถึง 231 แรงม้า และแรงบิดมหาศาลถึง 320 นิวตันเมตร ตัวเลขนี้ไม่ใช่แค่สถิติ แต่คือการรับประกันประสบการณ์ขับขี่ที่เหนือชั้นกว่า MINI Hatch 3 Door Cooper S ถึง 39 แรงม้า และแรงบิดที่เพิ่มขึ้นอีก 40 นิวตันเมตร ซึ่งหมายถึงอัตราเร่งที่จัดจ้านขึ้นอย่างเห็นได้ชัด สมรรถนะที่เหนือกว่านี้มาพร้อมกับอัตราการใช้น้ำมันเชื้อเพลิงที่น่าประทับใจที่ 16.1 กิโลเมตรต่อลิตร และอัตราการปล่อยก๊าซ CO2 ที่ 148 กรัมต่อกิโลเมตร ซึ่งถือเป็นจุดเด่นของเครื่องยนต์เทคโนโลยีสมัยใหม่

ระบบช่วงล่างและเทคโนโลยีขั้นสูง เพื่อการควบคุมที่สมบูรณ์แบบ

ความแรงของเครื่องยนต์จะไร้ความหมายหากปราศจากการควบคุมที่ดี MINI JCW จึงมาพร้อมระบบช่วงล่างที่ทำงานสอดประสานกับเครื่องยนต์อย่างสมบูรณ์แบบ ระบบเบรกประสิทธิภาพสูงจาก Brembo พร้อมรองรับทุกการหยุดรถอย่างมั่นใจ ระบบพวงมาลัยพาวเวอร์ Servotronic ที่ผสมผสานทั้งระบบไฟฟ้าและกลไกเข้าด้วยกัน เพื่อการตอบสนองที่แม่นยำและน้ำหนักที่เหมาะสมในทุกช่วงความเร็ว เทคโนโลยี Dynamic Stability Control (DSC) ที่มีคุณสมบัติ Dynamic Traction Control (DTC), Electronic Differential Lock Control (EDLC) และ Dynamic Damper Control (DDC) ติดตั้งเป็นอุปกรณ์มาตรฐาน ช่วยเพิ่มความมั่นใจในการควบคุมรถในทุกสถานการณ์

ด้วยน้ำหนักตัวถังเพียง 1,205 กิโลกรัม ซึ่งเบากว่า MINI Hatch 3 Door Cooper S ที่มีน้ำหนัก 1,250 กิโลกรัม ส่งผลให้ MINI JCW มีอัตราส่วนแรงม้าต่อน้ำหนักที่ยอดเยี่ยม มอบการขับขี่ที่คล่องแคล่ว ปราดเปรียว และสนุกสนานยิ่งขึ้น โดยรุ่นที่นำเข้ามาจำหน่ายในประเทศไทยเป็นแบบเกียร์อัตโนมัติเท่านั้น

แม้ว่าราคาจำหน่ายที่ 3.45 ล้านบาท อาจดูสูงสำหรับรถยนต์ขนาดเล็ก แต่เมื่อพิจารณาถึงสมรรถนะ เทคโนโลยี และเอกลักษณ์ที่ MINI John Cooper Works มอบให้ ความต่าง 610,000 บาท เมื่อเทียบกับ MINI Hatch 3 Door Cooper S ที่ราคา 2.84 ล้านบาท ถือเป็นการลงทุนที่คุ้มค่าสำหรับผู้ที่ต้องการประสบการณ์การขับขี่ที่เหนือระดับ ความเร้าใจ และความไม่เหมือนใคร

All New Toyota Innova 2016: นิยามใหม่ของ MPV ครอบครัว พรีเมียมและอัจฉริยะ

ในตลาดรถยนต์อเนกประสงค์ (MPV) ที่มีการแข่งขันสูง การเปิดตัว All New Toyota Innova 2016 ถือเป็นการปฏิวัติวงการครั้งสำคัญ ด้วยการยกระดับภาพลักษณ์จากรถครอบครัวที่เน้นความคุ้มค่า ไปสู่รถ MPV ที่มาพร้อมความหรูหรา สมรรถนะที่ทรงพลัง และเทคโนโลยีที่ล้ำสมัย ครบครันทุกความต้องการของครอบครัวยุคใหม่

