นิสสัน ซิลฟี ซีโร่ อิเล็กทริก: ปรากฏการณ์รถยนต์ไฟฟ้าสัญชาติญี่ปุ่นในสมรภูมิจีน กับราคาปลุกตลาด
ในวงการอุตสาหกรรมยานยนต์โลกปี 2025 สภาพการณ์ของตลาดรถยนต์ไฟฟ้า (EV) ในประเทศจีนยังคงเปรียบเสมือนสมรภูมิรบที่ดุเดือด การแข่งขันที่เข้มข้นนี้มีแรงผลักดันหลักมาจากการสนับสนุนอันแข็งแกร่งจากภาครัฐบาลจีน ซึ่งส่งผลให้ผู้ผลิตรถยนต์สัญชาติจีนเองสามารถพัฒนารถยนต์ EV ออกมาหลากหลายรุ่น ด้วยต้นทุนที่สามารถเข้าถึงได้ง่ายกว่าเดิมอย่างมาก ท่ามกลางสถานการณ์เช่นนี้ นิสสัน (Nissan) หนึ่งในผู้ผลิตรถยนต์ชั้นนำของโลก ได้ตัดสินใจที่จะไม่ยืนมองโอกาสทองนี้ผ่านไป แต่เลือกที่จะตอบโต้ด้วยกลยุทธ์ที่กล้าหาญ นั่นคือการเปิดตัว นิสสัน ซิลฟี ซีโร่ อิเล็กทริก (Nissan Sylphy Zero Emission) พร้อมกับตั้งราคาที่สามารถเรียกได้ว่า “ปลุกตลาด” อย่างแท้จริง
นิสสัน ซิลฟี ซีโร่ อิเล็กทริก: ประสิทธิภาพจาก Leaf ในร่าง Sylphy สู่สมรภูมิจีน
เช่นเดียวกับที่สื่อยานยนต์หลายแห่งได้นำเสนอข่าวไปก่อนหน้านี้ ตลาดรถยนต์พลังงานใหม่ (New Energy Vehicles: NEVs) ในประเทศจีน โดยเฉพาะกลุ่มรถยนต์ไฟฟ้าแบตเตอรี่ล้วน (BEV) ได้รับแรงส่งจากนโยบายภาครัฐฯ ที่มุ่งมั่นจะผลักดันประเทศสู่การเป็นผู้นำด้านยานยนต์สะอาดและลดมลพิษ ทำให้แบรนด์จีนอย่าง BYD, NIO และอีกหลายค่าย สามารถนำเสนอผลิตภัณฑ์รถยนต์ EV ที่มีราคาแข่งขันได้สูงมาก อันเป็นผลมาจากการอุดหนุนและการส่งเสริมการลงทุนจากรัฐบาลจีนโดยตรง
ปัจจัยเหล่านี้ทำให้ผู้ผลิตรถยนต์จากต่างชาติหลายรายต้องเผชิญหน้ากับทางเลือกว่าจะเข้าสู่ตลาดจีนโดยตรง หรือจะปล่อยให้โอกาสในการเป็นส่วนหนึ่งของตลาด EV ที่ใหญ่ที่สุดในโลกหลุดลอยไป นิสสันเองก็เช่นกัน เพื่อให้สามารถแข่งขันได้อย่างมีประสิทธิภาพและเข้าถึงสิทธิประโยชน์ที่รัฐบาลจีนมอบให้ นิสสันจึงได้จัดตั้งกิจการร่วมค้า (Joint Venture) กับพันธมิตรชาวจีน ภายใต้ชื่อ ตงเฟิง นิสสัน (Dongfeng Nissan Passenger Vehicle)
แต่สิ่งที่ทำให้การเคลื่อนไหวของนิสสันครั้งนี้มีความน่าสนใจเป็นพิเศษ คือการเลือกนำรุ่น Sylphy รถยนต์ซีดานยอดนิยม ที่เดิมทีเป็นที่รู้จักในฐานะรถยนต์เครื่องยนต์สันดาปภายใน มาปรับเปลี่ยนให้กลายเป็นรถยนต์ไฟฟ้า โดยนำเทคโนโลยีระบบขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ไฟฟ้าจาก นิสสัน ลีฟ (Nissan Leaf) ซึ่งเป็นหนึ่งในรถยนต์ไฟฟ้า 100% ที่มียอดขายประสบความสำเร็จมากที่สุดในระดับโลก มาผนวกเข้ากับตัวถัง Sylphy และตั้งชื่อใหม่ว่า นิสสัน ซิลฟี ซีโร่ อิเล็กทริก (Nissan Sylphy Zero Emission)
