Mini John Cooper Works: ยานยนต์สายพันธุ์ซิ่ง ที่ปลุกหัวใจนักขับให้เต้นแรง
ในวงการยานยนต์ที่เต็มไปด้วยนวัตกรรมและความเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว การได้สัมผัสกับรถยนต์ที่มอบประสบการณ์การขับขี่อันเร้าใจ เป็นสิ่งที่นักขับหลายคนใฝ่หา และในปี 2015 นั้นเอง MINI ได้ตอกย้ำภาพลักษณ์ของแบรนด์ที่มุ่งเน้นสมรรถนะและความสนุกสนาน ด้วยการเปิดตัว Mini John Cooper Works (JCW) รุ่น F56 สู่สายตาชาวไทย ซึ่งเป็นการตอกย้ำบทบาทของ John Cooper Works ในฐานะสำนักแต่งชั้นนำที่อยู่คู่กับ MINI มายาวนาน จนกระทั่งได้รับการรวมเข้าเป็นส่วนหนึ่งของ BMW อย่างเป็นทางการ
Mini John Cooper Works ไม่ได้เป็นเพียงแค่ MINI Hatch 3 Door Cooper S ที่ได้รับการปรับปรุง แต่คือการยกระดับไปอีกขั้น โดยเฉพาะในด้านการออกแบบภายนอกที่บ่งบอกถึงความดุดันและสมรรถนะที่เหนือกว่าอย่างชัดเจน สังเกตได้จากช่องดักอากาศที่ถูกขยายใหญ่ขึ้นบริเวณมุมกันชนหน้า เสริมด้วยล้ออัลลอยลายพิเศษขนาด 18 นิ้วของ JCW ที่มาพร้อมการตกแต่งแบบทูโทน ด้านท้ายได้รับการออกแบบชุดกันชนใหม่ ให้มีลักษณะคล้ายกับช่องระบายอากาศ 4 ช่องที่เรียงตัวอย่างมีสไตล์ คั่นกลางด้วยชุดท่อไอเสียคู่ ที่ส่งเสียงคำรามอันเป็นเอกลักษณ์
การเลือกใช้สีสันก็เป็นอีกหนึ่งจุดเด่นที่ทำให้ Mini John Cooper Works แตกต่างออกไป หลังคาและกระจกมองข้างสี Chili Red ตัดกับสีตัวถังเขียว Rebel Green อันเป็นสีพิเศษเฉพาะรุ่น JCW ยิ่งเสริมให้ดูโดดเด่น สะดุดตา มาพร้อมแถบสีแต่งบริเวณสเกิร์ตข้างลาย JCW ที่ใช้สีดำตัดกับสีแดง สร้างภาพลักษณ์ที่ดุดัน ทรงพลัง และแฝงไว้ด้วยความสปอร์ตอย่างลงตัว นอกจากนี้ ยังมี MINI Head-Up Display ที่มาพร้อมคอนเทนต์พิเศษสำหรับรุ่นนี้โดยเฉพาะ ซึ่งเป็นอีกหนึ่งเอกลักษณ์ที่ทำให้ผู้ขับขี่ได้รับข้อมูลที่สำคัญอย่างสะดวกสบาย
หัวใจหลักของ Mini John Cooper Works คือเครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบ ขนาด 2.0 ลิตร เทอร์โบชาร์จเจอร์ ที่ถูกติดตั้งแบบวางตามขวาง (Transverse) ให้พละกำลังสูงสุดถึง 231 แรงม้า และแรงบิดมหาศาล 320 นิวตันเมตร ตัวเลขเหล่านี้บ่งบอกถึงสมรรถนะที่เหนือกว่า MINI Hatch 3 Door Cooper S ถึง 39 แรงม้า และแรงบิดที่เพิ่มขึ้นอีก 40 นิวตันเมตร ซึ่งถือเป็นเครื่องยนต์ที่ทรงพลังที่สุดเท่าที่ MINI เคยนำเสนอในตลาด ณ เวลานั้น อัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงที่ทำได้ 16.1 กิโลเมตรต่อลิตร และอัตราการปล่อยก๊าซ CO2 ที่ 148 กรัมต่อกิโลเมตร ก็แสดงให้เห็นถึงความพยายามในการผสมผสานสมรรถนะเข้ากับประสิทธิภาพด้านสิ่งแวดล้อม