ดีไซน์ภายนอกที่โฉบเฉี่ยว เหนือกว่ามาตรฐาน MPV ทั่วไป

หลังจากที่ภาพร่างและภาพหลุดต่างๆ ได้สร้างความคาดหวัง Toyota Innova 2016 ก็ได้เผยโฉมอย่างเป็นทางการด้วยดีไซน์ภายนอกที่ถอดแบบมาจากภาพลักษณ์ของ Toyota Highlander ผสมผสานความแข็งแกร่งและความสง่างาม กระจังหน้าทรงสี่เหลี่ยมคางหมูขนาดใหญ่รับกับไฟหน้า LED Projector (ในรุ่น Q เกรด) ที่เรียวยาวและติดตั้งต่ำลงมา บ่งบอกถึงความสปอร์ตและดุดัน ในส่วนของโปรไฟล์ด้านข้าง ได้รับการออกแบบให้ดูเหลี่ยมคมขึ้น พร้อมเส้นสายที่ต่อเนื่องจากด้านหน้าจรดด้านหลัง เสริมด้วยกระจกบานหลังที่ยกขอบเฉียงขึ้นไปจรดแนวหลังคา สร้างมิติที่น่าสนใจ ด้านท้ายมาพร้อมไฟท้ายทรง L คว่ำ ที่แบ่งออกเป็นสองส่วนอย่างลงตัว

ภายในที่หรูหรา กว้างขวาง และเปี่ยมด้วยเทคโนโลยี

สิ่งที่สร้างความประหลาดใจอย่างแท้จริงคือการออกแบบภายในของ Toyota Innova 2016 ที่แตกต่างจาก Toyota Hilux Revo และ Toyota Fortuner 2016 อย่างชัดเจน แผงหน้าปัดเน้นเส้นสายโค้งมน เสริมด้วยลายไม้ (ในรุ่น Q เกรด) ตัดกับคอนโซลกลางแนวตั้งที่ติดตั้งจอสัมผัสขนาดใหญ่ รองรับการเชื่อมต่อสมาร์ทโฟนผ่าน Wi-Fi และระบบสั่งงานด้วยเสียง รวมถึง Air Gesture (ในรุ่น Q และ V เกรด) ถัดลงมาเป็นชุดควบคุมระบบปรับอากาศแบบดิจิตอล (ในรุ่น Q และ V เกรด) พร้อมระบบอัตโนมัติ และจอ TFT แสดงข้อมูลกลางมาตรวัด พวงมาลัยมัลติฟังก์ชั่นติดตั้งมาให้ครบทุกรุ่น

ห้องโดยสารจัดวางเบาะนั่งแบบ 3 แถว 7 ที่นั่ง โดยเบาะแถว 2 แยกอิสระ สามารถปรับเลื่อนและเอนได้ พร้อมฟังก์ชันพับเบาะแบบ One Touch เพื่อความสะดวกในการเข้า-ออกแถว 3 นอกจากนี้ ยังมีการตกแต่งห้องโดยสารด้วยแถบไฟ Ambient Light เพื่อสร้างบรรยากาศหรูหรา

ขุมพลังที่ตอบสนองทุกการใช้งาน

Toyota Innova 2016 มาพร้อมทางเลือกเครื่องยนต์ 2 แบบ คือ

เครื่องยนต์ดีเซล 2.4 ลิตร (16 วาล์ว DOHC) พร้อมเทอร์โบแปรผันและอินเตอร์คูลเลอร์ ให้กำลังสูงสุด 149 แรงม้า ที่ 3,400 รอบ/นาที และแรงบิด 360 นิวตันเมตร ที่ 1,200-2,600 รอบ/นาที
เครื่องยนต์เบนซิน 2.0 ลิตร (Dual VVT-i 16 วาล์ว DOHC) ให้กำลังสูงสุด 139 แรงม้า ที่ 5,600 รอบ/นาที และแรงบิด 183 นิวตันเมตร ที่ 4,000 รอบ/นาที

ทั้งสองเครื่องยนต์จับคู่กับเกียร์ธรรมดา 5 จังหวะ และเกียร์อัตโนมัติ 6 จังหวะ

ความปลอดภัยเหนือระดับ สำหรับครอบครัวที่สมบูรณ์แบบ

ในด้านความปลอดภัย Toyota Innova 2016 มาพร้อมอุปกรณ์มาตรฐานครบครัน ทั้งถุงลมนิรภัยคู่หน้า, ถุงลมนิรภัยป้องกันหัวเข่าผู้ขับขี่, ระบบ ISOFIX สำหรับเบาะเด็ก, ระบบเบรก ABS และ EBD โดยรุ่น Q เกรด จะเพิ่มม่านถุงลมนิรภัยและถุงลมด้านข้าง แต่ที่น่าสนใจคือระบบควบคุมการทรงตัว VSC และระบบช่วยออกตัวบนทางลาดชัน Hill Assist Control ที่เป็นอุปกรณ์มาตรฐานในรุ่น Q เกรด เครื่องยนต์ดีเซลเท่านั้น