แน่นอนว่า การนำรถยนต์เครื่องยนต์สันดาปมาปรับปรุงเป็นรถยนต์ไฟฟ้า 100% ย่อมต้องเผชิญกับความท้าทายในการปรับปรุงหลายส่วน เพื่อให้ได้สมดุลที่ดีที่สุดสำหรับการขับขี่ในยุคใหม่ ทีมวิศวกรของนิสสันต้องทำงานอย่างหนักในการปรับปรุงโครงสร้างตัวถัง เพื่อรองรับน้ำหนักและกระจายแรงบิดของมอเตอร์ไฟฟ้าให้สมดุล การออกแบบฐานล้อให้สามารถรองรับการใช้งานในระยะทางไกลได้ใกล้เคียงกับ Nissan Leaf ซึ่งสามารถวิ่งได้ถึง 338 กิโลเมตรต่อการชาร์จหนึ่งครั้ง ถือเป็นหัวใจสำคัญของการพัฒนารุ่นนี้
ราคาที่น่าดึงดูด: หมัดน็อกนิสสันในสมรภูมิ EV จีน
สิ่งที่ทำให้ นิสสัน ซิลฟี ซีโร่ อิเล็กทริก กลายเป็นประเด็นร้อนแรงในตลาดรถยนต์จีน คือราคาเปิดตัวอย่างเป็นทางการ ซึ่งกำหนดให้จำหน่ายเฉพาะในประเทศจีนเท่านั้น โดยมีราคาเริ่มต้นเพียง 1.66 แสนหยวน หรือคิดเป็นเงินไทยประมาณ 8 แสนบาท ซึ่งเป็นราคาที่สามารถแข่งขันโดยตรงกับรถยนต์ไฟฟ้าสัญชาติจีนชั้นนำหลายรุ่นในเซกเมนต์เดียวกันได้สบายๆ ราคาที่ยั่วยวนนี้ไม่เพียงแต่จะช่วยเสริมความแข็งแกร่งให้กับภาพลักษณ์ของนิสสันในตลาดรถยนต์ไฟฟ้าของจีนเท่านั้น แต่ยังคาดว่าจะเป็นตัวแปรสำคัญที่ช่วยผลักดันยอดขายรถยนต์ไฟฟ้าของนิสสันให้เติบโตขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ การสนับสนุนด้านสาธารณูปโภคพื้นฐาน และความพร้อมของผู้บริโภคชาวจีนในการยอมรับและใช้งานรถยนต์ไฟฟ้า ล้วนเป็นปัจจัยที่ส่งเสริมให้กลยุทธ์นี้ของนิสสันมีความเป็นไปได้สูงที่จะประสบความสำเร็จ
การรุกตลาดของนิสสัน: สัญญาณที่ส่งถึงผู้ผลิตรายอื่น
การเปิดตัว นิสสัน ซิลฟี ซีโร่ อิเล็กทริก ในราคาที่จับต้องได้นี้ ถือเป็นการประกาศเจตนารมณ์ที่ชัดเจนของนิสสันในการรุกตลาดรถยนต์ไฟฟ้าในประเทศจีนอย่างเต็มตัว การตัดสินใจนี้ไม่เพียงแต่จะสร้างแรงกระเพื่อมให้กับตลาด EV จีน ที่กำลังแข่งขันกันอย่างดุเดือดอยู่แล้วเท่านั้น แต่ยังเป็นการส่งสัญญาณไปยังผู้ผลิตรถยนต์รายอื่นๆ ทั้งในจีนและต่างประเทศ ว่านิสสันพร้อมที่จะใช้กลยุทธ์เชิงรุก เพื่อแย่งชิงส่วนแบ่งการตลาดในกลุ่มนี้ คำถามที่น่าจับตาต่อไปคือ ผู้ผลิตรถยนต์สัญชาติจีนเอง จะมีกลยุทธ์ใดมาตอบโต้การมาถึงของ “นักสู้” จากแดนอาทิตย์อุทัยรายนี้
สำหรับตลาดประเทศไทย แม้ว่า นิสสัน ซิลฟี ซีโร่ อิเล็กทริก จะยังไม่มีการประกาศแผนการทำตลาดอย่างเป็นทางการ แต่หากพิจารณาจากราคาของ Nissan Sylphy รุ่นเครื่องยนต์สันดาปที่จำหน่ายในไทยปัจจุบัน ซึ่งมีราคาเริ่มต้นอยู่ที่ประมาณ 8.33 แสนบาท การนำ Sylphy EV เข้ามาทำตลาดในไทยด้วยราคาที่ใกล้เคียงกัน หรือไม่สูงไปกว่านี้มากนัก ก็น่าจะได้รับการตอบรับที่ดีจากผู้บริโภคชาวไทยที่กำลังมองหารถยนต์ไฟฟ้าที่ครบครันด้วยเทคโนโลยีและความคุ้มค่า
ภาพรวมตลาดรถยนต์ไฟฟ้าในจีนปี 2025: ทิศทางสู่การเติบโตที่ยั่งยืน
จากข้อมูลล่าสุดในช่วงต้นปี 2025 ตลาดรถยนต์พลังงานใหม่ (NEVs) ในประเทศจีน ซึ่งครอบคลุมทั้งรถยนต์ไฟฟ้าแบตเตอรี่ล้วน (BEV), รถยนต์ปลั๊กอินไฮบริด (PHEV) และรถยนต์ไฟฟ้าที่ใช้เครื่องยนต์สันดาปเป็นเครื่องกำเนิดไฟฟ้า (EREV) ยังคงแสดงให้เห็นถึงการเติบโตที่แข็งแกร่ง โดยเฉพาะในเดือนพฤษภาคม 2025 ที่มียอดขายรวมสูงถึง 1.021 ล้านคัน เพิ่มขึ้น 28.2% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนหน้า และเพิ่มขึ้น 12.1% เมื่อเทียบกับเดือนเมษายน 2025