การทำงานของเครื่องยนต์อันทรงพลังนี้ ได้รับการถ่ายทอดลงสู่พื้นถนนผ่านระบบช่วงล่างที่ถูกปรับแต่งมาอย่างสมบูรณ์แบบ เพื่อให้สอดคล้องกับพละกำลังที่เพิ่มขึ้น ควบคู่ไปกับระบบเบรกสมรรถนะสูงจาก Brembo ที่พร้อมหยุดรถได้อย่างมั่นใจทุกสถานการณ์ ระบบพวงมาลัยเพาเวอร์ Servotronic ที่ผสานการทำงานระหว่างระบบไฟฟ้าและกลไกได้อย่างลงตัว มอบการควบคุมที่แม่นยำ ตอบสนองฉับไว และเทคโนโลยี Dynamic Stability Control ที่ประกอบด้วย Dynamic Traction Control (DTC), Electronic Differential Lock Control (EDLC) และ Dynamic Damper Control ที่ติดตั้งมาเป็นอุปกรณ์มาตรฐาน ช่วยเพิ่มความมั่นใจและความสนุกสนานในการขับขี่ในทุกสภาพถนน
น้ำหนักตัวถังของ Mini John Cooper Works อยู่ที่ 1,205 กิโลกรัม ซึ่งเบากว่า MINI Hatch 3 Door Cooper S ที่มีน้ำหนัก 1,250 กิโลกรัม การลดน้ำหนักนี้มีส่วนสำคัญในการเพิ่มความคล่องแคล่วและสมรรถนะการขับขี่ โดย MINI JCW ที่นำเข้ามาจำหน่ายในประเทศไทยในขณะนั้น จะมาพร้อมกับระบบเกียร์อัตโนมัติเท่านั้น พร้อมสนนราคาที่ 3.45 ล้านบาท แม้ว่าราคานี้อาจจะดูสูงสำหรับรถยนต์ขนาดเล็ก แต่สำหรับผู้ที่หลงใหลในสมรรถนะอันเร้าใจ ความสนุกสนานในการขับขี่ที่ไม่เหมือนใคร และต้องการความแตกต่างจากรถยนต์ทั่วไป การลงทุนกับ Mini John Cooper Works ถือเป็นการตัดสินใจที่คุ้มค่า
Toyota Innova 2016: นิยามใหม่ของ MPV ที่หรูหรา กว้างขวาง และอัดแน่นด้วยเทคโนโลยี
ในตลาดรถยนต์อเนกประสงค์ (MPV) ที่มีการแข่งขันสูง การปรับโฉมครั้งใหญ่ถือเป็นกุญแจสำคัญในการรักษาฐานลูกค้าและดึงดูดผู้ซื้อกลุ่มใหม่ Toyota Innova 2016 คือตัวอย่างที่ชัดเจนของการปฏิวัติวงการรถ MPV ด้วยการออกแบบที่หรูหราขึ้นอย่างก้าวกระโดด ผสานกับสมรรถนะที่น่าประทับใจ และการใส่เทคโนโลยีที่ทันสมัยเข้ามาอย่างครบครัน การเปิดตัวในอินโดนีเซียครั้งแรก สะท้อนให้เห็นถึงความสำคัญของตลาด MPV ในภูมิภาคนี้
Toyota Innova 2016 พัฒนาขึ้นบนแพลตฟอร์ม IMV (Innovative International MultiPurpose Vehicle) อันเป็นพื้นฐานเดียวกันกับ Toyota Hilux Revo และ Toyota Fortuner 2016 สะท้อนให้เห็นถึงความแข็งแกร่งและเชื่อถือได้ของโครงสร้างรถ การแบ่งรุ่นย่อยออกเป็น 3 ระดับ ได้แก่ G, V และ Q เกรดสูงสุด ทำให้ผู้บริโภคมีตัวเลือกที่หลากหลายตามความต้องการและงบประมาณ
รูปลักษณ์ภายนอกของ Toyota Innova 2016 ได้รับการออกแบบใหม่ทั้งหมด ให้ดูทันสมัยและพรีเมียมยิ่งขึ้นอย่างเห็นได้ชัด กระจังหน้าขนาดใหญ่รูปทรงคล้ายสี่เหลี่ยมคางหมู ไฟหน้า LED Projector (ในรุ่น Q) ทรงเรียวยาว รับกับดีไซน์โดยรวมที่ดูสปอร์ตและแข็งแกร่ง เส้นสายตัวถังด้านข้างมีความเหลี่ยมคมกว่ารุ่นก่อนหน้า ให้ความรู้สึกบึกบึน ด้านท้ายมาพร้อมไฟท้ายทรง L คว่ำ ที่แบ่งออกเป็นสองส่วน สร้างเอกลักษณ์ที่โดดเด่น
ภายในห้องโดยสารคือจุดที่ Toyota Innova 2016 สร้างความประทับใจได้อย่างมาก ด้วยการออกแบบที่เน้นความหรูหราและฟังก์ชันการใช้งาน แผงหน้าปัดที่เน้นเส้นโค้งประดับลายไม้ (ในรุ่น Q) ผสานกับคอนโซลกลางแนวตั้งที่ติดตั้งจอสัมผัสขนาดใหญ่ รองรับการเชื่อมต่อสมาร์ทโฟนผ่าน Wi-Fi, การสั่งงานด้วยเสียง และ Air Gesture (ในรุ่น Q และ V) ระบบปรับอากาศแบบดิจิตอลพร้อมระบบอัตโนมัติ (ในรุ่น Q และ V) และจอ TFT แสดงข้อมูลกลางมาตรวัด ยกระดับประสบการณ์การโดยสารให้เทียบเท่ารถยนต์ระดับพรีเมียม