Mercedes-Benz GLE 500 e 4MATIC: ปลั๊กอินไฮบริด SUV สู่ยุคใหม่แห่งการขับเคลื่อนที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม

ในยุคที่เทคโนโลยีดิจิทัลเข้ามามีบทบาทในทุกมิติของชีวิต ยานยนต์ก็เช่นกัน Mercedes-Benz ผู้นำแห่งวงการรถยนต์ระดับพรีเมียม ได้ประกาศวิสัยทัศน์ “DEFINE TOMORROW” เพื่อตอกย้ำความเป็นผู้นำด้านนวัตกรรมยานยนต์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่ม Mercedes-Benz Electric Driving ด้วยการเปิดตัว Mercedes-Benz GLE 500 e 4MATIC ปี 2016 รถยนต์ SUV ที่ผสานความแข็งแกร่ง ความสง่างาม และสมรรถนะอันทรงพลัง เข้ากับเทคโนโลยีปลั๊กอินไฮบริดที่ประหยัดพลังงานและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม

การออกแบบที่สะท้อนความสปอร์ตและหรูหรา

GLE 500 e 4MATIC นำเสนอดีไซน์ภายนอกที่โดดเด่นด้วยลายเส้นที่คมชัด กระจังหน้าขนาดใหญ่ พร้อมเส้นสายหลังคาที่ออกแบบให้ลาดเอียงไปทางด้านท้ายอย่างสง่างาม การตกแต่งด้วยกระจังหน้าสีเงินเสริมโครเมียม พร้อมตราสัญลักษณ์ Mercedes-Benz ตรงกลาง กันชนหน้าพร้อมช่องระบายอากาศขนาดใหญ่ล้อมรอบด้วยโครเมียม ขอบหน้าต่างโครเมียม และปลายท่อไอเสียคู่เสริมโครเมียม ล้วนสะท้อนถึงความหรูหราและสปอร์ต

นอกจากนี้ ยังมาพร้อมไฟหน้าแบบ LED Intelligent Light System, ไฟ Daytime สำหรับการขับขี่ในเวลากลางวัน, ไฟเลี้ยวที่กระจกมองข้าง, ไฟท้าย และไฟเบรกดวงที่ 3 แบบ LED ระบบปรับลดแสงสะท้อนอัตโนมัติของกระจกมองข้างด้านผู้ขับขี่และกระจกส่องหลัง ช่วยเพิ่มความสะดวกสบายและความปลอดภัย

สำหรับรุ่น Exclusive มาพร้อมล้ออัลลอยขนาด 20 นิ้ว สี Himalayas grey ส่วนรุ่น AMG Dynamic เพิ่มความสปอร์ตด้วยล้ออัลลอยดีไซน์ AMG ขนาด 20 นิ้ว สี Titanium grey, ชุดแต่ง AMG bodystyling, ดิสก์เบรกหน้าแบบมีช่องระบายความร้อน, สัญลักษณ์ Mercedes-Benz บนคาลิเปอร์เบรกหน้า และหลังคาพาโนรามิกซันรูฟเลื่อนเปิด-ปิดได้ด้วยระบบไฟฟ้า

ห้องโดยสารที่ยกระดับความหรูหราและความสะดวกสบาย

ภายในห้องโดยสาร เน้นความหรูหรา สง่างาม และแฝงกลิ่นอายความสปอร์ต ด้านบนของคอนโซลหน้าและแผงหุ้มประตูหุ้มด้วยหนัง Artico พวงมาลัยมัลติฟังก์ชั่น ระบบควบคุมอุณหภูมิอัตโนมัติ THERMATIC แบบ 2 โซน และระบบเชื่อมต่อโทรศัพท์เคลื่อนที่ Bluetooth

รุ่น Exclusive ตกแต่งด้วยเบาะนั่งหุ้มหนัง มาพร้อมระบบมัลติมีเดีย MB Audio 20 ส่วนรุ่น AMG Dynamic ตกแต่งด้วยเบาะหนัง Nappa พร้อมระบบ COMAND Online, ระบบเสียง Harman Kardon® Logic 7® และฟังก์ชัน Apple CarPlay™

เบาะนั่งผู้ขับขี่และผู้โดยสารด้านหน้าปรับไฟฟ้าพร้อมหน่วยความจำ เบาะหลังพับได้ 1:3/2:3 เพื่อเพิ่มพื้นที่จัดเก็บของ พร้อมระบบไฟเรืองแสง Ambient Light ในห้องโดยสารที่ปรับได้ 3 สี สร้างบรรยากาศแห่งความสุนทรี