เมื่ออ้างอิงรายงานจากสมาคมผู้ค้ารถยนต์จีน (CADA) ตัวเลขยอดขายสะสมตั้งแต่เดือนมกราคมถึงพฤษภาคม 2025 อยู่ที่ 4.351 ล้านคัน เพิ่มขึ้น 34.1% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปี 2024 บ่งชี้ให้เห็นถึงแนวโน้มการเติบโตที่ต่อเนื่องและมีความมั่นคง
ยอดขายของรถยนต์กลุ่ม NEVs ในเดือนพฤษภาคม 2025 สามารถจำแนกได้ดังนี้:
BEV (รถยนต์ขุมพลังไฟฟ้าล้วน): 607,000 คัน
PHEV (Plug-in hybrid): 298,000 คัน
EREV (รถ EV ที่ติดตั้งเครื่องยนต์สันดาปสำหรับการปั่นไฟ): 116,000 คัน
Geely Geome Xingyuan: ดาวเด่นแห่งเดือนพฤษภาคม 2025
ในเดือนพฤษภาคม 2025 ที่ผ่านมา Geely Geome Xingyuan (หรือ Starwish สำหรับตลาดโลก) กลายเป็นรถยนต์ที่มียอดขายสูงสุดในกลุ่ม NEVs ด้วยยอดขายถึง 38,715 คัน และยังคงครองตำแหน่งรถยนต์ขายดีอันดับ 1 ของปี 2025 สะสมถึง 164,049 คัน รถยนต์รุ่นใหม่จาก Geely นี้ได้แสดงให้เห็นถึงความสำเร็จอย่างรวดเร็ว นับตั้งแต่เปิดตัวในเดือนตุลาคม 2024 เพียงระยะเวลา 8 เดือน ก็สามารถผลิตคันที่ 200,000 ได้สำเร็จ โดย Geely รายงานว่า สามารถขายได้เฉลี่ย 905 คันต่อวัน หรือคิดเป็น 1 คันทุกๆ 97 วินาที
BYD: ผู้นำที่ยังคงแข็งแกร่ง
ยักษ์ใหญ่แห่งวงการ NEVs อย่าง BYD ยังคงครองความเป็นผู้นำในตลาดจีน โดยมีรถยนต์ติดอันดับขายดีถึง 9 รุ่น ใน 20 อันดับแรก ยอดขายรวมของทั้ง 9 รุ่นในเดือนพฤษภาคมอยู่ที่ประมาณ 181,000 คัน โดยรุ่นยอดนิยมอย่าง BYD Seagull คว้าอันดับ 2 ด้วยยอดขาย 31,105 คัน และ Qin Plus อยู่อันดับ 3 ด้วยยอดขาย 29,328 คัน
Wuling และ Xiaomi: แบรนด์ดาวรุ่งที่น่าจับตา
Wuling ยังคงรักษาตำแหน่งที่น่าสนใจ โดยเฉพาะรุ่น Hongguang Mini EV ซึ่งติดอันดับ 4 ด้วยยอดขายเดือนพฤษภาคม 29,017 คัน และมียอดขายสะสม 144,953 คัน
ในขณะเดียวกัน Xiaomi SU7 รถยนต์ไฟฟ้ารุ่นแรกจากแบรนด์เทคโนโลยีชื่อดัง ก็สามารถสร้างผลงานได้อย่างน่าประทับใจ โดยติดอันดับ 5 ด้วยยอดขายเดือนพฤษภาคม 28,013 คัน และมียอดขายสะสมกว่า 132,467 คัน
Tesla: ยังคงรักษาฐานที่มั่น
แม้จะเผชิญกับการแข่งขันที่เข้มข้น Tesla ก็ยังคงสามารถรักษาส่วนแบ่งการตลาดไว้ได้ โดย Model Y มียอดขาย 24,770 คันในเดือนพฤษภาคม และมียอดขายสะสม 126,643 คัน ส่วน Model 3 มียอดขาย 13,818 คัน ติดอันดับที่ 16
ตลาด NEVs ของจีนยังคงเป็นตลาดที่มีพลวัตสูง โดยเฉพาะในกลุ่มรถยนต์ไฟฟ้าขนาดเล็กถึงกลางที่เน้นราคาเข้าถึงง่ายและเทคโนโลยีที่ทันสมัย แนวโน้มนี้ชี้ให้เห็นว่า แบรนด์จีนจะยิ่งขยายอิทธิพลทั้งในและนอกประเทศมากขึ้นอย่างต่อเนื่องในช่วงครึ่งหลังของปี 2025 และปีต่อๆ ไป
