MINI John Cooper Works: จิตวิญญาณแห่งความเร็ว เติมเต็มทุกเส้นทางสู่ความเป็นที่สุด
ในฐานะผู้คร่ำหวอดในวงการยานยนต์มากว่าทศวรรษ การได้สัมผัสกับยานยนต์ที่หลอมรวมเอาสมรรถนะดิบ ความปราดเปรียว และการออกแบบที่เหนือกาลเวลาเข้าไว้ด้วยกันเสมอมา คือสิ่งที่ผมภาคภูมิใจเสมอ วันนี้ ผมขอพาทุกท่านดำดิ่งสู่โลกอันน่าตื่นเต้นของ MINI John Cooper Works (JCW) หนึ่งในสุดยอดผลงานจากสำนักแต่งระดับตำนาน ที่ได้ยกระดับนิยามของรถยนต์ขนาดเล็กให้กลายเป็นไอคอนแห่งความแรงและสุนทรียภาพในการขับขี่อย่างแท้จริง
นิยามใหม่แห่งความแรง: MINI John Cooper Works F56
การปรากฏตัวของ MINI John Cooper Works F56 นั้น เปรียบเสมือนการประกาศศักดาอย่างเงียบๆ แต่ทรงพลัง แม้จะไม่หวือหวาในตอนแรก แต่เมื่อได้สัมผัสถึงแก่นแท้ของมัน คุณจะตระหนักได้ทันทีว่านี่คือ MINI ที่แรงที่สุดเท่าที่เคยมีมา ด้วยการถ่ายทอด DNA แห่งสนามแข่งจาก John Cooper Works โดยตรง สู่รถยนต์ที่พร้อมโลดแล่นบนท้องถนนได้อย่างสมบูรณ์แบบ การหลอมรวมเข้ากับ BMW อย่างเป็นทางการนั้น ยิ่งเป็นการตอกย้ำถึงการยกระดับเทคโนโลยีและมาตรฐานการผลิตให้ก้าวไปอีกขั้น
ดีไซน์ที่ปลุกเร้าสัญชาตญาณ: ดุดัน ทรงพลัง ทุกมุมมอง
เมื่อแรกเห็น MINI JCW F56 คุณจะสัมผัสได้ถึงความแตกต่างอย่างชัดเจนจาก MINI Hatch 3 Door Cooper S ทั่วไป ช่องดักอากาศขนาดมหึมาที่มุมกันชนด้านหน้า ไม่เพียงแต่เพิ่มมิติความดุดัน แต่ยังหมายถึงการป้อนอากาศที่เพียงพอต่อการหล่อเย็นเครื่องยนต์สมรรถนะสูง ล้ออัลลอยดีไซน์เฉพาะของ JCW ขนาด 18 นิ้ว ที่มาพร้อมลวดลายอันเป็นเอกลักษณ์ ช่วยเสริมบุคลิกที่แข็งแกร่งและพร้อมพุ่งทะยาน
ด้านท้ายของรถ สะท้อนความตั้งใจในการออกแบบได้อย่างน่าประทับใจ ชุดกันชนใหม่ที่ออกแบบมาให้คล้ายคลึงกับด้านหน้า สร้างภาพลักษณ์ที่สมมาตรและทรงพลัง ท่อไอเสียคู่ที่คั่นกลางด้วยดิฟฟิวเซอร์ที่ดูดุดัน ยิ่งตอกย้ำความเป็นสปอร์ตคาร์ที่พร้อมระเบิดพลัง
สีสันของ MINI JCW คืออีกหนึ่งองค์ประกอบที่สร้างความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญ หลังคาและกระจกมองข้างสี Chili Red ตัดกับสีตัวถังอย่างเขียว Rebel Green อันเป็นเอกลักษณ์เฉพาะของรุ่นนี้ เมื่อผนวกกับแถบสีตกแต่งคาดรอบคันในโทนสีดำ ตัดขอบด้วยสีแดง ยิ่งขับเน้นเส้นสายที่เฉียบคมของตัวรถ ทำให้ MINI JCW F56 ไม่ใช่เพียงรถยนต์ แต่เป็นผลงานศิลปะที่เคลื่อนไหวได้
เทคโนโลยีการแสดงผล MINI Head-Up Display ที่มาพร้อมคอนเทนต์พิเศษเฉพาะรุ่น JCW คือสิ่งที่ยกระดับประสบการณ์การขับขี่ไปอีกขั้น ข้อมูลสำคัญที่จำเป็นต่อการควบคุมรถจะถูกฉายขึ้นมาตรงหน้าผู้ขับขี่ในระดับสายตา ทำให้คุณสามารถจดจ่ออยู่กับการขับขี่ได้อย่างเต็มที่ โดยไม่ต้องละสายตาจากถนน