โหมดการขับขี่ Plug-in Hybrid ที่หลากหลาย

Mercedes-Benz GLE 500 e 4MATIC ปี 2016 มาพร้อมโหมดการทำงานของระบบ Plug-In HYBRID ถึง 4 แบบ:

HYBRID: ระบบจะเน้นใช้มอเตอร์ไฟฟ้าในการขับเคลื่อนให้มากที่สุด ผสมผสานกับเครื่องยนต์เท่าที่จำเป็น หากแบตเตอรี่ต่ำกว่า 20% จะใช้เครื่องยนต์เป็นหลัก และหากเลือกโหมด Sport (S) จะใช้เครื่องยนต์เพียงอย่างเดียว
E-MODE: ขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ไฟฟ้า 100% ได้ถึงความเร็ว 130 กม./ชม. ระยะทางสูงสุด 30 กม. โดยไม่มีการปล่อยไอเสีย เหมาะสำหรับการขับขี่ในเมือง
E-SAVE: ระบบจะรักษาระดับประจุไฟฟ้าในแบตเตอรี่ high-volt ที่มีอยู่เดิมไว้ โดยใช้เครื่องยนต์เป็นหลัก และมอเตอร์ไฟฟ้าทำงานน้อยที่สุด เพื่อให้มีพลังงานไฟฟ้าสำรองไว้ใช้ในภายหลัง เช่น เมื่อต้องเข้าสู่เขตเมืองที่มีการจราจรหนาแน่น
CHARGE: รถยนต์ขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์เพียงอย่างเดียว โดยแบตเตอรี่ high-volt จะถูกรักษาระดับประจุไฟฟ้าให้อยู่ในระดับปานกลาง เพื่อให้เกิดการชาร์จกระแสไฟฟ้าอย่างต่อเนื่อง ทั้งจากการทำงานของเครื่องยนต์และการแปลงพลังงานจลน์จากการชะลอความเร็วหรือการเบรก

นอกจากนี้ ยังมีระบบ Dynamic Select ที่มีโหมดการขับขี่ 5 แบบ คือ Individual, Comfort, Slippery, Sport และ Sport+ เพื่อตอบสนองทุกอารมณ์การขับขี่

ระบบความปลอดภัย Mercedes-Benz Intelligent Drive

Mercedes-Benz GLE 500 e 4MATIC ติดตั้งระบบ Mercedes-Benz Intelligent Drive ซึ่งผสานความสะดวกสบายและความปลอดภัยเข้าไว้ด้วยกัน ประกอบด้วยระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ พร้อมฟังก์ชัน Electronic Traction System 4ETS, ระบบป้องกันก่อนเกิดเหตุ PRE-SAFE system, โปรแกรมควบคุมการทรงตัวอัตโนมัติ ESP, ระบบกันสะเทือน AIRMATIC, ระบบรักษาสมดุลเมื่อมีลมปะทะด้านข้าง Crosswind assist, ระบบเบรก ADAPTIVE BRAKE พร้อมฟังก์ชัน HOLD และ Hill-start Assist, ไฟเบรกกะพริบอัตโนมัติเมื่อเบรกฉุกเฉิน, ระบบเบรก ABS, ระบบป้องกันล้อหมุนฟรี ASR, ระบบช่วยเตือนอาการเหนื่อยล้า ATTENTION ASSIST, ระบบรักษาความเร็ว Cruise Control และจำกัดความเร็ว SPEEDTRONIC, เซ็นเซอร์ช่วยในการนำรถเข้าจอด PARKTRONIC และระบบช่วยการนำรถเข้าจอดอัตโนมัติ Active Parking Assist

ขุมพลังที่ผสานสองโลก

Mercedes-Benz GLE 500 e 4MATIC ขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์เบนซิน V6 เทอร์โบคู่ ความจุ 2,996 ซี.ซี. ให้กำลังสูงสุด 333 แรงม้า และมอเตอร์ไฟฟ้า 116 แรงม้า ผสานกำลังรวมสูงสุด 442 แรงม้า อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ทำได้ใน 5.3 วินาที ความเร็วสูงสุด 245 กม./ชม. จับคู่กับเกียร์อัตโนมัติ 7G-TRONIC PLUS พร้อมระบบเปลี่ยนเกียร์ที่พวงมาลัย แบตเตอรี่ลิเธียม ไอออน ขนาด 8.7 กิโลวัตต์ สามารถชาร์จเต็มได้ภายในประมาณ 4 ชั่วโมง (ไฟบ้าน) ส่งผลให้วิ่งด้วยพลังงานไฟฟ้าอย่างเดียวได้ไกลถึง 30 กิโลเมตร ที่ความเร็วสูงสุด 130 กม./ชม.