เทรนด์ยางรถยนต์ขอบ 20 นิ้ว: ตอบโจทย์ยุคใหม่ของ SUV และ EV
ในขณะที่ตลาดรถยนต์ไฟฟ้ากำลังเติบโตอย่างก้าวกระโดด ควบคู่ไปกับการขยายตัวของกลุ่มรถยนต์ SUV และรถยนต์สมรรถนะสูง ขนาดยางรถยนต์ที่ได้รับความนิยมก็มีแนวโน้มที่จะเปลี่ยนแปลงตามไปด้วย ข้อมูลจาก YellowTire.com แพลตฟอร์มออนไลน์ด้านยางรถยนต์ชั้นนำในประเทศไทย พบว่า “ยางขอบ 20 นิ้ว” กำลังกลายเป็นหนึ่งในขนาดที่ได้รับความนิยมสูงสุด โดยเฉพาะในกลุ่มรถยนต์ SUV, รถกระบะ, รถสปอร์ตสมรรถนะสูง และรถยนต์ไฟฟ้า (EV) ซึ่งเป็นกลุ่มยานยนต์ที่มีการเติบโตอย่างต่อเนื่องในตลาดไทย
10 อันดับขนาดยางขอบ 20 นิ้วที่ได้รับความนิยมสูงสุดในปี 2025 (อ้างอิงจาก YellowTire.com):
265/50R20
275/55R20
255/45R20
265/55R20
245/45R20
245/35R20
255/55R20
245/40R20
33X12.5R20
255/40R20
ข้อมูลนี้สะท้อนให้เห็นถึงการเลือกใช้ยางที่ให้ความสมดุลระหว่าง “ความสวยงาม” และ “สมรรถนะ” ผู้บริโภคยุคใหม่ โดยเฉพาะกลุ่มเจ้าของรถ SUV และ EV ต้องการยางที่ให้การยึดเกาะถนนที่ดีเยี่ยม ความเงียบขณะขับขี่ และประสิทธิภาพในการรีดน้ำที่เหนือกว่า เพื่อรองรับแรงบิดที่สูงขึ้นของรถยนต์ไฟฟ้า และสมรรถนะที่ต้องการจากรถ SUV ที่ใช้งานหลากหลายรูปแบบ
ตัวอย่างรถยนต์ที่นิยมใช้ยางขอบ 20 นิ้ว:
265/50R20: Ford Everest, Toyota Fortuner, Isuzu MU-X, GWM Tank 500
275/55R20: Ford Ranger, Toyota Hilux Revo, Isuzu D-Max, Mitsubishi Triton
255/45R20: Mercedes-Benz GLC, Kia EV5, BMW i7, Deepal SO7
245/45R20: Volvo V90 Cross Country, BYD Sealion 7, Zeekr X
33X12.5R20: Mazda BT-50, Toyota Revo, Isuzu D-Max
แนวโน้มตลาดยางขอบ 20 นิ้วในปี 2025
การเติบโตของตลาดยางขอบ 20 นิ้วในปี 2025 ได้รับแรงหนุนหลักจากการขยายตัวของกลุ่มรถยนต์ไฟฟ้า (EV) และ SUV ขนาดกลางถึงใหญ่ ซึ่งโดยทั่วไปแล้วรถยนต์กลุ่มนี้จะมาพร้อมกับล้ออัลลอยขนาด 19-21 นิ้ว ส่งผลให้ความต้องการยางขนาด 20 นิ้วเพิ่มสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ทั้งในกลุ่มยางสมรรถนะสูง (Performance Tire) ที่เน้นการควบคุมและการยึดเกาะ และยางนุ่มเงียบ (Comfort Tire) ที่เน้นความสบายในการเดินทาง
การเลือกใช้ยางขอบใหญ่ยังตอบโจทย์ด้าน “ความสวยงาม” และ “การทรงตัว” ซึ่งกลายเป็นเทรนด์สำคัญของผู้บริโภคในกลุ่มรถยนต์พรีเมียมและรถยนต์พลังงานทางเลือกที่ให้ความสำคัญกับการแสดงออกถึงสไตล์และความเป็นตัวตน
10 รุ่นยางยอดนิยมขนาด 265/50R20 (อ้างอิงข้อมูลจาก YellowTire.com ณ 27 ตุลาคม 2568):
| อันดับ | ยี่ห้อ | รุ่นยาง | ราคาต่อเส้น (บาท) |
|---|---|---|---|
| 1 | Continental | CrossContact RX | 5,200 – 5,500 |
| 2 | Michelin | Primacy SUV+ | 6,750 – 8,950 |
| 3 | Nitto | NT420SD | 4,760 – 6,200 |