ขุมพลังที่รอการปลดปล่อย: 231 แรงม้า แห่งความเร้าใจ
หัวใจของ MINI John Cooper Works F56 คือเครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบ ขนาด 2.0 ลิตร เทอร์โบชาร์จ ที่วางในแนวขวาง (Transverse) พละกำลังสูงสุดที่ 231 แรงม้า และแรงบิดมหาศาลถึง 320 นิวตันเมตร คือตัวเลขที่บ่งบอกถึงสมรรถนะอันเหนือชั้น เหนือกว่า MINI Hatch 3 Door Cooper S ถึง 39 แรงม้า และแรงบิดอีก 40 นิวตันเมตร นี่คือเครื่องยนต์ที่ทรงพลังที่สุดที่ MINI เคยนำเสนอสู่ตลาด
สมรรถนะระดับนี้ มาพร้อมกับประสิทธิภาพการใช้เชื้อเพลิงที่น่าประทับใจ โดยมีอัตราสิ้นเปลืองอยู่ที่ 16.1 กิโลเมตรต่อลิตร และการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เพียง 148 กรัมต่อกิโลเมตร ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความสมดุลระหว่างพละกำลังและความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อม
ช่วงล่างและระบบควบคุม: ประสานงานเพื่อประสิทธิภาพสูงสุด
ขุมพลังอันดุดัน จะไร้ความหมายหากปราศจากระบบช่วงล่างและระบบควบคุมที่สามารถรองรับได้ MINI JCW F56 ได้รับการติดตั้งระบบช่วงล่างที่ทำงานประสานกันอย่างลงตัวกับเครื่องยนต์ เบรกสปอร์ตประสิทธิภาพสูงจาก Brembo ช่วยให้การหยุดรถเป็นไปอย่างมั่นใจและแม่นยำ ระบบพวงมาลัย Servotronic ที่ผสมผสานการทำงานของระบบไฟฟ้าและกลไกเข้าด้วยกัน มอบการตอบสนองที่เฉียบคมและแม่นยำในทุกสถานการณ์
เทคโนโลยี Dynamic Stability Control (DSC) ที่ทำงานร่วมกับระบบย่อยอย่าง Dynamic Traction Control (DTC), Electronic Differential Lock Control (EDLC) และ Dynamic Damper Control เป็นมาตรฐานที่ติดตั้งมาในรถทุกคัน ระบบเหล่านี้ช่วยเสริมการยึดเกาะถนน ลดอาการท้ายปัด และปรับความหนืดของช่วงล่างให้เหมาะสมกับสไตล์การขับขี่และสภาพถนน ทำให้ MINI JCW F56 สามารถควบคุมได้ง่ายดายและปลอดภัย แม้ในยามที่ขับขี่ด้วยความเร็วสูง
ด้วยน้ำหนักตัวถังเพียง 1,205 กิโลกรัม ซึ่งเบากว่า MINI Hatch 3 Door Cooper S ถึง 45 กิโลกรัม ยิ่งทำให้ MINI JCW F56 มีความคล่องตัวและความปราดเปรียวที่เหนือกว่า ส่งผลให้การเข้าโค้งและการเปลี่ยนเลนทำได้อย่างฉับไว
ความพิเศษที่มาพร้อมราคา: การลงทุนเพื่อประสบการณ์ที่ไม่เหมือนใคร
MINI John Cooper Works F56 ที่นำเข้ามาจำหน่ายในประเทศไทย เฉพาะรุ่นเกียร์อัตโนมัติ พร้อมราคา 3,450,000 บาท อาจดูสูงเมื่อเทียบกับรถยนต์ขนาดเล็กทั่วไป แต่เมื่อพิจารณาถึงสมรรถนะ เทคโนโลยี และความเป็นไอคอนแห่งความสปอร์ตที่ MINI JCW มอบให้ การลงทุนในรถยนต์คันนี้คือการซื้อประสบการณ์การขับขี่ที่หาไม่ได้จากรถคันอื่น