การจัดวางเบาะนั่ง 3 แถว 7 ที่นั่ง ได้รับการออกแบบมาเพื่อความสะดวกสบายสูงสุด เบาะแถวสองแยกอิสระ ปรับเลื่อนและเอนได้ตามต้องการ พร้อมฟังก์ชันพับเบาะแบบ One Touch เพื่อความสะดวกในการเข้า-ออกเบาะแถวสาม นอกจากนี้ ยังมีการติดตั้ง Ambient Light ในห้องโดยสาร สร้างบรรยากาศที่หรูหราน่าประทับใจ
Toyota Innova 2016 นำเสนอทางเลือกเครื่องยนต์ที่หลากหลายเพื่อตอบสนองความต้องการที่แตกต่างกัน:
เครื่องยนต์ดีเซล 2.4 ลิตร: 16 วาล์ว DOHC พร้อมเทอร์โบแปรผันและอินเตอร์คูลเลอร์ ให้กำลังสูงสุด 149 แรงม้า ที่ 3,400 รอบ/นาที และแรงบิด 360 นิวตันเมตร ที่ 1,200-2,600 รอบ/นาที
เครื่องยนต์เบนซิน 2.0 ลิตร: Dual VVT-i 16 วาล์ว DOHC ให้กำลังสูงสุด 139 แรงม้า ที่ 5,600 รอบ/นาที และแรงบิด 183 นิวตันเมตร ที่ 4,000 รอบ/นาที
ทั้งสองเครื่องยนต์จับคู่กับเกียร์ธรรมดา 5 จังหวะ หรือเกียร์อัตโนมัติ 6 จังหวะ ซึ่งเป็นการผสมผสานระหว่างประสิทธิภาพและความประหยัด
ในด้านความปลอดภัย Toyota Innova 2016 ติดตั้งอุปกรณ์มาตรฐานอย่างถุงลมนิรภัยคู่หน้า, ถุงลมนิรภัยป้องกันหัวเข่าผู้ขับขี่, ISOFIX, ระบบเบรก ABS และ EBD มาให้ในทุกรุ่นย่อย รุ่น Q จะเพิ่มม่านถุงลมนิรภัยและถุงลมนิรภัยด้านข้าง ส่วนระบบควบคุมการทรงตัว VSC และ Hill Assist Control จะมีเฉพาะในรุ่น Q เครื่องยนต์ดีเซลเท่านั้น
Toyota Innova 2016 ถือเป็นก้าวสำคัญของ Toyota ในการนำเสนอรถ MPV ที่ไม่เพียงแต่ตอบโจทย์ด้านความอเนกประสงค์ แต่ยังยกระดับประสบการณ์การขับขี่และความหรูหราไปอีกขั้น
Mercedes-Benz GLE 500 e 4MATIC: ยกระดับ SUV ด้วยเทคโนโลยี Plug-in Hybrid
ในยุคที่เทคโนโลยีสีเขียวและความยั่งยืนกลายเป็นเทรนด์สำคัญของอุตสาหกรรมยานยนต์ Mercedes-Benz ได้ตอกย้ำความเป็นผู้นำด้วยการเปิดตัว Mercedes-Benz GLE 500 e 4MATIC ในปี 2016 รถยนต์อเนกประสงค์ (SUV) ที่ผสานความแข็งแกร่ง สง่างาม และสมรรถนะอันทรงพลัง เข้ากับเทคโนโลยี Plug-in Hybrid ที่มอบทั้งความประหยัดและประสิทธิภาพเทียบชั้นรถสปอร์ต
การเปิดตัว Mercedes-Benz GLE 500 e 4MATIC ไม่ได้เป็นเพียงการนำเสนอรถยนต์รุ่นใหม่ แต่ยังเป็นการตอกย้ำวิสัยทัศน์ของ Mercedes-Benz ในการเป็นผู้นำด้านยนตรกรรมเพื่อสิ่งแวดล้อม หรือ “Mercedes-Benz Electric Driving” พร้อมแคมเปญ “DEFINE TOMORROW” เพื่อสื่อสารถึงนวัตกรรม สมรรถนะ และเทคโนโลยีการขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้า
Mercedes-Benz GLE 500 e 4MATIC มาพร้อมดีไซน์ภายนอกที่โดดเด่น ด้วยลายเส้นที่คมชัด สวยงาม กระจังหน้าขนาดใหญ่ พร้อมตราสัญลักษณ์ Mercedes-Benz ตรงกลาง กันชนหน้าพร้อมช่องระบายอากาศขนาดใหญ่ประดับโครเมียม ขอบหน้าต่างโครเมียม และปลายท่อไอเสียคู่ สะท้อนถึงความหรูหราและสปอร์ต ไฟหน้าแบบ LED Intelligent Light System, ไฟ Daytime Running Lights, ไฟเลี้ยวที่กระจกมองข้าง และไฟท้าย LED ช่วยเสริมความปลอดภัยและทันสมัย
