Honda Civic Type R 2020: วิวัฒนาการแห่งสมรรถนะและการออกแบบ
ในโลกของยานยนต์สมรรถนะสูง, Honda Civic Type R ไม่เคยหยุดนิ่งที่จะพัฒนา และสำหรับรุ่นปี 2020, การเปลี่ยนแปลงนี้บ่งบอกถึงความใส่ใจในรายละเอียดที่เหนือกว่าที่เคยมีมา ในฐานะผู้คร่ำหวอดในวงการยานยนต์มานานกว่าทศวรรษ ผมมองเห็นถึงความตั้งใจของ Honda ในการยกระดับรถยนต์คันนี้ให้เป็นที่หนึ่งในใจของผู้รักความเร็ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่ม Honda Civic Type R ราคา ที่ยังคงเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจ
สิ่งที่ดึงดูดสายตาเป็นอันดับแรกคือการปรับดีไซน์กระจังหน้าใหม่ ให้มีขนาดใหญ่ขึ้นอย่างเห็นได้ชัด แม้บางคนอาจมองว่าดูเทอะทะไปบ้าง แต่ผมมองว่ามันคือการผสมผสานระหว่างสุนทรียศาสตร์และการใช้งานจริง การเพิ่มสี ‘Boost Blue’ อันเป็นเอกลักษณ์เฉพาะสำหรับ Type R นั้น เป็นการเสริมเสน่ห์ให้รถดูโดดเด่นยิ่งขึ้น กระจังหน้าที่ใหญ่ขึ้นนี้ไม่ได้มีไว้เพื่อความสวยงามเท่านั้น แต่ยังทำหน้าที่สำคัญในการเพิ่มการไหลเวียนของอากาศ เพื่อระบายความร้อนให้กับเครื่องยนต์ได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด ซึ่งเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งสำหรับรถยนต์สมรรถนะสูงอย่าง Honda Civic Type R 2020
Honda ได้ให้คำมั่นสัญญาว่าจะปรับปรุงภายในห้องโดยสารให้ดียิ่งขึ้น และจากการสัมผัสจริง ผมพบว่าการเปลี่ยนแปลงนั้นแม้จะดูเล็กน้อย แต่กลับส่งผลต่อประสบการณ์การขับขี่อย่างมีนัยสำคัญ การอัพเกรดระบบเบรกให้มีความแข็งแกร่งยิ่งขึ้น ช่วยเพิ่มความมั่นใจในการหยุดรถได้อย่างฉับพลัน ในขณะที่การปรับแต่งช่วงล่างนั้น ได้รับการปรับจูนมาเพื่อมอบความสบายในการขับขี่ในชีวิตประจำวันมากขึ้น นี่คือการบ้านที่ Honda ทำมาเพื่อตอบโจทย์ผู้ใช้งานที่ต้องการรถยนต์ที่สามารถใช้งานได้หลากหลาย ไม่ใช่แค่ในสนามแข่งเท่านั้น
แต่เดิมที ปัญหาเรื่องประสิทธิภาพเบรกหรือความสบายของช่วงล่างใน Honda Civic Type R 2020 ก็ไม่ใช่ประเด็นที่น่ากังวลนัก เบรกของ Type R นั้นทรงพลังอยู่แล้ว และช่วงล่างก็มีความยืดหยุ่นพอสมควรที่จะรองรับการขับขี่ในชีวิตประจำวันได้ หากปรับให้อยู่ในโหมดที่นุ่มนวล อย่างไรก็ตาม Honda ก็ยังคงรับฟังความคิดเห็นของผู้บริโภค และได้ตระหนักถึงความต้องการของแฟนๆ ที่อาจไม่ชื่นชอบเสียงที่มาจากการจำลอง หรือต้องการความรู้สึกที่เป็นธรรมชาติมากขึ้น
เครื่องยนต์ Honda Civic Type R 2020: พลังที่ไร้การประนีประนอม
หัวใจสำคัญที่ทำให้ Civic Type R เป็นตำนาน ก็คือเครื่องยนต์อันทรงพลัง และสำหรับรุ่นปี 2020 นี้ Honda เลือกที่จะไม่เปลี่ยนแปลงเครื่องยนต์เบนซินเทอร์โบ 4 สูบ ขนาด 2.0 ลิตรที่ให้กำลัง 316 แรงม้า และแรงบิด 295 ปอนด์-ฟุต อันเป็นที่ยอมรับในวงกว้าง ระบบส่งกำลังยังคงเป็นเกียร์ธรรมดา 6 สปีด พร้อมเฟืองท้ายแบบ Limited Slip Differential (LSD) ที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการเข้าโค้งได้อย่างยอดเยี่ยม