ราคาจำหน่าย:

GLE 500 e 4MATIC Exclusive: 4,490,000 บาท
GLE 500 e 4MATIC AMG Dynamic: 4,990,000 บาท

Mercedes-Benz E-Class 2016: ยุคใหม่แห่งซีดานอัจฉริยะ เจเนอเรชั่นที่ 10

ในวงการยานยนต์ระดับพรีเมียม Mercedes-Benz E-Class ถือเป็นหัวใจสำคัญที่ขับเคลื่อนแบรนด์มาอย่างยาวนาน และการเปิดตัว Mercedes-Benz E-Class 2016 เจเนอเรชั่นที่ 10 ในประเทศไทย ณ งาน Motor Show 2016 ถือเป็นการตอกย้ำความเป็น “THE BEST” ของเมอร์เซเดส-เบนซ์ ที่มุ่งมั่นนำเสนอสิ่งที่ดีที่สุดให้กับลูกค้า

นิยามใหม่ของความสง่างามและเทคโนโลยี

ภายใต้กลยุทธ์ “THE BEST” เมอร์เซเดส-เบนซ์ ได้นำเสนอรถยนต์ที่ครอบคลุมเทคโนโลยีใน 3 กลุ่มหลัก ได้แก่ Compact Car, Contemporary Luxury และ Dream Car โดยไฮไลท์สำคัญคือ The New E-Class ซึ่งได้รับการยกย่องให้เป็นสุดยอดซีดานอัจฉริยะในกลุ่ม Contemporary Luxury ด้วยการผสมผสานดีไซน์ตามหลัก Sensual Purity ของเมอร์เซเดส-เบนซ์ เข้ากับเทคโนโลยียนตรกรรมใหม่ล่าสุด ซึ่งเป็นครั้งแรกของโลกในระบบขับขี่อัตโนมัติ ยกระดับมาตรฐานใหม่ให้กับกลุ่มรถยนต์สำหรับนักธุรกิจ

ดีไซน์ภายนอก: เส้นสายที่ทรงพลัง และสง่างาม

E-Class 2016 มาพร้อมมิติตัวถังและฐานล้อที่ยาวและกว้างขึ้น ฝากระโปรงหน้าที่ดูยาว เส้นสายหลังคาที่ออกแบบในสไตล์รถคูเป้ ทอดตัวเป็นเส้นโค้งจรดด้านท้ายของตัวรถ รูปลักษณ์ด้านหลังได้รับการออกแบบให้ซุ้มล้อหลังดูกว้างกว่าซุ้มล้อหน้า เพื่อแสดงเอกลักษณ์ของสมาชิกใหม่ในกลุ่มรถซาลูนของเมอร์เซเดส-เบนซ์ โคมไฟท้ายแบบชิ้นเดียว แบ่งออกเป็นสองส่วนภายในโคม

ภายใน: ความล้ำสมัย และสุนทรียภาพแห่งการขับขี่

จุดเด่นที่สำคัญของ E-Class คือภายในห้องโดยสาร โดยเฉพาะรุ่น Mercedes-Benz E 220 d AMG Dynamic ที่มาพร้อมชุดหน้าจอความละเอียดสูงขนาด 12.3 นิ้ว จำนวน 2 จอ นับเป็นครั้งแรกในเซกเมนต์นี้ เพิ่มสุนทรียภาพในการโดยสารด้วยระบบไฟสร้างบรรยากาศในห้องโดยสารที่ปรับสีได้ถึง 64 สี

ขุมพลังที่ชาญฉลาดและประหยัด

E-Class 2016 มาพร้อมเครื่องยนต์ดีเซล 4 สูบที่พัฒนาขึ้นใหม่ และระบบเกียร์อัตโนมัติ 9G-TRONIC ที่ช่วยให้การเปลี่ยนเกียร์รวดเร็ว ลดแรงเหวี่ยงจากการทำงานของเครื่องยนต์ มอบสมรรถนะการขับขี่ที่นุ่มนวลและมีประสิทธิภาพ โครงสร้างรถที่ได้รับการพัฒนาด้านอากาศพลศาสตร์และมีน้ำหนักเบาลง ส่งผลให้อัตราสิ้นเปลืองน้ำมันต่ำเพียง 25.6 กิโลเมตร/ลิตร และอัตราการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เพียง 102 กรัม/กิโลกรัม (อ้างอิงตามมาตรฐานของสหภาพยุโรป)

รุ่นย่อยและราคาจำหน่าย:

Mercedes-Benz E 220 d Exclusive: ราคาเริ่มต้น 3.99 ล้านบาท
Mercedes-Benz E 220 d AMG Dynamic: ราคาเริ่มต้น 4.49 ล้านบาท

2016 Mitsubishi Outlander: การปรับโฉมครั้งใหญ่ สู่ความสปอร์ตและทันสมัย

แม้ว่าอาจจะไม่ใช่รุ่นที่ทำตลาดในไทยโดยตรง แต่ 2016 Mitsubishi Outlander ถือเป็นรถยนต์อเนกประสงค์ที่ประสบความสำเร็จในตลาดโลก โดยเฉพาะในสหรัฐอเมริกา การเปิดตัวในงาน New York Auto Show 2015 ถือเป็นการปรับโฉมครั้งใหญ่ ที่สะท้อนถึงทิศทางใหม่ของ Mitsubishi ในการพัฒนารถยนต์

ดีไซน์ Dynamic Shield: เอกลักษณ์ใหม่ที่โดดเด่น

การเปลี่ยนแปลงที่เห็นได้ชัดที่สุดของ 2016 Mitsubishi Outlander คือการออกแบบภายนอกภายใต้แนวคิด Dynamic Shield ซึ่งเป็นภาษาการออกแบบใหม่ของ Mitsubishi ทีมออกแบบได้สวมหน้าตาใหม่ให้กับรถ ด้วยกระจังหน้าขนาดใหญ่ที่ดูสปอร์ตขึ้น พร้อมไฟหน้าที่ดูปราดเปรียวขึ้น สวนทางกับบั้นท้ายที่ได้รับการปรับปรุงเล็กน้อย ด้วยการปรับกันชนท้ายใหม่เพิ่มความลงตัว และการสวมล้ออัลลอยขนาด 18 นิ้ว ที่ช่วยเพิ่มความหรูหราภูมิฐาน

ภายในที่ได้รับการยกระดับความสะดวกสบาย

ภายในห้องโดยสาร มีการเปลี่ยนแปลงบางส่วนเพื่อเพิ่มความสะดวกสบายในการใช้งาน พวงมาลัยแบบใหม่ที่เข้ามือมากขึ้น การตกแต่งที่ได้รับการปรับปรุงเล็กน้อย และเบาะนั่งที่ใช้วัสดุคุณภาพสูงขึ้น นอกจากนี้ ยังมาพร้อมระบบความบันเทิงใหม่ และการเก็บเสียงภายในห้องโดยสารที่ดียิ่งขึ้น ด้วยการเปลี่ยนกระจกบังลมหน้าใหม่ และการอัพเกรดวัสดุซับเสียง

ขุมพลังที่หลากหลาย ตอบสนองทุกสไตล์

2016 Mitsubishi Outlander มาพร้อมเครื่องยนต์ 2 รุ่น:

เครื่องยนต์ 2.4 ลิตร 4 สูบ: ให้กำลัง 166 แรงม้า และแรงบิดสูงสุด 219 นิวตันเมตร ส่งกำลังผ่านเกียร์ CVT เพื่อความประหยัด
เครื่องยนต์ V6 3.0 ลิตร: ให้กำลัง 224 แรงม้า และแรงบิด 291 นิวตันเมตร ส่งกำลังผ่านเกียร์อัตโนมัติ 6 สปีด

เทคโนโลยีช่วยเหลือการขับขี่เพื่อความปลอดภัย

นอกจากนี้ ยังมีออปชันช่วยเหลือการขับขี่มากมาย เช่น Forward Collision Mitigation (FCM), Lane Departure Warning (LDW) และ Adaptive Cruise Control (ACC)

แม้จะยังไม่มีการเปิดเผยราคาจำหน่ายอย่างเป็นทางการ แต่คาดว่าเราจะได้เห็นเส้นสายการออกแบบที่คล้ายคลึงกันนี้ใน Mitsubishi Pajero Sport ใหม่ ที่กำลังจะเปิดตัวในอนาคต

Bentley Bentayga 2016: SUV หรูหรา เร็วที่สุดในโลก สู่การส่งมอบสู่ราชวงศ์

ในโลกของยานยนต์ Ultra Luxury Bentley Bentayga 2016 คือนิยามใหม่ของรถ SUV ที่ผสานความหรูหรา สมรรถนะ และความพิเศษเข้าไว้ด้วยกันอย่างลงตัว หลังจากที่รถต้นแบบ Bentley EXP 9 F ได้รับกระแสตอบรับที่หลากหลาย Bentley ก็ยังคงเดินหน้าโครงการรถ SUV ระดับสูงสุดนี้ต่อไป และได้เปิดตัว Bentley Bentayga 2016 ในงาน Frankfurt Motor Show 2015 ด้วยดีไซน์ที่คล้ายคลึงกับ Bentley Flying Spur มากกว่ารถต้นแบบ