เมื่อเทียบกับ MINI Hatch 3 Door Cooper S ที่มีราคา 2.84 ล้านบาท ส่วนต่าง 610,000 บาท คือค่าที่จ่ายเพิ่มเพื่อครอบครองความแรง ความพิเศษ และความรู้สึกเหนือระดับที่ MINI JCW F56 มอบให้ ซึ่งสำหรับผู้ที่หลงใหลในสมรรถนะและความสนุกในการขับขี่อย่างแท้จริงแล้ว ถือเป็นการลงทุนที่คุ้มค่า
Toyota Innova 2016: สมาชิกใหม่แห่งครอบครัว MPV ที่ยกระดับความหรูหรา
ในโลกของรถยนต์อเนกประสงค์ (MPV) ที่มีการแข่งขันสูง Toyota Innova ได้ก้าวข้ามขีดจำกัดเดิมๆ ด้วยการเปิดตัว All-New Toyota Innova 2016 ที่มาพร้อมการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในทุกมิติ สะท้อนให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของ Toyota ในการนำเสนอผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทย์ทุกความต้องการของครอบครัวยุคใหม่
ดีไซน์ใหม่หมดจด: ความหรูหราสง่างามที่เหนือกว่า
Toyota Innova 2016 ได้รับการออกแบบภายนอกใหม่ทั้งหมด โดยได้รับแรงบันดาลใจจากรถยนต์รุ่นพี่อย่าง Toyota Highlander เส้นสายที่คมชัด สะท้อนถึงความแข็งแกร่งและทันสมัย กระจังหน้าขนาดใหญ่ เสริมด้วยไฟหน้า LED Projector (ในรุ่น Q Grade) ที่มอบทั้งความสว่างและความสวยงาม
มิติของตัวถังที่ดูแข็งแกร่งขึ้น พร้อมเส้นสายด้านข้างที่โฉบเฉี่ยว ทำให้ Innova 2016 ดูสง่างามและมีความเป็นรถยนต์พรีเมียมมากยิ่งขึ้น การออกแบบส่วนท้ายที่ใช้ไฟท้ายทรง L ที่แบ่งเป็นสองส่วน สร้างเอกลักษณ์ที่โดดเด่นและจดจำได้ง่าย
ห้องโดยสารที่ยกระดับ: ความสะดวกสบายและเทคโนโลยีเหนือระดับ
ภายในห้องโดยสาร คือจุดที่ Toyota Innova 2016 สร้างความประหลาดใจอย่างแท้จริง แผงคอนโซลหน้าที่เน้นเส้นโค้ง ตัดกับคอนโซลกลางแนวตั้งตรง พร้อมหน้าจอสัมผัสขนาดใหญ่ที่รองรับการเชื่อมต่อสมาร์ทโฟนผ่าน Wi-Fi และรองรับการสั่งงานด้วยเสียง รวมถึง Air Gesture (ในรุ่น Q และ V Grade) คือการนำเทคโนโลยีล้ำสมัยมาสู่รถยนต์ MPV อย่างแท้จริง
การจัดวางเบาะนั่งแบบ 3 แถว 7 ที่นั่ง ที่สามารถปรับเลื่อนและพับได้ง่ายด้วยระบบ One Touch ช่วยเพิ่มความสะดวกสบายในการเข้า-ออกแถวที่สาม เบาะนั่งแถวสองที่แยกอิสระ ให้ความเป็นส่วนตัวและสะดวกสบายสูงสุดสำหรับผู้โดยสาร
ฟีเจอร์อย่าง Ambient Light ที่สร้างบรรยากาศหรูหราภายในห้องโดยสาร เป็นอีกหนึ่งรายละเอียดที่แสดงถึงความใส่ใจในทุกการออกแบบ
ขุมพลังที่หลากหลาย: ประสิทธิภาพที่ตอบโจทย์ทุกการใช้งาน
Toyota Innova 2016 มาพร้อมทางเลือกเครื่องยนต์ 2 รูปแบบ คือ
เครื่องยนต์ดีเซล 2.4 ลิตร (16 วาล์ว DOHC เทอร์โบแปรผัน พร้อมอินเตอร์คูลเลอร์): ให้กำลังสูงสุด 149 แรงม้า และแรงบิด 360 นิวตันเมตร เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการพละกำลังและความประหยัดในการเดินทางไกล