เพื่อตอบสนองความต้องการของตลาดที่แตกต่างกัน รถ Honda Civic Type R สหรัฐอเมริกา จะได้รับการปรับอัตราทดเกียร์ให้สั้นลงกว่าเดิมเล็กน้อย เพื่อเพิ่มอัตราเร่งให้จัดจ้านยิ่งขึ้น ในขณะที่พวงมาลัยจะถูกหุ้มด้วยหนัง Alcantara เช่นเดียวกับรุ่นที่วางจำหน่ายในสหราชอาณาจักร ซึ่งเป็นรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ที่เพิ่มความหรูหราและสัมผัสที่สปอร์ตให้ห้องโดยสารมากขึ้น
การเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ สะท้อนให้เห็นถึงปรัชญาของ Honda ที่ว่า “The Power of Dreams” ซึ่งพวกเขาพยายามส่งมอบความฝันของนักขับให้เป็นจริง ผ่านเทคโนโลยีและนวัตกรรมที่ไม่หยุดนิ่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมองไปที่ Honda Civic Type R มือสอง ในอนาคต รถรุ่นนี้จะเป็นที่ต้องการของนักสะสมและผู้ที่ชื่นชอบรถยนต์สมรรถนะสูงอย่างแน่นอน
Mitsubishi Xpander Cross 2020: พลกำลังที่พร้อมลุยทุกเส้นทาง
ตลาดรถยนต์อเนกประสงค์ขนาดเล็กในประเทศไทยยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง และ Mitsubishi ได้เข้ามาเติมเต็มความต้องการของตลาดด้วยการเปิดตัว Mitsubishi Xpander Cross 2020 ที่พร้อมลุยตลาดไทยอย่างเป็นทางการ ในช่วงเดือนมีนาคมที่ผ่านมา การมาถึงของ Mitsubishi Xpander Cross ราคา ในไทยครั้งนี้ ถือเป็นการตอกย้ำความนิยมของรถยนต์กลุ่ม Mini MPV 7 ที่นั่ง ที่ผสานความเป็นรถ MPV และ SUV เข้าไว้ด้วยกันได้อย่างลงตัว
Mitsubishi Xpander นั้นเป็นที่รู้จักในฐานะรถยนต์ครอบครัวที่สามารถตอบโจทย์การใช้งานได้อย่างอเนกประสงค์ ด้วยการออกแบบที่ผสมผสานความสะดวกสบายของ MPV เข้ากับความแข็งแกร่งบึกบึนสไตล์ SUV การเพิ่มรุ่น Xpander Cross นี้ จึงเป็นการต่อยอดความสำเร็จของ Xpander เดิม ให้มีความดุดันและพร้อมลุยมากยิ่งขึ้น
หลังจากที่เปิดตัวอย่างประสบความสำเร็จในประเทศอินโดนีเซีย Mitsubishi ได้ประกาศชัดเจนว่า Xpander Cross จะเข้ามาทำตลาดในกลุ่มประเทศอาเซียน รวมถึงประเทศไทย การมาถึงของรถยนต์คันนี้ในเดือนมีนาคม ทำให้ตลาด Mini MPV มีสีสันและความน่าสนใจมากยิ่งขึ้น
Mitsubishi Xpander เอง ก็ได้รับความนิยมในประเทศไทยอย่างต่อเนื่อง ด้วยยอดขายที่น่าประทับใจ การผสมผสานระหว่างดีไซน์ที่ทันสมัย ฟังก์ชันการใช้งานที่ครบครัน และที่สำคัญคือ Mitsubishi Xpander Cross ราคา ที่เข้าถึงง่าย ทำให้รถรุ่นนี้เป็นตัวเลือกอันดับต้นๆ ของครอบครัวชาวไทย
Mitsubishi Xpander Cross 2020: สัมผัสใหม่แห่งความแกร่ง