ความพิเศษเฉพาะตัว สู่มือองค์ราชินี

Bentley Bentayga คันแรกในประวัติศาสตร์ของแบรนด์ ถูกส่งมอบให้กับ สมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 แห่งสหราชอาณาจักร ซึ่งทรงสั่งซื้อ SUV คันนี้ด้วยพระองค์เอง สะท้อนให้เห็นถึงความพิเศษและเอกลักษณ์ที่ไม่เหมือนใครของ Bentayga ในขณะที่โควตาการผลิต 3,600 คัน สำหรับปีแรก ได้ถูกสั่งจองหมดเป็นที่เรียบร้อยแล้ว บ่งบอกถึงความต้องการอันมหาศาลในตลาดรถยนต์ Ultra Luxury SUV

ดีไซน์ที่ทรงพลังและสง่างาม

Bentayga 2016 นำเสนอดีไซน์ที่ผสมผสานความแข็งแกร่งแบบ SUV เข้ากับความสง่างามของ Bentley ได้อย่างลงตัว เส้นสายที่ดูบึกบึน แต่ยังคงไว้ซึ่งความหรูหรา องค์ประกอบต่างๆ ถูกออกแบบมาอย่างพิถีพิถัน เพื่อสะท้อนถึงสมรรถนะและความพิเศษของรถยนต์รุ่นนี้

ขุมพลังที่เหนือชั้น

Bentley Bentayga 2016 มาพร้อมขุมพลังที่มอบประสบการณ์การขับขี่ที่เหนือระดับ โดยยังคงเอกลักษณ์ของ Bentley ในด้านสมรรถนะที่ยอดเยี่ยม

Honda Civic FC มือสอง: ตัวเลือกสุดฮอต คุ้มค่าทุกการจับจอง

ในตลาดรถยนต์มือสอง Honda Civic FC คือหนึ่งในรุ่นที่ได้รับความนิยมอย่างสูง โดยเฉพาะในประเทศไทย ด้วยดีไซน์ที่โดดเด่น ทันสมัย สมรรถนะที่ยอดเยี่ยม และความคุ้มค่า ทำให้ Civic FC กลายเป็นขวัญใจของใครหลายคน

ทำไม Honda Civic FC มือสอง ถึงน่าสนใจ?

Honda Civic FC ที่เปิดตัวในไทย ได้รับการตอบรับอย่างล้นหลาม มียอดจองทะลุ 15,000 คันภายใน 4 เดือน สะท้อนถึงความต้องการที่สูง ตัวรถมาในรูปแบบซีดาน 4 ประตู ที่ผสมผสานความเท่ หรูหรา และสมรรถนะได้อย่างลงตัว

เจาะลึก 4 รุ่นย่อย: ข้อดี-ข้อเสีย ที่ควรรู้

Honda Civic FC 1.5 Turbo RS มือสอง (ราคาเริ่มต้น 568,000 บาท)

ข้อดี:
เครื่องยนต์ 1.5 ลิตร Turbo ให้กำลังสูงสุด 173 แรงม้า แรงบิด 220 นิวตันเมตร เหนือกว่าคู่แข่งในกลุ่ม C-Segment
ภายในกว้างขวาง หรูหรากว่าเดิม
อัตราเร่งช่วงต้นดีเยี่ยม เหมาะกับการขับในเมือง
พื้นที่เก็บสัมภาระด้านหลังกว้างขวาง
ล้ออัลลอย 17 นิ้ว สีรมดำ, เสาอากาศครีบฉลาม, การตกแต่งภายในด้วยด้ายแดง, สัญลักษณ์ RS, และ Honda SENSING ครบครัน
ข้อเสีย:
ค่าบำรุงรักษาสูงกว่ารุ่น 1.8 เนื่องจากเป็นเครื่องยนต์เทอร์โบ
เครื่องยนต์มีโอกาสเสียหายมากกว่าหากใช้งานหนัก
เกียร์ CVT อาจมีอายุการใช้งานสั้นกว่า
อัตราเร่งช่วงกลาง-ปลาย ไม่เร้าใจเท่าช่วงออกตัว
ราคาสูงที่สุดในตระกูล FC

Honda Civic FC 1.5 Turbo มือสอง (ราคาเริ่มต้น 528,000 บาท)