| 4 | Bridgestone | Dueler H/T 684 II | 5,290 – 7,890 |
| 5 | Yokohama | Geolandar A/T G015 | 5,990 – 8,400 |
| 6 | Dunlop | Grandtrek PT3 | 8,280 |
| 7 | Bridgestone | Ecopia H/L 001 | 6,700 – 8,700 |
| 8 | Deestone | Stormz RS | 2,525 – 3,780 |
| 9 | Maxxis | MA-S2 | 3,990 – 4,950 |
| 10 | Westlake | SA07 | 3,370 – 5,250 |
\ราคา ณ วันที่ 27 ตุลาคม 2568
มุมมองจากผู้เชี่ยวชาญ: ความสมดุลคือหัวใจสำคัญ
ผู้เชี่ยวชาญด้านยางรถยนต์ให้ทัศนะว่า “ขนาดยาง 265/50R20 และ 275/55R20 ได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางในกลุ่มรถ SUV และรถกระบะพรีเมียม เนื่องจากให้ความสมดุลที่ยอดเยี่ยมระหว่าง ความนุ่มนวล และ การยึดเกาะถนน ซึ่งเป็นคุณสมบัติที่จำเป็นอย่างยิ่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อใช้กับยางที่ได้รับการพัฒนาเพื่อรองรับรถยนต์ไฟฟ้า ที่มีลักษณะเด่นเรื่องแรงบิดสูง ซึ่งต้องการยางที่สามารถถ่ายทอดกำลังลงสู่พื้นถนนได้อย่างมีประสิทธิภาพ”
เกี่ยวกับ YellowTire.com
YellowTire.com เป็นแพลตฟอร์มออนไลน์ชั้นนำที่ให้บริการค้นหาและเปรียบเทียบยางรถยนต์ครบวงจรที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย รวบรวมยางจากกว่า 40 แบรนด์ชั้นนำ ครอบคลุมรถยนต์ทุกประเภท ทั้งรถเก๋ง, SUV, Pickup และรถยนต์ไฟฟ้า (EV) พร้อมข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับขนาดยาง, มาตรฐาน UTQG, Eco Sticker และราคาตลาดที่อัปเดตแบบเรียลไทม์ เพื่อช่วยให้ผู้บริโภคสามารถตัดสินใจเลือกยางที่เหมาะสมกับรถยนต์และการใช้งานของตนเองได้อย่างดีที่สุด
ความท้าทายในสมรภูมิ EV จีน: Tesla กับการปรับกลยุทธ์เพื่อรักษาความเป็นผู้นำ
แม้จะยังคงเป็นผู้เล่นรายใหญ่ในตลาดรถยนต์ไฟฟ้า แต่ Tesla กำลังเผชิญหน้ากับการแข่งขันที่รุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ในประเทศจีน ซึ่งเป็นตลาด EV ที่ใหญ่ที่สุดในโลก ข้อมูลจากสมาคมรถยนต์นั่งส่วนบุคคลแห่งประเทศจีน (CPCA) ในเดือนกุมภาพันธ์ 2025 แสดงให้เห็นว่า ส่วนแบ่งการตลาดรถยนต์พลังงานใหม่ (NEV) ของ Tesla ลดลงเหลือ 3.8% และในตลาดรถยนต์ไฟฟ้าแบตเตอรี่ (BEV) อยู่ที่ 6.3%
เพื่อตอบโต้สถานการณ์นี้ Tesla กำลังซุ่มพัฒนารถยนต์ไฟฟ้ารุ่นใหม่ภายหัสโค้ด “E41” ซึ่งมีเป้าหมายหลักคือการลดต้นทุนการผลิตลงอย่างน้อย 20% เมื่อเทียบกับ Model Y รุ่นปัจจุบัน การลดต้นทุนนี้จะทำให้ Tesla สามารถตั้งราคาขายที่สามารถแข่งขันได้มากขึ้นในตลาดจีน โดยคาดว่าจะมีการเดินสายการผลิตที่โรงงาน Gigafactory เซี่ยงไฮ้ ในปี 2026
แนวคิดการพัฒนา E41 นี้ใช้หลักการ “Depop” ของ Tesla China คือการลดความซับซ้อนของชิ้นส่วนและกระบวนการผลิต โดยยังคงรักษาคุณสมบัติหลักของรถไว้ เพื่อให้สามารถเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ แหล่งข่าวระบุว่า E41 จะมีขนาดเล็กกว่า Model Y ปัจจุบัน และอาจมีการปรับเปลี่ยนโครงสร้างหรือขนาดแบตเตอรี่เพื่อลดต้นทุน