ภายนอกของ Mitsubishi Xpander Cross 2020 ได้รับการปรับเปลี่ยนอย่างชัดเจน เพื่อเสริมบุคลิกให้ดูพร้อมลุยยิ่งขึ้น ชุดแต่งรอบคันถูกออกแบบใหม่ทั้งหมด ตั้งแต่กันชนหน้า-หลัง ที่มีดีไซน์ที่แข็งแกร่งขึ้น กระจังหน้าแบบใหม่ที่มาพร้อมไฟ LED และไฟตัดหมอก LED คิ้วล้อสีดำเข้ม สัญลักษณ์ XPANDER CROSS ที่ฝากระโปรงหน้า และเสาอากาศแบบครีบฉลาม เพิ่มความสปอร์ตและทันสมัย ล้ออัลลอยลายใหม่ 5 ก้าน ขนาด 17 นิ้ว สีทูโทน ยิ่งช่วยเสริมภาพลักษณ์ให้ดูโดดเด่น
สิ่งที่น่าประทับใจที่สุดคือ การเพิ่มระยะความสูงใต้ท้องรถขึ้นอีก 20 มิลลิเมตร ส่งผลให้มีความสูงใต้ท้องรถรวม 225 มิลลิเมตร ซึ่งทำให้ Xpander Cross ดูพร้อมที่จะพาคุณออกไปผจญภัยในทุกสภาพเส้นทาง
ภายในห้องโดยสารของ Mitsubishi Xpander Cross ได้รับการยกระดับความหรูหราและความทันสมัย ด้วยการตกแต่งแบบ DUAL TONE สีน้ำตาล-ดำ ตั้งแต่แผงคอนโซลหน้า จนถึงชุดเบาะหนัง การเปลี่ยนหน้าจอสัมผัสจาก 6.2 นิ้ว เป็น 7 นิ้ว ก็ช่วยเพิ่มความสะดวกในการใช้งานฟังก์ชันต่างๆ มากขึ้น
ในด้านมิติตัวถัง Xpander Cross มีการขยายขนาดให้ใหญ่ขึ้นกว่ารุ่นปกติเล็กน้อย คือ ยาวขึ้น 25 มิลลิเมตร กว้างขึ้น 50 มิลลิเมตร และสูงขึ้น 50 มิลลิเมตร ซึ่งส่งผลให้ห้องโดยสารมีความกว้างขวางและโปร่งสบายยิ่งขึ้น
ขุมพลังที่ไว้ใจได้: Mitsubishi Xpander Cross 2020
สำหรับ Mitsubishi Xpander Cross 2020 ยังคงเลือกใช้เครื่องยนต์เบนซิน MIVEC DOHC 16 วาล์ว ขนาด 1.5 ลิตร ที่ให้กำลังสูงสุด 105 แรงม้า และแรงบิดสูงสุด 141 นิวตันเมตร ที่ 4,000 รอบต่อนาที จับคู่กับระบบส่งกำลังที่มีให้เลือกทั้งแบบเกียร์อัตโนมัติ 4 สปีด และเกียร์ธรรมดา 5 สปีด แม้ว่าตัวเลขแรงม้าอาจไม่สูงมากนัก แต่ด้วยน้ำหนักตัวที่ค่อนข้างเบาและสมรรถนะที่ตอบสนองได้ดีตามแบบฉบับ Mitsubishi ทำให้ Xpander Cross เป็นรถครอบครัวที่ขับขี่ได้อย่างสนุกสนานและประหยัดน้ำมัน
การมาถึงของ Mitsubishi Xpander Cross ในประเทศไทย ถือเป็นการเพิ่มทางเลือกที่น่าสนใจให้กับตลาดรถยนต์ครอบครัวขนาดเล็ก ที่มองหารถยนต์ที่มีดีไซน์โดดเด่น ฟังก์ชันครบครัน และความสามารถในการขับขี่ที่พร้อมลุยทุกสภาพถนน
New Mercedes-Benz E-Class 2020: นิยามใหม่แห่งความหรูหราและเทคโนโลยี
Mercedes-Benz E-Class ในเจนเนอเรชั่นที่ 10 รหัส W213 ได้รับการปรับปรุงโฉมไมเนอร์เชนจ์ครั้งใหญ่ในปี 2020 ซึ่งเป็นการยกระดับความหรูหรา เทคโนโลยี และสมรรถนะให้ก้าวล้ำไปอีกขั้น สำหรับตลาดประเทศไทย การมาถึงของ New Mercedes-Benz E-Class 2020 ถือเป็นอีกหนึ่งก้าวสำคัญของแบรนด์ในเซกเมนต์รถยนต์พรีเมียมซีดาน
ภายนอก New Mercedes-Benz E-Class 2020: ความสง่างามที่สืบทอด