เครื่องยนต์เบนซิน 2.0 ลิตร (Dual VVT-i 16 วาล์ว DOHC): ให้กำลังสูงสุด 139 แรงม้า และแรงบิด 183 นิวตันเมตร เป็นทางเลือกที่เหมาะสำหรับการใช้งานในชีวิตประจำวัน
เครื่องยนต์ทั้งสองแบบ สามารถจับคู่กับเกียร์ธรรมดา 5 จังหวะ หรือเกียร์อัตโนมัติ 6 จังหวะ ซึ่งมอบสมรรถนะที่นุ่มนวลและประหยัดน้ำมัน
ระบบความปลอดภัยครบครัน: สร้างความมั่นใจในทุกการเดินทาง
Toyota Innova 2016 มาพร้อมระบบความปลอดภัยมาตรฐานที่ครบครัน ไม่ว่าจะเป็นถุงลมนิรภัยคู่หน้า, ถุงลมนิรภัยป้องกันหัวเข่าผู้ขับขี่, ระบบ ISOFIX สำหรับเด็ก, ระบบเบรก ABS และ EBD ส่วนรุ่น Q Grade จะเพิ่มม่านถุงลมนิรภัยและถุงลมนิรภัยด้านข้าง การติดตั้งระบบควบคุมการทรงตัว VSC และระบบช่วยออกตัวบนทางลาดชัน Hill Assist Control ในรุ่น Q Grade เครื่องยนต์ดีเซล ยิ่งเป็นการตอกย้ำถึงความปลอดภัยที่ Toyota ให้ความสำคัญ
Mercedes-Benz GLE 500 e 4MATIC 2016: สุดยอด SUV ปลั๊กอินไฮบริด ที่ผสานความแรงและความยั่งยืน
ในโลกที่เทคโนโลยีก้าวล้ำและผู้บริโภคให้ความสำคัญกับความยั่งยืนมากยิ่งขึ้น Mercedes-Benz GLE 500 e 4MATIC 2016 คือนิยามใหม่ของรถยนต์ SUV ที่ตอบโจทย์ทุกความต้องการ ด้วยการผสานสมรรถนะอันเร้าใจของเครื่องยนต์ V6 เข้ากับพละกำลังของมอเตอร์ไฟฟ้าในระบบปลั๊กอินไฮบริด (Plug-in Hybrid) สร้างนิยามใหม่ของ “ที่สุดแห่งยานยนต์” ที่ทั้งทรงพลัง ประหยัด และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
DEFINE TOMORROW: วิสัยทัศน์สู่ยุคแห่งการขับเคลื่อนไฟฟ้า
Mercedes-Benz ประเทศไทย ได้ประกาศวิสัยทัศน์ “DEFINE TOMORROW” ตอกย้ำความเป็นผู้นำด้านยนตรกรรมเพื่อสิ่งแวดล้อม และการเปิดตัว GLE 500 e 4MATIC คือหนึ่งในก้าวสำคัญบนเส้นทางนี้ รถยนต์รุ่นนี้ไม่เพียงแต่โดดเด่นด้วยสมรรถนะ แต่ยังสะท้อนถึงความมุ่งมั่นของ Mercedes-Benz ในการพัฒนายานยนต์ที่ลดการปล่อยมลพิษ และเตรียมพร้อมสู่โลกของการขับขี่ที่ไร้ไอเสีย (Zero Emission) ในอนาคต
ดีไซน์ที่เหนือระดับ: ความสง่างามและความสปอร์ตที่ลงตัว
GLE 500 e 4MATIC โดดเด่นด้วยลายเส้นที่สวยงาม คมชัด และดูสง่างาม กระจังหน้าขนาดใหญ่ เสริมด้วยโครเมียม พร้อมตราสัญลักษณ์ Mercedes-Benz อันเป็นเอกลักษณ์ กันชนหน้าดีไซน์สปอร์ต พร้อมช่องระบายอากาศขนาดใหญ่ ไฟหน้าแบบ LED Intelligent Light System และไฟ Daytime Running Light ที่มอบทั้งความสว่างและสไตล์