รุ่น Exclusive จะมาพร้อมล้ออัลลอยขนาด 20 นิ้ว สี Himalayas grey ส่วนรุ่น AMG Dynamic จะเพิ่มความดุดันด้วยล้ออัลลอยดีไซน์สปอร์ตจาก AMG ขนาด 20 นิ้ว สี titanium grey, ชุดแต่ง AMG bodystyling, ดิสก์เบรกหน้าพร้อมช่องระบายความร้อน และสัญลักษณ์ Mercedes-Benz บนคาลิเปอร์เบรกหน้า พร้อมด้วยหลังคาพาโนรามิกซันรูฟเลื่อนเปิด-ปิดด้วยระบบไฟฟ้า เพิ่มความโปร่งโล่งให้กับห้องโดยสาร
ภายในห้องโดยสารของ Mercedes-Benz GLE 500 e 4MATIC เน้นความหรูหรา ผสานกับกลิ่นอายสปอร์ต คอนโซลหน้าและแผงประตูหุ้มด้วยหนัง Artico พวงมาลัยมัลติฟังก์ชัน ระบบสตาร์ทเครื่องยนต์แบบ Push Start และระบบควบคุมอุณหภูมิอัตโนมัติ THERMATIC แบบ 2 โซน
รุ่น Exclusive ตกแต่งด้วยเบาะหนังและระบบมัลติมีเดีย MB Audio 20 ส่วนรุ่น AMG Dynamic จะเพิ่มความพิเศษด้วยเบาะหนัง Nappa, ระบบ COMAND Online, ระบบเสียง Harman Kardon® Logic 7® และ Apple CarPlay™ เพิ่มความสุนทรีย์ในการเดินทาง
เบาะนั่งผู้ขับขี่และผู้โดยสารตอนหน้าปรับไฟฟ้าพร้อมหน่วยความจำ เบาะหลังพับได้แบบ 1:3/2:3 เพื่อเพิ่มพื้นที่จัดเก็บสัมภาระ และไฟ Ambient Light 3 สี ช่วยสร้างบรรยากาศที่ผ่อนคลายและหรูหรา
Mercedes-Benz GLE 500 e 4MATIC นำเสนอโหมดการทำงานของระบบ Plug-in Hybrid ถึง 4 รูปแบบ:
HYBRID: ผสานการทำงานของเครื่องยนต์และมอเตอร์ไฟฟ้า โดยเน้นใช้มอเตอร์ไฟฟ้าเป็นหลัก
E-MODE: ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้า 100% ได้สูงสุด 130 กม./ชม. เป็นระยะทาง 30 กม. (ขึ้นอยู่กับสภาพการขับขี่)
E-SAVE: รักษาระดับพลังงานไฟฟ้าในแบตเตอรี่ไว้ใช้ในภายหลัง โดยใช้เครื่องยนต์เป็นหลัก
CHARGE: ขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์เพียงอย่างเดียว พร้อมชาร์จพลังงานไฟฟ้ากลับเข้าแบตเตอรี่
นอกจากนี้ ยังมีระบบ Dynamic Select ที่มี 5 โหมดการขับขี่: Individual, Comfort, Slippery, Sport และ Sport+ เพื่อปรับการตอบสนองของรถให้เข้ากับสไตล์การขับขี่และสภาพถนน
ระบบความปลอดภัย Mercedes-Benz Intelligent Drive ได้รับการผสานเข้ากับ Mercedes-Benz GLE 500 e 4MATIC อย่างเต็มรูปแบบ เช่น ระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ 4ETS, PRE-SAFE system, ESP, AIRMATIC, Crosswind Assist, ADAPTIVE BRAKE, ABS, ASR, ATTENTION ASSIST, Cruise Control, PARKTRONIC และ Active Parking Assist
ขุมพลังของ Mercedes-Benz GLE 500 e 4MATIC คือเครื่องยนต์เบนซิน V6 เทอร์โบคู่ ขนาด 3.0 ลิตร ให้กำลังสูงสุด 333 แรงม้า ผสานกับมอเตอร์ไฟฟ้า 116 แรงม้า สร้างอัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ในเวลาเพียง 5.3 วินาที ส่งกำลังผ่านเกียร์อัตโนมัติ 7G-TRONIC PLUS พร้อมระบบเปลี่ยนเกียร์ที่พวงมาลัย แบตเตอรี่ลิเธียม-ไอออน ขนาด 8.7 กิโลวัตต์ สามารถชาร์จเต็มได้ในประมาณ 4 ชั่วโมง (ไฟบ้าน) ทำให้วิ่งด้วยไฟฟ้าล้วนได้ไกลถึง 30 กม.