การออกแบบภายนอกของ New Mercedes-Benz E-Class 2020 ยังคงรักษาเอกลักษณ์อันโดดเด่นของ Mercedes-Benz ด้วยกระจังหน้าขนาดใหญ่ที่ประดับด้วยดาวสามแฉกอันเป็นสัญลักษณ์ การปรับเปลี่ยนที่สำคัญคือการใช้ไฟหน้าแบบ All-LED และไฟท้ายที่ได้รับการออกแบบใหม่ให้ดูโฉบเฉี่ยวทันสมัยยิ่งขึ้น กันชนหลังก็ได้รับการปรับดีไซน์ให้ดูสปอร์ตและลงตัวมากขึ้น ล้ออัลลอยมีลายใหม่ให้เลือกหลากหลาย โดยเฉพาะลาย Aero ที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการรีดลมได้ดียิ่งขึ้น เส้นสายของตัวถังมีความคมชัดและมีมิติมากขึ้น เพิ่มความรู้สึกสง่างามและทรงพลัง
ภายใน New Mercedes-Benz E-Class 2020: ความประณีตที่สัมผัสได้
ห้องโดยสารของ New Mercedes-Benz E-Class 2020 ได้รับการปรับปรุงให้มีความประณีตและหรูหรายิ่งขึ้นไปอีก การเลือกใช้วัสดุตกแต่งมีให้เลือกหลากหลาย ตั้งแต่หนังคุณภาพสูง สีใหม่ๆ ลายไม้ที่สวยงาม ไปจนถึงคาร์บอนไฟเบอร์และอะลูมิเนียม เพื่อตอบสนองรสนิยมของลูกค้าแต่ละราย ระบบ ENERGIZING Control อันเป็นเอกลักษณ์ ช่วยสร้างบรรยากาศที่ผ่อนคลายภายในห้องโดยสาร ด้วยการควบคุมแสง เสียง อุณหภูมิ และตำแหน่งเบาะนั่ง
พวงมาลัยมีให้เลือกสามแบบ คือ หุ้มหนังล้วน, แบบกึ่งหนัง-กึ่งไม้, และแบบ Supersport เพื่อมอบประสบการณ์การขับขี่ที่แตกต่างกัน ระบบสั่งการด้วยเสียง MBUX ยังคงเป็นหัวใจสำคัญของการทำงานภายในห้องโดยสาร มาพร้อมหน้าจอแสดงผลคู่ขนาด 10.25 หรือ 12.3 นิ้ว ที่สามารถปรับเปลี่ยนรูปแบบการแสดงผลได้สามแบบ คือ Modern Classic, Sport, และ Progressive/Discreet
ขุมพลัง New Mercedes-Benz E-Class 2020: หลากหลายทางเลือกเพื่อทุกการขับขี่
New Mercedes-Benz E-Class 2020 นำเสนอขุมพลังที่หลากหลาย ครอบคลุมทั้งเครื่องยนต์เบนซิน ดีเซล และ Plug-in Hybrid รวม 7 แบบ ตั้งแต่เครื่องยนต์ 4 สูบ ไปจนถึง 6 สูบ
เครื่องยนต์เบนซิน: มีพละกำลังตั้งแต่ 156 ถึง 367 แรงม้า
เครื่องยนต์ดีเซล: มีพละกำลังตั้งแต่ 160 ถึง 330 แรงม้า
E 350 (เครื่องยนต์เบนซิน): ขนาด 1,999 ซีซี. 4 สูบ เทอร์โบ ให้กำลังสูงสุด 255 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 370 นิวตันเมตร จับคู่กับเกียร์อัตโนมัติ 9G-TRONIC 9 จังหวะ สามารถเลือกระบบขับเคลื่อนล้อหลัง หรือ 4MATIC ระบบขับเคลื่อนสี่ล้อ ความเร็วสูงสุดจำกัดที่ 210 กิโลเมตร/ชั่วโมง
E 350 4MATIC (Plug-in Hybrid): เครื่องยนต์เบนซิน 1,999 ซีซี. 4 สูบ เทอร์โบ พร้อมระบบ Plug-in Hybrid 90kW และ ISG ให้กำลังสูงสุดทั้งระบบ 315 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 700 นิวตันเมตร จับคู่กับเกียร์อัตโนมัติ 9G-TRONIC 9 จังหวะ ขับเคลื่อนล้อหลัง ความเร็วสูงสุดจำกัดที่ 210 กิโลเมตร/ชั่วโมง
AMG E 53 4MATIC+: เครื่องยนต์ 6 สูบ ขนาด 2,999 ซีซี. เทอร์โบ ให้กำลังสูงสุด 435 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 520 นิวตันเมตร จับคู่กับเกียร์อัตโนมัติ AMG SPEEDSHIFT TCT 9G 9 จังหวะ ขับเคลื่อนสี่ล้อ AMG Performance 4MATIC+ อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ใน 4.5 วินาที (Saloon) และ 4.6 วินาที (Estate) ความเร็วสูงสุดจำกัดที่ 250 กม./ชม. (สามารถปลดล็อคได้ถึง 270 กม./ชม. เมื่อติดตั้ง AMG Driver’s Package)