การวางจำหน่าย E41 จะเน้นที่ตลาดจีนเป็นหลัก เพื่อรักษาและเพิ่มส่วนแบ่งการตลาด ท่ามกลางการแข่งขันที่ดุเดือดจากผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าสัญชาติจีนหลายราย เช่น Xiaomi SU7 ที่ทำยอดขายแซงหน้า Model 3 อย่างต่อเนื่อง หรือคู่แข่งโดยตรงของ Model Y ที่กำลังจะเปิดตัวจากแบรนด์ใหญ่อย่าง Aito (ภายใต้ Huawei), Xiaomi (YU7), และ Xpeng
การเปิดตัว Model Y “E41” ที่มีราคาเข้าถึงง่าย ถือเป็น “หมากรุก” สำคัญที่ Tesla วางไว้เพื่อตอบโต้การแข่งขันที่รุนแรงนี้ และรักษาตำแหน่งผู้นำในตลาดรถยนต์ไฟฟ้าที่ใหญ่ที่สุดในโลก ความสำเร็จของ E41 จะขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายประการ ไม่ว่าจะเป็นราคาที่แข่งขันได้จริง, คุณสมบัติที่ตอบโจทย์ผู้บริโภคชาวจีน, และความสามารถในการผลิตและส่งมอบที่ทันท่วงที
แนวโน้มตลาดรถยนต์สหรัฐฯ ไตรมาสแรกปี 2025: การเติบโตของ Hybrid และ Pickup
ตลาดรถยนต์ในสหรัฐอเมริกาเริ่มต้นปี 2025 ด้วยการเติบโตที่น่าพอใจ โดยมีปริมาณการขายเพิ่มขึ้นราว 4% จากไตรมาสแรกของปีก่อนหน้า สู่ระดับประมาณ 3.9 ล้านคัน แม้จะมีประเด็นการขึ้นภาษีนำเข้ารถยนต์เข้ามาเกี่ยวข้อง ประเภทรถยนต์ที่มีอัตราการเติบโตสูงขึ้นส่วนใหญ่เป็นกลุ่ม Hybrid และ รถกระบะ อย่างไรก็ตาม รถยนต์ประเภท SUV และ กระบะ ยังคงครองส่วนแบ่งการตลาดส่วนใหญ่ แม้จะมีพื้นที่เหลือสำหรับรถยนต์ Sedan ราคาที่จับต้องได้
25 อันดับ รุ่นรถยนต์ที่ขายดีที่สุดในสหรัฐฯ ประจำไตรมาสแรกปี 2025 (เรียงลำดับจากยอดน้อยที่สุดไปมากที่สุด):
Ford Maverick: 38,015 คัน (ลดลง 3% YoY)
Subaru Outback: 39,934 คัน (เพิ่มขึ้น 13% YoY)
Honda HR-V: 40,944 คัน (เพิ่มขึ้น 8% YoY)
Tesla Model 3: ประมาณ 41,000 คัน
Kia Sportage: 41,301 คัน (เพิ่มขึ้น 11% YoY)
Subaru Crosstrek: 43,612 คัน (เพิ่มขึ้น 14% YoY)
Ford Explorer: 47,314 คัน (ลดลง 19% YoY)
Jeep Grand Cherokee: 48,465 คัน (ลดลง 11% YoY)
Subaru Forester: 49,865 คัน (เพิ่มขึ้น 3% YoY)
Nissan Sentra: 54,536 คัน (เพิ่มขึ้น 36% YoY)
Hyundai Tucson: 54,973 คัน (เพิ่มขึ้น 21% YoY)
Toyota Corolla: 55,456 คัน (ลดลง 8% YoY)
Honda Civic: 58,976 คัน (ลดลง 5% YoY)
Chevrolet Trax: 59,021 คัน (เพิ่มขึ้น 57% YoY)
Toyota Tacoma: 59,825 คัน (เพิ่มขึ้น 177% YoY)
Nissan Rogue: 62,102 คัน (ลดลง 32% YoY)
Toyota Camry: 70,308 คัน (ลดลง 10% YoY)
Tesla Model Y: ประมาณ 71,000 คัน (ลดลงเล็กน้อย YoY)
Chevrolet Equinox: 71,002 คัน (ลดลง 31% YoY)
GMC Sierra: 77,292 คัน (เพิ่มขึ้นเล็กน้อย YoY)