ราคาจำหน่าย:
GLE 500 e 4MATIC Exclusive: 4,490,000 บาท
GLE 500 e 4MATIC AMG Dynamic: 4,990,000 บาท
Mercedes-Benz E-Class 2016: นิยามใหม่แห่งยนตรกรรมซีดานอัจฉริยะ
ในโลกของยนตรกรรมระดับพรีเมียม ความสง่างาม ประสิทธิภาพ และนวัตกรรม คือหัวใจสำคัญที่ Mercedes-Benz ยึดมั่นเสมอมา และในปี 2016 การเปิดตัว Mercedes-Benz E-Class 2016 เจเนอเรชั่นที่ 10 ถือเป็นการตอกย้ำความเป็น “THE BEST” ของแบรนด์ ด้วยการนำเสนอซีดานอัจฉริยะที่ยกระดับมาตรฐานของรถยนต์สำหรับผู้บริหารไปอีกขั้น
นายไมเคิล เกรเว่ ประธานบริหาร Mercedes-Benz ประเทศไทย กล่าวว่า กลยุทธ์ “THE BEST” ในปี 2559 คือการนำเสนอสิ่งที่ดีที่สุดให้กับลูกค้า โดยในงาน Motor Show 2016 ได้นำเสนอรถยนต์ที่ครอบคลุมเทคโนโลยีทั้ง 3 กลุ่ม ได้แก่ Compact Car, Contemporary Luxury และ Dream Car โดยมี The new E-Class เป็นไฮไลท์สำคัญในกลุ่ม Contemporary Luxury
Mercedes-Benz E-Class 2016 ได้รับการยกย่องว่าเป็นที่สุดแห่งยนตรกรรมซีดานอัจฉริยะ ด้วยการออกแบบที่ผสานหลัก Sensual Purity ของ Mercedes-Benz เข้ากับเทคโนโลยีล้ำสมัย ที่สำคัญคือการพัฒนาระบบขับขี่อัตโนมัติไปอีกขั้น ควบคู่ไปกับการลดอัตราการสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงและการปล่อยมลพิษ และมอบประสบการณ์การขับขี่ที่สนุกสนานและสุนทรีย์ยิ่งขึ้น
ในประเทศไทย Mercedes-Benz E-Class 2016 นำเสนอ 2 รุ่นย่อย:
Mercedes-Benz E 220 d Exclusive
Mercedes-Benz E 220 d AMG Dynamic
ดีไซน์ภายนอก ของ E-Class 2016 ได้รับการปรับปรุงให้มีขนาดตัวถังและฐานล้อยาวขึ้น เส้นสายหลังคาที่ออกแบบสไตล์คูเป้ ทอดตัวยาวจรดด้านหลัง สร้างความรู้สึกสง่างามและปราดเปรียว เส้นสายที่ซุ้มล้อหลังดูกว้างกว่าซุ้มล้อหน้า สะท้อนเอกลักษณ์ของรถยนต์ซีดานพรีเมียม โคมไฟท้ายแบบชิ้นเดียว ด้านในแบ่งออกเป็นสองส่วนอย่างลงตัว
ดีไซน์ภายใน เน้นความหรูหราและเทคโนโลยีที่ล้ำสมัย โดยเฉพาะรุ่น E 220 d AMG Dynamic ที่มาพร้อมหน้าจอความละเอียดสูงขนาด 12.3 นิ้ว 2 จอ เป็นครั้งแรกในเซกเมนต์นี้ เพื่อมอบประสบการณ์ดิจิทัลที่เหนือกว่า ระบบไฟสร้างบรรยากาศในห้องโดยสารที่ปรับได้ถึง 64 สี ช่วยเพิ่มสุนทรียภาพในการเดินทาง
หัวใจหลักคือเครื่องยนต์ดีเซล 4 สูบที่พัฒนาขึ้นใหม่ และระบบเกียร์อัตโนมัติ 9G-TRONIC ที่ช่วยให้การเปลี่ยนเกียร์ราบรื่น ลดแรงเหวี่ยงจากการทำงานของเครื่องยนต์ มอบทั้งสมรรถนะที่นุ่มนวลและประสิทธิภาพที่ยอดเยี่ยม โครงสร้างรถที่ได้รับการพัฒนาด้านอากาศพลศาสตร์และมีน้ำหนักเบาลง ส่งผลให้อัตราสิ้นเปลืองน้ำมันต่ำเพียง 25.6 กม./ลิตร และอัตราการปล่อย CO2 เพียง 102 กรัม/กม. (ตามมาตรฐาน EU)