การออกแบบส่วนท้ายที่เรียบหรู พร้อมท่อไอเสียคู่เสริมโครเมียม ยิ่งเพิ่มความสมบูรณ์แบบให้กับตัวรถ รุ่น Exclusive มาพร้อมล้ออัลลอย 20 นิ้ว สี Himalayas Grey ในขณะที่รุ่น AMG Dynamic จะเพิ่มความสปอร์ตยิ่งขึ้นด้วยล้อดีไซน์ AMG 20 นิ้ว สี Titanium Grey และชุดแต่ง AMG bodystyling ที่ครอบคลุมทั้งกันชนหน้า-หลัง รวมถึงดิสก์เบรกหน้าพร้อมคาลิเปอร์ AMG
ภายในที่หรูหราและทันสมัย: สุนทรียภาพแห่งการขับขี่
ห้องโดยสารของ GLE 500 e 4MATIC ได้รับการตกแต่งอย่างพิถีพิถัน เน้นความหรูหรา สง่างาม แต่ยังคงไว้ซึ่งกลิ่นอายของความสปอร์ต เบาะนั่งหุ้มหนัง Artico (รุ่น Exclusive) หรือหนัง Nappa (รุ่น AMG Dynamic) พร้อมการปรับระดับด้วยระบบไฟฟ้าและหน่วยความจำ เพิ่มความสะดวกสบายสูงสุด
ระบบมัลติมีเดีย COMAND Online พร้อมระบบเสียง Harman Kardon® Logic 7® และการรองรับ Apple CarPlay™ (รุ่น AMG Dynamic) มอบประสบการณ์ความบันเทิงที่เหนือระดับ ไฟ Ambient Light ที่ปรับได้ถึง 64 สี สร้างบรรยากาศที่ผ่อนคลายและหรูหราภายในห้องโดยสาร
เทคโนโลยี Plug-in Hybrid: พลังแห่งอนาคตที่ยั่งยืน
หัวใจสำคัญของ GLE 500 e 4MATIC คือระบบ Plug-in Hybrid ที่สามารถเลือกโหมดการขับขี่ได้ถึง 4 รูปแบบ:
HYBRID: ผสมผสานการทำงานระหว่างเครื่องยนต์และมอเตอร์ไฟฟ้า เน้นการใช้มอเตอร์ไฟฟ้าให้มากที่สุด
E-MODE: ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้า 100% ได้สูงสุด 130 กม./ชม. เป็นระยะทาง 30 กม. เหมาะสำหรับการขับขี่ในเมือง
E-SAVE: รักษาระดับพลังงานแบตเตอรี่ที่มีอยู่ เพื่อนำไปใช้ในภายหลัง เช่น การขับขี่ในเมืองที่การจราจรหนาแน่น
CHARGE: ใช้เครื่องยนต์ในการขับเคลื่อน พร้อมชาร์จกระแสไฟฟ้าเข้าสู่แบตเตอรี่
ระบบ Dynamic Select ที่มีโหมดการขับขี่ 5 แบบ (Individual, Comfort, Slippery, Sport, Sport+) ช่วยให้ผู้ขับขี่สามารถปรับสไตล์การขับขี่ให้เข้ากับทุกสภาวะ
ระบบความปลอดภัย Mercedes-Benz Intelligent Drive: อุ่นใจทุกการเดินทาง
Mercedes-Benz GLE 500 e 4MATIC มาพร้อมระบบความปลอดภัย Mercedes-Benz Intelligent Drive ที่ผสานเทคโนโลยีล้ำสมัยเพื่อมอบการปกป้องสูงสุด ครอบคลุมระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ, ระบบ PRE-SAFE, ESP, AIRMATIC, Crosswind Assist, ADAPTIVE BRAKE, ABS, ASR, ATTENTION ASSIST, Cruise Control, PARKTRONIC และ Active Parking Assist
ขุมพลังที่เหนือกว่า: 333 แรงม้า จากเครื่องยนต์ V6 และมอเตอร์ไฟฟ้า
GLE 500 e 4MATIC ขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์เบนซิน V6 เทอร์โบคู่ ความจุ 2,996 ซีซี. ให้กำลังสูงสุด 333 แรงม้า ผสานกับมอเตอร์ไฟฟ้า 116 แรงม้า ส่งผลรวมพละกำลังที่น่าทึ่ง อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ในเวลาเพียง 5.3 วินาที พร้อมความเร็วสูงสุด 245 กม./ชม.