RAM Pickup: 78,848 คัน (ลดลง 11% YoY)
Honda CR-V: 103,325 คัน (เพิ่มขึ้น 9% YoY)
Toyota RAV4: 115,402 คัน (ลดลง 8% YoY)
Chevrolet Silverado: 125,298 คัน (ลดลง 8% YoY)
Ford F-series: 183,202 คัน (เพิ่มขึ้น 26% YoY)
ตลาดรถยนต์ไฟฟ้า 100% ในไทย มกราคม 2025: การปรับตัวสู่ความท้าทายใหม่
ข้อมูลยอดจดทะเบียนรถยนต์ไฟฟ้า 100% (BEV) ในประเทศไทย ประจำเดือนมกราคม 2568 แสดงให้เห็นภาพรวมการปรับตัวของตลาด โดยมียอดจดทะเบียนรวม 12,376 คัน ซึ่งคิดเป็น 22.1% ของยอดจดทะเบียนรถยนต์ทั้งหมด (55,923 คัน) อย่างไรก็ตาม ตัวเลขนี้ลดลง 9.4% เมื่อเทียบกับเดือนมกราคม 2567 ที่มียอดจดทะเบียน 13,653 คัน
Top 20 อันดับ ยอดจดทะเบียนสูงสุด เดือนมกราคม 2568 (รถยนต์ไฟฟ้า 100%):
BYD Sealion 7: 1,757 คัน (ส่วนแบ่งตลาด 14.2%)
BYD Dolphin: 1,446 คัน
Deepal S07: 1,221 คัน
MG4 Electric: 1,114 คัน
DENZA D9: 769 คัน
NETA V: 576 คัน
ORA Good Cat: 485 คัน
BYD M6: 459 คัน
ChangAn Lumin: 410 คัน
NETA X: 409 คัน
Aion HYPTEC HT: 406 คัน
BYD Seal: 376 คัน
Aion Y Plus: 360 คัน
BYD Atto 3: 324 คัน
Aion V: 268 คัน
Jaecoo 6 EV: 250 คัน
Omoda C5 EV: 157 คัน
Deepal L07: 145 คัน
ZEEKR 009: 124 คัน
XPENG G6: 123 คัน
รถ Hatchback: นิยามใหม่ของความคล่องตัวและประโยชน์ใช้สอย
รถ Hatchback หรือที่เรียกกันว่า “รถ 5 ประตู” เป็นหนึ่งในรูปแบบตัวถังรถยนต์ที่มีความหลากหลายและตอบสนองการใช้งานได้ดีเยี่ยม โดยทั่วไปแล้ว รถ Hatchback มีพื้นฐานมาจากรถยนต์ซีดาน แต่เพิ่มประตูบานที่ 5 ซึ่งเป็นฝากระโปรงท้ายที่เปิดขึ้นได้ทั้งบานพร้อมกับกระจกบังลมหลัง ทำให้การเข้าถึงพื้นที่เก็บสัมภาระทำได้สะดวกและกว้างขวางกว่ารถซีดานแบบดั้งเดิม
ข้อดีของรถ Hatchback:
พื้นที่ใช้สอยที่มากกว่า: ด้วยการออกแบบที่เชื่อมต่อระหว่างห้องโดยสารและพื้นที่เก็บสัมภาระ ทำให้รู้สึกโปร่งโล่ง และคนตัวสูงสามารถนั่งด้านหลังได้สบายกว่า
เบาะหลังพับได้: สามารถปรับเปลี่ยนรูปแบบการใช้งานได้หลากหลาย ตั้งแต่การเพิ่มพื้นที่เก็บสัมภาระ ไปจนถึงการขนของชิ้นใหญ่
ขนาดกะทัดรัด: ขับขี่และมุดซอกแซกในเมืองได้อย่างคล่องตัว
ประหยัดน้ำมัน: ส่วนใหญ่จัดอยู่ในกลุ่ม Eco Car ทำให้ประหยัดค่าใช้จ่ายในการเดินทาง
หาที่จอดง่าย: ด้วยขนาดที่ไม่ใหญ่จนเกินไป ทำให้การหาที่จอดในเมืองเป็นเรื่องสะดวก
มุมมองการขับขี่ที่ดี: กระจกบังลมด้านหลังที่ใหญ่ ช่วยเพิ่มทัศนวิสัย
ข้อเสียของรถ Hatchback:
แอโรไดนามิกส์: รูปทรงที่อาจลู่ลมน้อยกว่ารถซีดานบางรุ่น อาจส่งผลต่ออัตราการสิ้นเปลืองน้ำมันบ้าง
น้ำหนัก: โดยทั่วไปอาจมีน้ำหนักมากกว่ารถซีดานเล็กน้อย เนื่องจากใช้วัสดุและกระจกในส่วนท้ายที่มากกว่า
ราคา: รถ Hatchback บางรุ่นที่มาพร้อมเครื่องยนต์ประสิทธิภาพสูง หรือเทคโนโลยีล้ำสมัย อาจมีราคาสูงกว่ารถซีดานทั่วไป