Mercedes-Benz E-Class 2016 คือการนิยามใหม่ของยนตรกรรมซีดานอัจฉริยะ ที่ผสมผสานความหรูหรา สมรรถนะ และเทคโนโลยีอย่างลงตัว มอบประสบการณ์การขับขี่ที่ไม่เคยมีมาก่อน
2016 Mitsubishi Outlander: ยกระดับดีไซน์ สู่ความสปอร์ตและทันสมัย
ในตลาดรถยนต์อเนกประสงค์ (SUV) ที่มีการแข่งขันสูง การปรับปรุงรูปลักษณ์และเพิ่มเทคโนโลยีใหม่ๆ คือสิ่งจำเป็นในการดึงดูดผู้บริโภค และ 2016 Mitsubishi Outlander ที่เปิดตัวในงาน New York Auto Show 2015 ได้แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของ Mitsubishi ในการพัฒนารถ SUV ของตนให้มีความทันสมัยและน่าสนใจยิ่งขึ้น
การเปลี่ยนแปลงที่เด่นชัดที่สุดของ 2016 Mitsubishi Outlander อยู่ที่การออกแบบภายนอกภายใต้แนวคิด “Dynamic Shield” ซึ่งเป็นแนวทางการออกแบบใหม่ของ Mitsubishi กระจังหน้าขนาดใหญ่ขึ้น ดูสปอร์ตรับกับไฟหน้าที่ออกแบบให้ดูปราดเปรียวและทันสมัยยิ่งขึ้น การปรับปรุงดีไซน์นี้ช่วยเพิ่มความน่าดึงดูดให้กับรถ SUV รุ่นนี้อย่างเห็นได้ชัด
ด้านท้ายของรถได้รับการปรับปรุงเล็กน้อย โดยเฉพาะบริเวณกันชนท้ายที่ออกแบบให้ดูลงตัวและสปอร์ตมากขึ้น เสริมด้วยล้ออัลลอยขนาด 18 นิ้ว ที่ให้ความรู้สึกหรูหราภูมิฐาน
ภายในห้องโดยสาร 2016 Mitsubishi Outlander ได้รับการปรับปรุงเพื่อเพิ่มความสบายและคุณภาพในการใช้งาน พวงมาลัยได้รับการออกแบบใหม่ให้จับถนัดมือยิ่งขึ้น การตกแต่งภายในมีการปรับเปลี่ยนเล็กน้อย โดยเน้นการใช้วัสดุคุณภาพสูงขึ้นเพื่อเพิ่มความสบายในการโดยสาร ระบบความบันเทิงได้รับการอัพเกรด และมีการปรับปรุงการเก็บเสียงภายในห้องโดยสารให้ดีขึ้นกว่าเดิม ด้วยการเปลี่ยนกระจกบังลมหน้าใหม่และการใช้วัสดุซับเสียงที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น
2016 Mitsubishi Outlander นำเสนอทางเลือกเครื่องยนต์ 2 แบบ:
เครื่องยนต์ 2.4 ลิตร 4 สูบ: ให้กำลัง 166 แรงม้า และแรงบิด 219 นิวตันเมตร ส่งกำลังผ่านเกียร์ CVT เพื่อประสิทธิภาพและความประหยัด
เครื่องยนต์ V6 3.0 ลิตร: ให้กำลัง 224 แรงม้า และแรงบิด 291 นิวตันเมตร ส่งกำลังผ่านเกียร์อัตโนมัติ 6 สปีด มอบสมรรถนะที่เร้าใจยิ่งขึ้น
นอกจากนี้ 2016 Mitsubishi Outlander ยังมาพร้อมระบบช่วยเหลือการขับขี่ที่หลากหลาย เช่น Forward Collision Mitigation (FCM), Lane Departure Warning (LDW) และ Adaptive Cruise Control (ACC) ซึ่งช่วยเพิ่มความปลอดภัยและความสะดวกสบายในการขับขี่
แม้จะยังไม่มีการเปิดเผยราคาจำหน่ายอย่างเป็นทางการ แต่ดีไซน์และเทคโนโลยีที่เห็นใน 2016 Mitsubishi Outlander คาดว่าจะถูกนำไปใช้กับ Mitsubishi Pajero Sport รุ่นใหม่ที่จะเปิดตัวในอนาคตด้วย
Bentley Bentayga: SUV หรูที่เร็วที่สุดในโลก สู่การส่งมอบคันแรกสู่ราชวงศ์