แบตเตอรี่ลิเธียม ไอออน ขนาด 8.7 กิโลวัตต์ สามารถชาร์จไฟให้เต็มได้ในเวลาประมาณ 4 ชั่วโมง (ไฟบ้าน) ทำให้สามารถขับเคลื่อนด้วยโหมดไฟฟ้าเพียงอย่างเดียวได้ไกลถึง 30 กิโลเมตร
ราคาที่สะท้อนถึงคุณค่า:
GLE 500 e 4MATIC Exclusive: 4,490,000 บาท
GLE 500 e 4MATIC AMG Dynamic: 4,990,000 บาท
Mercedes-Benz E-Class 2016: สุดยอดซีดานอัจฉริยะ เจเนอเรชั่นที่ 10
Mercedes-Benz E-Class คือหัวใจสำคัญของแบรนด์ Mercedes-Benz ตลอดมา การเปิดตัว Mercedes-Benz E-Class 2016 เจเนอเรชั่นที่ 10 ถือเป็นการยกระดับมาตรฐานของรถยนต์ซีดานกลุ่ม Contemporary Luxury ไปอีกขั้น ด้วยการผสานเทคโนโลยีล้ำสมัย ดีไซน์ที่สง่างาม และสมรรถนะที่เหนือกว่า
THE BEST: กลยุทธ์แห่งความเป็นเลิศ
ภายใต้กลยุทธ์ THE BEST, Mercedes-Benz มุ่งมั่นนำเสนอ “สิ่งที่ดีที่สุด” ให้กับลูกค้าเสมอ การเปิดตัว E-Class 2016 ในงาน Motor Show 2016 ตอกย้ำความมุ่งมั่นนี้ ด้วยการนำเสนอสุดยอดยนตรกรรมที่ครอบคลุมทุกกลุ่มผลิตภัณฑ์
ดีไซน์ Sensual Purity: ความงามที่ไร้กาลเวลา
E-Class 2016 มาพร้อมดีไซน์ภายนอกที่โดดเด่นตามหลัก Sensual Purity ของ Mercedes-Benz เส้นสายที่ยาวและปราดเปรียว ผสานกับฝากระโปรงหน้าที่ยาว และแนวหลังคาที่ออกแบบในสไตล์คูเป้ สร้างภาพลักษณ์ที่ทรงพลังและสง่างาม ซุ้มล้อหลังที่กว้างกว่าซุ้มล้อหน้า สะท้อนเอกลักษณ์ของรถยนต์ซีดานระดับพรีเมียม
โคมไฟท้ายแบบชิ้นเดียวที่แบ่งออกเป็นสองส่วนภายใน มอบความหรูหราและโดดเด่น
ภายในที่ล้ำสมัย: เทคโนโลยีและสุนทรียภาพไร้ขีดจำกัด
ภายในห้องโดยสารของ E-Class 2016 คือนิยามใหม่ของความอัจฉริยะ ชุดหน้าจอความละเอียดสูงขนาด 12.3 นิ้ว จำนวน 2 จอ (ในรุ่น E 220 d AMG Dynamic) มอบประสบการณ์การขับขี่ที่เหนือระดับ พร้อมระบบไฟสร้างบรรยากาศภายในห้องโดยสารที่ปรับสีได้ถึง 64 สี สร้างสุนทรียภาพในการเดินทาง
ขุมพลังแห่งอนาคต: ประสิทธิภาพและความประหยัด
E-Class 2016 ขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์ดีเซล 4 สูบที่พัฒนาขึ้นใหม่ จับคู่กับเกียร์อัตโนมัติ 9G-TRONIC มอบสมรรถนะที่นุ่มนวลและประหยัดน้ำมันสูงสุด ด้วยอัตราสิ้นเปลืองเพียง 25.6 กิโลเมตร/ลิตร และการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เพียง 102 กรัม/กิโลกรัม
ระบบขับขี่อัตโนมัติ: ก้าวสู่ยุคแห่งการขับเคลื่อนไร้คนขับ
E-Class 2016 ได้ยกระดับแนวคิดการพัฒนาระบบขับขี่อัตโนมัติไปอีกขั้น ด้วยเทคโนโลยีที่ล้ำสมัย ช่วยเพิ่มความปลอดภัยและความสะดวกสบายในการขับขี่
Mitsubishi Outlander 2016: การเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญ สู่ความทันสมัยและสปอร์ต
Mitsubishi Outlander คือหนึ่งในรถยนต์อเนกประสงค์ที่ประสบความสำเร็จในตลาดโลก การเปิดตัว 2016 Mitsubishi Outlander ในงาน New York Auto Show 2015 ได้นำเสนอการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ที่ทำให้รถรุ่นนี้มีความทันสมัยและน่าดึงดูดยิ่งขึ้น