8 รถ Hatchback ที่น่าสนใจในปี 2025:
Honda City Hatchback: เป็นตัวเลือกที่น่าสนใจสำหรับผู้ที่ต้องการความคุ้มค่า ความประหยัด และสมรรถนะที่ยอดเยี่ยม รุ่น e:HEV SV พร้อมระบบไฮบริด ให้การขับขี่ที่นุ่มนวลและอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงที่น่าประทับใจ
Toyota Yaris Hatchback: การันตีด้วยชื่อชั้นของ Toyota ในด้านความทนทาน ความน่าเชื่อถือ และศูนย์บริการที่ครอบคลุมทั่วประเทศ Yaris Hatchback เป็นรถ Eco Car ที่เหมาะกับการใช้งานในชีวิตประจำวัน
Mazda 2 Hatchback: โดดเด่นด้วยดีไซน์สปอร์ตล้ำสมัย สมรรถนะที่สนุกสนาน และช่วงล่างที่ยอดเยี่ยม ทำให้ Mazda 2 Hatchback เป็นหนึ่งในตัวเลือกที่น่าซื้อที่สุดในกลุ่ม
Mazda 3 Fastback: สำหรับผู้ที่มองหารถ Hatchback ระดับพรีเมียม Mazda 3 Fastback มอบความหรูหรา ดีไซน์ที่สะกดทุกสายตา และเทคโนโลยีความปลอดภัยที่ครบครัน
Suzuki Swift: ขึ้นชื่อเรื่องความประหยัดน้ำมัน และช่วงล่างที่เกาะถนนแน่นหนึบ Suzuki Swift เป็นรถ Eco Car ขนาดเล็กที่มอบความสนุกในการขับขี่
Mitsubishi Mirage: รถ Hatchback ขนาดเล็กที่เหมาะสำหรับผู้หญิง หรือผู้เริ่มต้นขับรถ ด้วยความคล่องตัว การประหยัดน้ำมัน และราคาที่เข้าถึงง่าย
Honda Civic Hatchback (มือสอง): แม้จะยุติการจำหน่ายรุ่นใหม่ไปแล้ว แต่ Honda Civic Hatchback (FK) ในตลาดรถมือสอง ยังคงเป็นที่ต้องการอย่างสูง ด้วยดีไซน์ที่สปอร์ต สมรรถนะเครื่องยนต์ Turbo ที่เร้าใจ
Nissan March (มือสอง): ผู้บุกเบิกตลาด Eco Car ของไทย Nissan March ในตลาดรถมือสอง ยังคงเป็นตัวเลือกที่คุ้มค่า ด้วยขนาดกะทัดรัด ความประหยัดน้ำมัน และค่าบำรุงรักษาที่ไม่สูง
การเลือกซื้อรถยนต์สักคัน ไม่ว่าจะเป็นรถยนต์ไฟฟ้า หรือรถยนต์ประเภทใดก็ตาม สิ่งสำคัญคือการพิจารณาถึงความต้องการ งบประมาณ และไลฟ์สไตล์การใช้งานของตนเองอย่างรอบคอบ หากคุณกำลังมองหารถยนต์ที่ตอบโจทย์การใช้งานในยุคใหม่ ทั้งด้านเทคโนโลยี ประสิทธิภาพ และความคุ้มค่า การศึกษาข้อมูลและเปรียบเทียบตัวเลือกที่มีอยู่ในตลาด จะช่วยให้คุณตัดสินใจได้อย่างมั่นใจ
พร้อมแล้วหรือยัง? ก้าวสู่โลกยานยนต์แห่งอนาคตไปกับเรา
โลกยานยนต์กำลังเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว การเลือกยานพาหนะที่ใช่ ไม่ใช่เพียงแค่การเดินทาง แต่คือการสะท้อนตัวตน และการเตรียมพร้อมสำหรับอนาคต หากคุณพร้อมที่จะสัมผัสประสบการณ์ใหม่ หรือต้องการข้อมูลเชิงลึกเพิ่มเติมเกี่ยวกับการเลือกซื้อรถยนต์ไฟฟ้า รถยนต์ Hybrid หรือรถยนต์รุ่นใดก็ตามที่มีในตลาดปัจจุบัน ไม่ว่าจะเป็นรถยนต์ใหม่ป้ายแดง หรือรถยนต์มือสองคุณภาพดี
อย่ารอช้า! ติดต่อผู้เชี่ยวชาญของเรา หรือสำรวจตัวเลือกที่หลากหลายได้แล้ววันนี้ เพื่อค้นหารถยนต์ที่ใช่ ที่จะพาคุณก้าวไปสู่อนาคตการเดินทางที่เหนือกว่า