Bentley Bentayga: SUV หรูที่เร็วที่สุดในโลก สู่การส่งมอบคันแรกสู่ราชวงศ์
ในโลกของรถยนต์ Ultra-Luxury การสร้างสรรค์สิ่งที่ “เหนือกว่า” คือหัวใจสำคัญ และ Bentley Bentayga คือนิยามใหม่ของ SUV ที่ผสานความหรูหราสูงสุดเข้ากับสมรรถนะอันน่าทึ่ง จนได้รับการขนานนามว่าเป็น SUV ที่เร็วที่สุดในโลกคันแรก
หลังจากที่ Bentley EXP 9 F ต้นแบบได้รับกระแสตอบรับที่หลากหลาย Bentley Bentayga ได้เปิดตัวอย่างเป็นทางการในงาน Frankfurt Motor Show 2015 ด้วยดีไซน์ที่คล้ายคลึงกับ Bentley Flying Spur มากกว่า แต่ยังคงเอกลักษณ์ความหรูหราและความโอ่อ่าตามแบบฉบับ Bentley ไว้ได้อย่างสมบูรณ์
ความพิเศษของ Bentley Bentayga ไม่ได้หยุดอยู่เพียงแค่ดีไซน์ แต่ยังรวมถึงการผลิตที่จำกัดและเป้าหมายตลาดเฉพาะกลุ่ม สำหรับโควตาการผลิตในปีแรก จำนวน 3,600 คัน ได้ถูกจับจองจนเต็มอย่างรวดเร็ว แสดงให้เห็นถึงความต้องการที่สูงในกลุ่มผู้บริโภคระดับบน
และเพื่อตอกย้ำถึงสถานะอันสูงส่ง Bentley Bentayga คันแรกที่ผลิตเสร็จสมบูรณ์ ได้รับเกียรติส่งมอบให้กับสมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 แห่งสหราชอาณาจักร ซึ่งทรงมีพระราชดำริในการสั่งซื้อ SUV คันแรกในประวัติศาสตร์ของ Bentley การส่งมอบครั้งนี้ถือเป็นเครื่องพิสูจน์ถึงความพิเศษและความสมบูรณ์แบบของ Bentley Bentayga ในฐานะยานยนต์ที่ตอบโจทย์ทุกความต้องการของชนชั้นสูงได้อย่างแท้จริง
Honda Civic FC มือสอง: ตัวเลือกสุดฮิตสำหรับรถยนต์ซีดานสมรรถนะสูง
Honda Civic FC ในตลาดรถมือสอง ยังคงเป็นที่ต้องการอย่างสูง ไม่ใช่เพียงเพราะรูปลักษณ์ที่เท่ ทรงสวย และสมรรถนะที่ตอบสนองทุกการขับขี่ แต่ยังรวมถึงความหลากหลายของรุ่นย่อย ที่ทำให้ผู้บริโภคสามารถเลือกรุ่นที่ตรงกับความต้องการและงบประมาณของตนเองได้มากที่สุด
Honda Civic FC ถือเป็นหนึ่งในโฉมที่ประสบความสำเร็จอย่างสูงในประเทศไทย สามารถทำยอดจองทะลุ 15,000 คัน ภายในเวลาเพียง 4 เดือนหลังเปิดตัว สะท้อนให้เห็นถึงความนิยมอย่างล้นหลามในกลุ่มผู้บริโภค โดยเฉพาะวัยรุ่นที่มองหารถซีดาน C-Segment ที่มีทั้งความเท่ หรูหรา และสมรรถนะที่แข็งแกร่ง
Honda Civic FC มือสอง มีให้เลือก 4 รุ่นย่อยหลัก ซึ่งแต่ละรุ่นมีข้อดีและข้อเสียที่แตกต่างกันไป ดังนี้:
Honda Civic FC 1.5 Turbo RS มือสอง:
เครื่องยนต์: 1.5 ลิตร Turbo (L15B7) 173 แรงม้า, 220 นิวตันเมตร จับคู่เกียร์ CVT
ราคา: เริ่มต้น 568,000 บาท (รุ่นปี 2016)
ข้อดี:
เครื่องยนต์เล็กแต่กำลังสูงที่สุดในกลุ่ม C-Segment
ภายในกว้างขวาง หรูหรา
อัตราเร่งช่วงต้นดีเยี่ยม เหมาะกับการขับในเมือง
พื้นที่เก็บสัมภาระกว้างขวาง
ล้ออัลลอย 17 นิ้ว สีรมดำ, เสาอากาศครีบฉลาม
ตกแต่งภายในด้วยด้ายสีแดง, สัญลักษณ์ RS, และ Honda SENSING ครบครัน