เครื่องยนต์ดีเซล: แบบ 4 สูบ (OM654) และ 6 สูบแถวเรียง (OM656) ติดตั้งระบบ ISG พร้อมระบบไฟฟ้า 48 โวลต์ เพิ่มกำลังจากเครื่องยนต์ 20 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 180 นิวตันเมตร
New Mercedes-Benz E-Class 2020 ได้รับการเปิดตัวในประเทศไทยอย่างเป็นทางการ พร้อมตัวถัง Saloon และ Estate โดยคาดว่าจะเริ่มส่งมอบในไตรมาสที่สามของปี การมาถึงของรุ่นปรับปรุงใหม่นี้ ตอกย้ำความเป็นผู้นำในตลาดรถยนต์พรีเมียมซีดาน ด้วยการผสมผสานที่ลงตัวระหว่างความหรูหรา เทคโนโลยีล้ำสมัย และสมรรถนะอันยอดเยี่ยม
Honda Jazz 2020: การปรับโฉมครั้งใหญ่ สู่ความสปอร์ตที่เหนือกว่า
Honda Jazz รถแฮทช์แบ็กพรีเมียมขนาดเล็กที่ได้รับความนิยมมายาวนาน ได้รับการเผยโฉมโฉมใหม่ในงาน Tokyo Motor Show ช่วงปลายเดือนตุลาคม 2019 การมาถึงของ Honda Jazz 2020 ถือเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญ ที่จะยกระดับประสบการณ์การขับขี่และความน่าสนใจของรถยนต์รุ่นนี้ให้สูงขึ้นไปอีกขั้น
ดีไซน์ภายนอก Honda Jazz 2020: สปอร์ต โฉบเฉี่ยว ทันสมัย
จากภาพที่ถูกจับภาพขณะทดสอบวิ่งบนถนนจริงในยุโรปและอเมริกาเหนือ เผยให้เห็นการออกแบบของ Honda Jazz 2020 ที่ยังคงเน้นความสปอร์ต แต่ได้รับการปรับปรุงให้มีความทันสมัยมากยิ่งขึ้น แม้จะมีการพรางตัวถังอย่างหนาแน่น แต่ก็ยังพอจะมองเห็นรูปทรงโดยรวม ไฟหน้าแบบ LED พร้อม Daytime Running Light ที่ดูเฉียบคม
โครงสร้างโดยรวมยังคงความคล้ายคลึงกับรุ่นก่อนหน้า แต่มีการปรับเปลี่ยนรายละเอียดช่วงเสา C ไปจนถึงส่วนท้ายรถ ไฟท้ายได้รับการออกแบบใหม่ให้เป็นแนวนอนกินพื้นที่เข้าไปในฝากระโปรงท้าย ซึ่งอาจจะให้อารมณ์คล้ายคลึงกับรุ่นพี่อย่าง Accord และ Civic ในส่วนของท้ายรถ
รถทดสอบบางคันมีราวหลังคาติดตั้งมาด้วย ซึ่งช่วยเสริมภาพลักษณ์ให้ดูบึกบึนและมีมิติมากขึ้น ความยาวของ Honda Jazz 2020 อยู่ที่ประมาณ 3,990 มิลลิเมตร ซึ่งยาวกว่ารุ่นที่เปิดตัวในอินเดียเล็กน้อย และมีข่าวว่ารุ่นใหม่นี้จะมีความกว้างเพิ่มขึ้นอีกด้วย ส่งผลให้พื้นที่ภายในห้องโดยสารมีความโปร่งสบายมากยิ่งขึ้น
ภายใน Honda Jazz 2020: สะดวกสบายและทันสมัย
การซูมภาพเข้าไปในห้องโดยสาร เผยให้เห็นการออกแบบคอนโซลกลางใหม่ ที่ดูเรียบง่ายแต่ทันสมัย และน่าจะมาพร้อมกับฟังก์ชันการใช้งานที่สะดวกสบายมากขึ้น การปรับปรุงภายในห้องโดยสารนี้ จะช่วยเพิ่มความน่าดึงดูดให้กับ Honda Jazz 2020 ในกลุ่มรถยนต์พรีเมียมแฮทช์แบ็ก
Honda Jazz 2020 รุ่นใหม่นี้ จึงเป็นการตอกย้ำความตั้งใจของ Honda ในการพัฒนารถยนต์ที่ตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคในยุคปัจจุบันได้อย่างลงตัว ด้วยการผสมผสานดีไซน์ที่น่าดึงดูด ฟังก์ชันการใช้งานที่ครบครัน และสมรรถนะที่ไว้ใจได้