ข้อดี:
สมรรถนะเครื่องยนต์ 1.5 ลิตร Turbo 173 แรงม้า แรงบิด 220 นิวตันเมตร
ดีไซน์สปอร์ต ทรงคูเป้
ภายในโปร่งโล่ง นั่งสบาย
ประหยัดน้ำมันกว่ารุ่น 1.8
อาการ Turbo Lag น้อย อัตราเร่งช่วงต้นดี
ระบบ Auto Brake Hold, สตาร์ตรถด้วยรีโมต
ล้ออัลลอย 17 นิ้ว สีรมดำ
ข้อเสีย:
ค่าบำรุงรักษาสูงกว่ารุ่น 1.8
เครื่องยนต์มีโอกาสเสียหายมากกว่า
เกียร์ CVT อาจมีอายุการใช้งานสั้น
อัตราเร่งช่วงกลาง-ปลาย ไม่เร้าใจเท่าช่วงออกตัว
ราคาสูงกว่ารุ่น 1.8

Honda Civic FC 1.8 EL i-VTEC มือสอง (ราคาเริ่มต้น 490,000 บาท)

ข้อดี:
เครื่องยนต์ 1.8 ลิตร ทนทาน กวาดรอบสนุก
ค่าบำรุงรักษาถูกกว่าเครื่องเทอร์โบ
ออปชันมากกว่ารุ่น 1.8 E (Honda LaneWatch, Rain Sensor, กระจกมองข้างพับอัตโนมัติ)
รองรับน้ำมัน E85
ราคาถูกกว่าเครื่อง 1.5 Turbo
ข้อเสีย:
ปรับแต่งยากกว่าเครื่องเทอร์โบ
ประหยัดน้ำมันน้อยกว่าเครื่องเทอร์โบ
ล้ออัลลอย 16 นิ้ว เล็กกว่าเครื่องเทอร์โบ
ราคาสูงกว่ารุ่น 1.8 E เล็กน้อย

Honda Civic FC 1.8 E i-VTEC มือสอง (ราคาเริ่มต้น 497,000 บาท)

ข้อดี:
เครื่องยนต์ 1.8 ลิตร ทนทาน ขับขี่ได้ทั้งในเมืองและนอกเมือง
ค่าบำรุงรักษาถูก
มี Rain Sensor, กระจกมองข้างพับอัตโนมัติ
รองรับน้ำมัน E85
ราคาถูกที่สุดในตระกูล FC
ข้อเสีย:
ปรับแต่งยาก
ประหยัดน้ำมันน้อยกว่าเครื่อง 1.5 Turbo
ล้ออัลลอย 16 นิ้ว เล็กกว่าเครื่องเทอร์โบ
ออปชันและระบบความปลอดภัยน้อยกว่ารุ่นอื่น

การเลือก Honda Civic FC มือสอง ขึ้นอยู่กับความต้องการและงบประมาณ หากต้องการสมรรถนะสูงสุด รุ่น 1.5 Turbo RS คือคำตอบ แต่หากเน้นความคุ้มค่า ทนทาน และประหยัดค่าบำรุงรักษา รุ่น 1.8 ก็เป็นตัวเลือกที่น่าสนใจ

หากท่านกำลังมองหารถยนต์ที่ใช่ ค้นหารถยนต์ Honda Civic FC มือสองคุณภาพดี พร้อมข้อเสนอสุดพิเศษได้ที่นี่

Previous Post

N0201074 เพ อนร กเห นเเก part2

Next Post

N0201057 อย าล มกล บบ านก อนท เวลาของพ อแม จะหมดลง part2

Next Post
N0201057 อย าล มกล บบ านก อนท เวลาของพ อแม จะหมดลง part2

N0201057 อย าล มกล บบ านก อนท เวลาของพ อแม จะหมดลง part2

Leave a Reply Cancel reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *

Recent Posts

  • N0101001 ณหมอแอบแซบก บพยาบาล งๆท เขาก แฟนเป นพยาบาลเหม อนก part2
  • N0101017 แม านก บค ณนายม แฟนเป นคนเด ยวก แบบน จะทำไงต part2
  • N0101007 ให พน กงานใส แพมเพ สทำงาน และห ามใครไปเข าห องน part2
  • N0101015 กโทษหญ งหน ดวงซวยด นไปฉ หล งรถตำรวจ แต เธอขอไปเจอคนๆน part2
  • N0101006 ชายคนน เส ยความทรงจำ จนเขาไม าสองคนน ใครค อแฟนของเขา part2

Recent Comments

No comments to show.

Archives

  • December 2025
  • November 2025
  • October 2025
  • September 2025
  • August 2025

Categories

  • Uncategorized

© 2025 JNews - Premium WordPress news & magazine theme by Jegtheme.

No Result
View All Result

© 2025 JNews - Premium WordPress news & magazine theme by Jegtheme.