ข้อเสีย:
ค่าบำรุงรักษาสูงกว่ารุ่น 1.8 (เนื่องจากเป็นเครื่องเทอร์โบ)
เครื่องยนต์เทอร์โบมีโอกาสเสียหายสูงกว่าหากใช้งานหนัก
เกียร์ CVT ค่อนข้างเปราะ อายุการใช้งานสั้น
อัตราเร่งช่วงกลาง-ปลายไม่จัดจ้านเท่าช่วงออกตัว
ราคาสูงที่สุดในตระกูล FC
Honda Civic FC 1.5 Turbo มือสอง:
เครื่องยนต์: 1.5 ลิตร Turbo (L15B7) 173 แรงม้า, 220 นิวตันเมตร จับคู่เกียร์ CVT
ราคา: เริ่มต้น 528,000 บาท (รุ่นปี 2016)
ข้อดี:
เครื่องยนต์ทรงพลัง เทียบเท่ารุ่น RS
ดีไซน์สปอร์ต ทรงคูเป้
ภายในโปร่งโล่ง กว้างขวาง นั่งสบาย
ประหยัดน้ำมันกว่ารุ่น 1.8
อาการ Turbo Lag น้อย อัตราเร่งช่วงต้นดี
ระบบ Auto Brake Hold, ระบบสตาร์ทรถด้วยรีโมต
ล้ออัลลอย 17 นิ้ว สีรมดำ
ข้อเสีย:
ค่าบำรุงรักษาสูงกว่ารุ่น 1.8 (เนื่องจากเป็นเครื่องเทอร์โบ)
เครื่องยนต์เทอร์โบมีโอกาสเสียหายสูงกว่าหากใช้งานหนัก
เกียร์ CVT ค่อนข้างเปราะ อายุการใช้งานสั้น
อัตราเร่งช่วงกลาง-ปลายไม่จัดจ้านเท่าช่วงออกตัว
ราคาสูงกว่ารุ่น 1.8
Honda Civic FC 1.8 EL i-VTEC มือสอง:
เครื่องยนต์: 1.8 ลิตร (R18A) 141 แรงม้า, 174 นิวตันเมตร จับคู่เกียร์ CVT
ราคา: เริ่มต้น 490,000 บาท (รุ่นปี 2016)
ข้อดี:
เครื่องยนต์ทนทาน กวาดรอบสนุก ขับได้ทั้งในเมืองและนอกเมือง
ค่าบำรุงรักษาถูกกว่าเครื่องเทอร์โบ
ออปชันมากกว่ารุ่น 1.8 E: ระบบ Honda LaneWatch, Rain Sensor, กระจกมองข้างพับอัตโนมัติ
รองรับน้ำมัน E85
ราคาถูกกว่าเครื่อง 1.5 Turbo
ข้อเสีย:
ปรับแต่งยากกว่าเครื่องเทอร์โบ
ประหยัดน้ำมันน้อยกว่าเครื่องเทอร์โบ
ล้ออัลลอย 16 นิ้ว เล็กกว่าเครื่องเทอร์โบ
ราคาสูงกว่ารุ่น 1.8 E เล็กน้อย
Honda Civic FC 1.8 E i-VTEC มือสอง:
เครื่องยนต์: 1.8 ลิตร (R18A) 141 แรงม้า, 174 นิวตันเมตร จับคู่เกียร์ CVT
ราคา: เริ่มต้น 497,000 บาท (รุ่นปี 2017)
ข้อดี:
เครื่องยนต์ทนทาน ซ่อมง่าย ขับได้ทั้งในเมืองและนอกเมือง
ค่าบำรุงรักษาถูกกว่าเครื่องเทอร์โบ
Rain Sensor, กระจกมองข้างพับอัตโนมัติ
รองรับน้ำมัน E85
ราคาถูกที่สุดในตระกูล FC
ข้อเสีย:
ปรับแต่งยากพอๆ กับรุ่น 1.8 EL
ประหยัดน้ำมันน้อยกว่าเครื่องเทอร์โบ
ล้ออัลลอย 16 นิ้ว เล็กกว่าเครื่องเทอร์โบ
ออปชันและระบบความปลอดภัยน้อยกว่ารุ่นอื่น
หากคุณกำลังมองหารถซีดานมือสองที่มีทั้งสมรรถนะ ความเท่ และความคุ้มค่า Honda Civic FC เป็นตัวเลือกที่น่าสนใจอย่างยิ่ง โดยเฉพาะรุ่น 1.5 Turbo RS และ 1.5 Turbo ที่มอบประสบการณ์การขับขี่ที่เร้าใจ ในขณะที่รุ่น 1.8 EL และ 1.8 E ก็เป็นตัวเลือกที่ประหยัดและทนทาน
มองหารถยนต์ที่คุณต้องการ? สำรวจรายการรถ Honda Civic FC มือสองล่าสุด หรือทดลองขับรถยนต์รุ่นที่คุณสนใจ เพื่อค้นหาคู่ใจคันใหม่ของคุณได้แล้ววันนี้!