Lamborghini Huracan EVO: อัศวินแห่งอิตาลี สู่ขีดสุดแห่งสมรรถนะ
Lamborghini ได้สร้างปรากฏการณ์อีกครั้งด้วยการเปิดตัว Huracan รุ่นใหม่ล่าสุด ในชื่อ “EVO” ซึ่งได้รับการยกระดับสมรรถนะ เทคโนโลยี และการออกแบบให้เหนือกว่าที่เคยมีมา การมาถึงของ Lamborghini Huracan EVO ราคา ในไทย จะเป็นบทพิสูจน์ถึงความมุ่งมั่นของแบรนด์กระทิงดุในการก้าวข้ามขีดจำกัดของรถยนต์ซูเปอร์คาร์
Aerodynamics ที่เหนือชั้น: ก้าวข้ามแรงโน้มถ่วง
การปรับปรุงภายนอกของ Lamborghini Huracan EVO มุ่งเน้นไปที่การเพิ่มประสิทธิภาพด้านอากาศพลศาสตร์อย่างถึงขีดสุด ตั้งแต่กันชนหน้าที่มีลิ้นหน้าทรงปีกช่วยเพิ่มการไหลของอากาศ ช่องดักลมทรง Y อันเป็นเอกลักษณ์ของแบรนด์ ล้อดีไซน์ใหม่ และช่องดักลมด้านข้างตัวรถ ล้วนได้รับการออกแบบมาเพื่อรีดอากาศให้ไหลผ่านตัวรถได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด
ส่วนท้ายรถได้รับการออกแบบให้โดดเด่นยิ่งขึ้น ปลายท่อไอเสียคู่ถูกยกตำแหน่งให้สูงขึ้นบนกันชนหลัง พร้อมติดตั้งสปอยเลอร์เพื่อเพิ่มแรงกดดาวน์ฟอร์ซ การออกแบบตัวถังของ Huracan EVO นี้ ช่วยเพิ่มแรงกดดาวน์ฟอร์ซได้สูงถึงห้าเท่าเมื่อเทียบกับ Huracan รุ่นแรก
“Lamborghini มุ่งมั่นที่จะเป็นผู้นำด้านเทคโนโลยีของรถซูเปอร์สปอร์ตและการขับขี่ในระดับสูงสุด” Stefano Domenicali CEO ของ Lamborghini กล่าว “Huracan EVO ใหม่ ได้นำเอาสมรรถนะที่เหนือชั้นของ Huracan Performante มาผสานเข้ากับการควบคุมแบบไดนามิกคอนโทรล เพื่อยกระดับประสบการณ์การขับขี่ Huracan ในทุกๆ วัน”
ห้องโดยสารสุดล้ำ: ผสานความหรูหราและเทคโนโลยี
ภายในห้องโดยสารของ Lamborghini Huracan EVO ตกแต่งด้วยเบาะหนัง Alcantara และวัสดุคุณภาพสูง พร้อมรายละเอียดสี Arancio Dryope ที่รับกับภายนอกแบบ Arancio Xanto ลูกค้าสามารถเลือกใช้วัสดุ Carbon Forged Composites และ Carbon Skin อันเป็นสิทธิบัตรของ Lamborghini เพื่อเพิ่มความพิเศษ รวมถึงระบบไฟ Ambient Light ภายในห้องโดยสารที่สามารถปรับได้
เทคโนโลยีภายในห้องโดยสารมาพร้อมหน้าจอสัมผัสขนาด 8.4 นิ้ว ในคอนโซลกลาง รองรับการสัมผัสหลายนิ้ว พร้อมระบบ Apple CarPlay, ระบบสมาร์ทโฟนในตัว, การเชื่อมต่อดาวเทียม, วิทยุออนไลน์, ฮาร์ดดิสก์ความจุสูง และกล้องคู่แบบวัดระยะทาง
สมรรถนะสุดเร้าใจ: ขุมพลัง V10 ที่ไร้ที่ติ
หัวใจของ Lamborghini Huracan EVO คือเครื่องยนต์ V10 ขนาด 5.2 ลิตร ให้กำลังสูงสุด 631 แรงม้า ที่ 8,000 รอบต่อนาที และแรงบิดสูงสุด 442 ปอนด์-ฟุต ที่ 6,500 รอบต่อนาที ด้วยน้ำหนักตัวที่เบาเพียง 1,422 กิโลกรัม ทำให้มีอัตราส่วนน้ำหนักต่อแรงม้าที่น่าทึ่ง อัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ทำได้ภายใน 2.9 วินาที และ 0-200 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ใช้เวลาเพียง 9.0 วินาที ระยะเบรกจาก 100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง จนรถหยุดนิ่ง ใช้เวลาเพียง 31.9 เมตร ความเร็วสูงสุดของ Huracan EVO มากกว่า 325 กิโลเมตรต่อชั่วโมง