Dynamic Shield: ดีไซน์ใหม่ที่สะกดทุกสายตา
ทีมออกแบบของ Mitsubishi ได้รังสรรค์ดีไซน์ใหม่ที่เรียกว่า “Dynamic Shield” มาสู่ Outlander 2016 กระจังหน้าขนาดใหญ่ ที่ดูสปอร์ตและแข็งแกร่งขึ้น พร้อมไฟหน้าที่ดูปราดเปรียวและเฉียบคมขึ้น การเปลี่ยนแปลงนี้ทำให้ Outlander 2016 ดูทันสมัยและดุดันยิ่งขึ้น
ด้านท้ายของรถ มีการปรับเปลี่ยนกันชนท้ายให้ดูลงตัวมากยิ่งขึ้น พร้อมล้ออัลลอยขนาด 18 นิ้ว ที่เสริมความหรูหราภูมิฐาน
ภายในที่อัปเกรด: ความสะดวกสบายและเทคโนโลยีที่ดียิ่งขึ้น
ห้องโดยสารของ Outlander 2016 ได้รับการปรับปรุงให้ดียิ่งขึ้น พวงมาลัยดีไซน์ใหม่ที่จับถนัดมือ เสริมด้วยการตกแต่งภายในที่ใช้วัสดุคุณภาพสูง เพื่อความสบายสูงสุดในการโดยสาร ระบบความบันเทิงที่ทันสมัย และการเก็บเสียงภายในห้องโดยสารที่ดีขึ้น ด้วยการเปลี่ยนกระจกบังลมหน้าใหม่ และการเพิ่มวัสดุซับเสียง
ขุมพลังที่หลากหลาย: ทางเลือกสำหรับทุกความต้องการ
2016 Mitsubishi Outlander มีเครื่องยนต์ให้เลือก 2 รุ่น:
เครื่องยนต์ 2.4 ลิตร 4 สูบ: ให้กำลัง 166 แรงม้า และแรงบิด 219 นิวตันเมตร จับคู่กับเกียร์ CVT เพื่อความประหยัดและนุ่มนวล
เครื่องยนต์ V6 3.0 ลิตร: ให้กำลัง 224 แรงม้า และแรงบิด 291 นิวตันเมตร จับคู่กับเกียร์อัตโนมัติ 6 สปีด สำหรับผู้ที่ต้องการพละกำลังที่มากขึ้น
ระบบความปลอดภัยที่ครอบคลุม: อุ่นใจทุกเส้นทาง
Outlander 2016 มาพร้อมระบบช่วยเหลือการขับขี่มากมาย เช่น Forward Collision Mitigation (FCM), Lane Departure Warning (LDW) และ Adaptive Cruise Control (ACC) ซึ่งช่วยเพิ่มความปลอดภัยและความมั่นใจในการขับขี่
Bentley Bentayga 2016: SUV หรูที่เร็วที่สุดในโลก คันแรกของ Bentley
Bentley Bentayga คือประวัติศาสตร์หน้าใหม่ของ Bentley ในฐานะผู้ผลิต SUV ระดับ Ultra-Luxury คันแรกของแบรนด์ การเปิดตัว Bentley Bentayga 2016 ที่งาน Frankfurt Motor Show 2015 ได้สร้างความฮือฮาในวงการยานยนต์ ด้วยการผสมผสานความหรูหรา ความเร็ว และสมรรถนะที่ไม่เคยมีมาก่อนในรถยนต์ประเภทนี้
การเปลี่ยนแปลงสู่ความสมบูรณ์แบบ
หลังจากได้รับเสียงตอบรับที่หลากหลายต่อรถต้นแบบ Bentley EXP 9 F, Bentley ได้ปรับปรุงดีไซน์ของ Bentayga ให้มีความสง่างามและลงตัวมากยิ่งขึ้น โดยได้รับแรงบันดาลใจจาก Bentley Flying Spur ทำให้ Bentayga มีรูปลักษณ์ที่โดดเด่นและเป็นเอกลักษณ์
ควีนเอลิซาเบธที่ 2 ทรงเป็นเจ้าของคันแรก
Bentley Bentayga คันแรกที่ผลิตขึ้น ถูกส่งมอบให้กับสมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 แห่งสหราชอาณาจักร ซึ่งทรงเป็นส่วนหนึ่งในการรังสรรค์รถยนต์ SUV คันแรกในประวัติศาสตร์ของ Bentley
ความต้องการล้นหลาม: ยอดจองเต็มโควตาปีแรก