เทคโนโลยี Lamborghini Dinamica Veicolo Integrata (LDVI): หัวใจแห่งการควบคุม
จุดเด่นสำคัญของ EVO คือเทคโนโลยี Lamborghini Dinamica Veicolo Integrata (LDVI) ซึ่งเป็นหน่วยประมวลผลกลางที่ควบคุมการทำงานทุกมิติของรถ โดยได้รับการสนับสนุนจาก Lamborghini Piattaforma Inzerziale (LPI) ซึ่งเป็นหน่วยควบคุมการเร่งและเซ็นเซอร์ไจโรสโคปที่อยู่บริเวณศูนย์ถ่วงของรถ
ระบบขับเคลื่อนล้อหลัง ระบบควบคุมล้อทั้ง 4 ระบบช่วงล่างแบบ Active Magnetorheological ระบบควบคุม Traction Control ที่ล้ำสมัย ระบบขับเคลื่อนสี่ล้อ และการตอบสนองของพวงมาลัย ล้วนได้รับการปรับปรุงให้ดียิ่งขึ้น เพื่อมอบประสบการณ์การขับขี่ที่เฉียบคมและแม่นยำ
Lamborghini Huracan EVO คือนิยามใหม่ของซูเปอร์คาร์ ที่ผสมผสานความดิบเถื่อนของเครื่องยนต์ V10 เข้ากับเทคโนโลยีอันล้ำสมัย เพื่อมอบประสบการณ์การขับขี่ที่น่าตื่นเต้นและเหนือชั้นในทุกสถานการณ์
Honda City e:HEV: ก้าวสู่อนาคตแห่งยนตรกรรมไฮบริดประหยัดพลังงาน
Honda City e:HEV คือหนึ่งในผลงานชิ้นโบว์แดงจาก Honda ที่นำเสนอเทคโนโลยี Full Hybrid ในพิกัด B-Segment โดยมีให้เลือกทั้งในรูปแบบเก๋ง Sedan 4 ประตู และ Hatchback 5 ประตู การมาถึงของ Honda City e:HEV ราคา ในประเทศไทย เป็นการเปิดมิติใหม่ของรถยนต์ Eco Car ที่มอบทั้งสมรรถนะที่น่าประทับใจและความประหยัดน้ำมันที่ยอดเยี่ยม
Honda City e:HEV: ทางเลือกที่ชาญฉลาด
Honda City e:HEV มีให้เลือกเฉพาะในโฉมปัจจุบันที่เปิดตัวมาตั้งแต่ปี 2020 และได้รับการปรับปรุง Minor Change ในเดือนสิงหาคม 2024 โดยเพิ่มรุ่นย่อยเครื่องยนต์ Hybrid ให้มากขึ้น สำหรับรุ่นปี 2024 รุ่น SV e:HEV มีราคาเริ่มต้นที่ 729,000 บาท และรุ่น RS e:HEV ราคา 799,000 บาท
มิติตัวถัง Honda City e:HEV:
ความยาว: 4,580 – 4,589 มม.
ความกว้าง: 1,748 มม.
ความสูง: 1,467 – 1,480 มม.
ความยาวฐานล้อ: 2,589 มม.
ระยะต่ำสุดใต้ท้องรถ: 134 – 147 มม.
ความจุถังน้ำมัน: 40 ลิตร
น้ำหนักรถ: e:HEV SV 1,224 กก., e:HEV RS 1,232 กก.
เครื่องยนต์ Honda City e:HEV: พลังไฮบริดที่เหนือกว่า
หัวใจของ Honda City e:HEV คือเครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว ขนาด 1.5 ลิตร ที่ให้กำลังสูงสุด 98 แรงม้า และแรงบิดสูงสุด 127 นิวตันเมตร ทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้าที่ให้กำลังสูงสุด 109 แรงม้า และแรงบิดสูงสุด 253 นิวตันเมตร โดยมีแบตเตอรี่ Lithium-ion ความจุ 1.0 kWh พ่วงด้วยระบบส่งกำลังแบบ E-CVT ขับเคลื่อนล้อหน้า
e:HEV คืออะไร? ทำงานอย่างไร?
e:HEV คือชื่อเรียกเทคโนโลยี Sport Hybrid i-MMD ของ Honda ซึ่งเป็นระบบ Full Hybrid ที่ผสานการทำงานของเครื่องยนต์และมอเตอร์ไฟฟ้าได้อย่างชาญฉลาด มีจุดเด่นคือมีมอเตอร์ไฟฟ้า 2 ตัว ตัวหนึ่งทำหน้าที่สร้างกระแสไฟฟ้า (Generator) และอีกตัวทำหน้าที่ขับเคลื่อนล้อ (Motor) ซึ่งทำงานร่วมกับเครื่องยนต์ได้อย่างลงตัว
ระบบ Sport Hybrid i-MMD สามารถปรับโหมดการขับขี่ได้อัตโนมัติ 6 รูปแบบ เพื่อให้ได้ทั้งประสิทธิภาพสูงสุดในการประหยัดพลังงาน และสมรรถนะที่เร้าใจ:
โหมด EV (Electric Vehicle): ออกตัวและขับขี่ด้วยมอเตอร์ไฟฟ้า 100% ขณะที่เครื่องยนต์หยุดทำงาน
โหมด Hybrid: เครื่องยนต์ทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้า เพื่อเพิ่มกำลังในการเร่งแซง
โหมด Engine: ขับขี่ด้วยเครื่องยนต์เป็นหลัก และมีมอเตอร์ไฟฟ้าช่วยเสริมตามความเหมาะสม
โหมด Regenerative Braking: ขณะลดความเร็ว พลังงานจะถูกเปลี่ยนเป็นไฟฟ้าเพื่อชาร์จกลับเข้าแบตเตอรี่
โหมด Idle: ขณะรถหยุดนิ่ง เครื่องยนต์จะดับ แต่ระบบปรับอากาศยังคงทำงานโดยใช้พลังงานจากแบตเตอรี่
โหมด Charge: เครื่องยนต์จะกลับมาทำงานเพื่อชาร์จไฟให้แบตเตอรี่ เมื่อระดับไฟฟ้าลดลง
Honda City e:HEV ขับดีไหม?
Honda City e:HEV มอบประสบการณ์การขับขี่ที่นุ่มนวล แต่แฝงด้วยความสปอร์ตตามสไตล์ Honda พวงมาลัยไฟฟ้า EPS ให้การควบคุมที่แม่นยำ ช่วงล่างด้านหน้าแบบ MacPherson Strut และด้านหลังแบบ Torsion Beam ให้การยึดเกาะที่ดี ทำให้ขับขี่ได้อย่างมั่นใจทั้งในเมืองและนอกเมือง แม้จะไม่ใช่รถที่ให้อัตราเร่งแบบ “ปรู๊ดปร๊าด” แต่การตอบสนองที่ต่อเนื่องและราบรื่นจากการทำงานของระบบไฮบริด ทำให้การขับขี่เป็นไปอย่างเพลิดเพลิน
Honda City e:HEV ประหยัดน้ำมันไหม?
จากการทดสอบขับขี่ในเมือง อัตราสิ้นเปลืองเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 24.7 กม./ลิตร ส่วนการขับขี่ทางไกล ประหยัดได้ถึง 23.7 กม./ลิตร ซึ่งเป็นตัวเลขที่น่าประทับใจอย่างยิ่งสำหรับรถยนต์ในกลุ่ม Eco Car
Honda City e:HEV มือสอง น่าซื้อหรือไม่?
สำหรับ Honda City e:HEV มือสอง ถือเป็นตัวเลือกที่คุ้มค่าอย่างยิ่ง โดยเฉพาะรุ่นปี 2020 ที่ราคาปรับลดลงมาจากมือหนึ่งอย่างมีนัยสำคัญ การได้รถยนต์ Eco Car รุ่นท็อปพร้อมเทคโนโลยีไฮบริดในราคาที่เข้าถึงง่าย ทำให้ Honda City e:HEV มือสอง เป็นตัวเลือกที่น่าพิจารณาสำหรับผู้ที่ต้องการรถยนต์ประหยัดน้ำมัน ขับดี และมีออปชันครบครัน
หากคุณกำลังมองหารถยนต์ที่ตอบโจทย์การใช้งานในทุกมิติ ไม่ว่าจะเป็นความสปอร์ต สมรรถนะที่เหนือชั้น หรือความประหยัดน้ำมันขั้นสุด การพิจารณา Honda Civic Type R 2020, Mitsubishi Xpander Cross 2020, New Mercedes-Benz E-Class 2020, Honda Jazz 2020, Lamborghini Huracan EVO, หรือ Honda City e:HEV คือการเริ่มต้นที่ถูกต้อง
อย่ารอช้า! เข้าร่วมสัมผัสประสบการณ์การขับขี่ที่เหนือกว่า และค้นหารถยนต์ที่ใช่สำหรับคุณได้แล้ววันนี้ที่ผู้จำหน่ายอย่างเป็นทางการของเรา หรือเข้ามาพูดคุยปรึกษาผู้เชี่ยวชาญของเรา เพื่อรับคำแนะนำที่ดีที่สุดสำหรับการเลือกซื้อรถยนต์ที่ตรงกับความต้องการของคุณมากที่สุด!