ยอดการผลิต Bentayga ในปีแรกมีจำนวนจำกัดเพียง 3,600 คัน แต่กลับได้รับความสนใจอย่างล้นหลามจนยอดจองเต็มเป็นที่เรียบร้อย สะท้อนถึงความต้องการและความชื่นชมในรถยนต์ SUV ระดับ Ultra-Luxury ที่ Bentley ได้นำเสนอ
Honda Civic FC มือสอง: ขวัญใจสายซิ่ง ที่มาพร้อมความคุ้มค่า
Honda Civic FC คือปรากฏการณ์ในวงการรถยนต์นั่งขนาดกลาง (C-Segment) ในประเทศไทย ด้วยการออกแบบที่ล้ำสมัย สมรรถนะที่เร้าใจ และความนิยมที่สูงอย่างต่อเนื่อง ทำให้ Honda Civic FC มือสอง กลายเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจอย่างยิ่งสำหรับผู้ที่มองหารถยนต์ที่ครบเครื่องทั้งดีไซน์ ราคา และสมรรถนะ
สี่รุ่นสี่สไตล์: เลือกให้ตรงใจ
Honda Civic FC มีให้เลือก 4 รุ่นย่อย แต่ละรุ่นมีจุดเด่นและข้อจำกัดที่แตกต่างกันไป:
1.5 Turbo RS: ขุมพลัง 173 แรงม้า จากเครื่องยนต์เทอร์โบ 1.5 ลิตร พร้อม Honda SENSING ครบครัน คือที่สุดแห่งความแรงและเทคโนโลยี แต่ราคาก็สูงที่สุดเช่นกัน
1.5 Turbo: ยังคงไว้ซึ่งสมรรถนะ 173 แรงม้า แต่ลดทอนบางออปชันลงเล็กน้อย ทำให้มีราคาที่เข้าถึงง่ายขึ้น
1.8 EL i-VTEC: เครื่องยนต์ 1.8 ลิตร ให้สมรรถนะที่นุ่มนวลและทนทานกว่า เหมาะสำหรับการใช้งานทั่วไป พร้อมออปชันที่มากกว่ารุ่น E
1.8 E i-VTEC: รุ่นเริ่มต้นที่ราคาประหยัดที่สุด พร้อมสมรรถนะที่เชื่อถือได้ และความทนทานสูง
ข้อดีและข้อเสียที่ควรรู้:
เครื่องยนต์เทอร์โบ (1.5 Turbo และ 1.5 Turbo RS): ให้กำลังและอัตราเร่งที่ยอดเยี่ยม แต่ค่าบำรุงรักษาบางส่วนอาจสูงกว่า และมีความเสี่ยงต่อเครื่องยนต์หากใช้งานหนัก
เครื่องยนต์ 1.8 ลิตร: ทนทานกว่า ซ่อมง่ายกว่า และค่าบำรุงรักษาต่ำกว่า แต่สมรรถนะอาจไม่เร้าใจเท่าเครื่องเทอร์โบ
เกียร์ CVT: ให้ความนุ่มนวลและประหยัดน้ำมัน แต่บางครั้งอาจมีอายุการใช้งานที่สั้นกว่าเกียร์อัตโนมัติแบบดั้งเดิม
การเลือก Honda Civic FC มือสอง คือการเลือกรถที่ตอบโจทย์การใช้งานและงบประมาณของคุณได้อย่างลงตัว หากคุณกำลังมองหารถยนต์ที่เต็มเปี่ยมไปด้วยดีไซน์ สมรรถนะ และความคุ้มค่า Honda Civic FC มือสอง คือคำตอบที่คุณไม่ควรมองข้าม
ก้าวสู่โลกแห่งยนตรกรรมที่เหนือกว่า…
ไม่ว่าคุณจะหลงใหลในความแรงที่บริสุทธิ์ของ MINI John Cooper Works, ความอเนกประสงค์ที่ยกระดับของ Toyota Innova, ความยั่งยืนของ Mercedes-Benz GLE 500 e 4MATIC, ความอัจฉริยะของ Mercedes-Benz E-Class, การออกแบบที่ทันสมัยของ Mitsubishi Outlander, ความหรูหราขั้นสุดของ Bentley Bentayga หรือความคุ้มค่าที่สมบูรณ์แบบของ Honda Civic FC การตัดสินใจเลือกยานยนต์ที่ใช่ คือจุดเริ่มต้นของประสบการณ์การขับขี่ที่น่าจดจำ
หากคุณกำลังมองหา “ที่สุด” ในทุกมิติของยานยนต์ อย่ารีรอที่จะค้นหาข้อมูลเพิ่มเติม หรือนัดหมายเพื่อสัมผัสประสบการณ์จริงด้วยตัวคุณเอง การลงทุนในยนตรกรรมที่ใช่ จะเป็นการลงทุนที่คุ้มค่าที่สุดสำหรับไลฟ์สไตล์และอนาคตของคุณ.
