MINI John Cooper Works: ปลดปล่อยสมรรถนะขั้นสุด สู่ประสบการณ์ขับขี่เหนือระดับ
ในโลกของยานยนต์ที่เต็มไปด้วยนวัตกรรมและการแข่งขันอันดุเดือด มีรถยนต์ไม่กี่รุ่นที่สามารถผสาน DNA แห่งความสปอร์ตเข้ากับความหรูหรา และนำเสนอประสบการณ์การขับขี่ที่เร้าใจได้อย่างแท้จริง MINI John Cooper Works (JCW) คือหนึ่งในนั้น รถยนต์รุ่นพิเศษจากสำนักแต่งชื่อดังที่ได้ฝากฝีไม้ลายมือไว้กับ MINI มาอย่างยาวนาน จนกลายเป็นส่วนหนึ่งของแบรนด์อย่างสมบูรณ์ การมาถึงของ MINI JCW ถือเป็นการยกระดับนิยามของ “รถยนต์คันเล็ก” ให้กลายเป็น “สมรรถนะขั้นสูง” ที่พร้อมจะเขย่าทุกโสตประสาทสัมผัสของผู้ขับขี่
การออกแบบที่สะท้อนจิตวิญญาณแห่งสนามแข่ง
เมื่อมองเผินๆ MINI JCW อาจดูคล้ายกับ MINI Hatch 3 Door Cooper S ทั่วไป แต่หากพิจารณาอย่างละเอียด จะพบว่าทุกเส้นสายและการออกแบบล้วนถูกปรับแต่งมาเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและความดุดัน ตัวอย่างที่ชัดเจนคือช่องดักอากาศที่ใหญ่ขึ้นบริเวณมุมกันชนด้านข้าง ซึ่งไม่เพียงแต่จะช่วยในเรื่องอากาศพลศาสตร์ แต่ยังเสริมบุคลิกที่เข้มแข็งให้แก่ตัวรถ ล้ออัลลอยลายพิเศษขนาด 18 นิ้ว สีทูโทนของ JCW ก็เป็นอีกหนึ่งเอกลักษณ์ที่บ่งบอกถึงความไม่ธรรมดา ด้านท้ายรถได้รับการออกแบบกันชนใหม่ให้มีช่องระบายอากาศเสมือนจริง 4 ช่อง คั่นกลางด้วยท่อไอเสียคู่ ซึ่งล้วนแต่เป็นการเสริมภาพลักษณ์ที่ทรงพลัง
สีตัวถังที่ตัดกันอย่างลงตัวระหว่างสีแดง Chili Red ของหลังคาและกระจกมองข้าง กับสีเขียว Rebel Green อันเป็นเอกลักษณ์เฉพาะของ JCW นั้น สร้างความโดดเด่นสะดุดตาได้อย่างมาก ยิ่งเมื่อผนวกกับแถบสีแต่งบริเวณกระโปรงรถลาย JCW ที่เล่นสีดำตัดกับขอบสีแดง ยิ่งเพิ่มความเร้าใจและสปอร์ตยิ่งขึ้นไปอีก สิ่งที่ขาดไม่ได้คือระบบ MINI Head-Up Display ที่มาพร้อมคอนเทนต์พิเศษสำหรับรุ่นนี้โดยเฉพาะ ช่วยให้ผู้ขับขี่สามารถเข้าถึงข้อมูลสำคัญโดยไม่ต้องละสายตาจากถนน
หัวใจอันทรงพลัง: สมรรถนะที่ไม่เคยหยุดนิ่ง
หัวใจสำคัญที่ทำให้ MINI JCW แตกต่างจากรุ่นอื่นๆ คือขุมพลังเบนซิน 4 สูบ ขนาด 2.0 ลิตร เทอร์โบ ที่ได้รับการปรับแต่งมาเป็นพิเศษ เครื่องยนต์นี้สามารถรีดกำลังสูงสุดได้ถึง 231 แรงม้า พร้อมแรงบิดมหาศาลถึง 320 นิวตันเมตร ตัวเลขเหล่านี้ไม่ใช่แค่สถิติ แต่คือคำสัญญาของอัตราเร่งที่จัดจ้านและการตอบสนองที่ฉับไวทุกครั้งที่เหยียบคันเร่ง การวางเครื่องยนต์แบบ transverse และการผสมผสานเทคโนโลยีเทอร์โบแปรผัน ทำให้ JCW ไม่เพียงแต่จะแรง แต่ยังคงไว้ซึ่งความประหยัดน้ำมันที่น่าประทับใจที่ 16.1 กิโลเมตรต่อลิตร และอัตราการปล่อยก๊าซ CO2 ที่ 148 กรัมต่อกิโลเมตร ซึ่งถือเป็นสมรรถนะที่ยอดเยี่ยมสำหรับรถยนต์สมรรถนะสูง
เมื่อเปรียบเทียบกับ MINI Hatch 3 Door Cooper S แล้ว MINI JCW มีพละกำลังที่มากกว่าถึง 39 แรงม้า และแรงบิดที่เพิ่มขึ้นอีก 40 นิวตันเมตร ความแตกต่างนี้สัมผัสได้ทันทีในการขับขี่จริง สร้างความแตกต่างระหว่าง “ความสนุก” กับ “ความเร้าใจขั้นสุด”
ช่วงล่างและระบบควบคุม: การทำงานที่สอดประสานดุจทีมเวิร์ค
สมรรถนะอันทรงพลังของเครื่องยนต์จะไร้ความหมายหากปราศจากระบบช่วงล่างและระบบควบคุมที่สามารถรองรับพลังงานได้ MINI JCW ได้รับการติดตั้งระบบช่วงล่างที่ทำงานประสานกับเครื่องยนต์ได้อย่างสมบูรณ์แบบ เสริมด้วยระบบเบรกสมรรถนะสูงจาก Brembo ที่มอบความมั่นใจในการหยุดรถได้อย่างมีประสิทธิภาพ ระบบพวงมาลัยพาวเวอร์ Servotronic ที่ผสมผสานการทำงานของระบบไฟฟ้าและกลไก ทำให้การควบคุมแม่นยำและตอบสนองฉับไวในทุกช่วงความเร็ว
เทคโนโลยี Dynamic Stability Control (DSC) ที่ผสานคุณสมบัติ Dynamic Traction Control (DTC), Electronic Differential Lock Control (EDLC) และ Dynamic Damper Control (DDC) มาเป็นมาตรฐาน ยิ่งทำให้ JCW เป็นรถที่ควบคุมได้ง่าย แม้ในสถานการณ์ขับขี่ที่ท้าทาย ระบบ DDC สามารถปรับความหนืดของโช้คอัพได้ตามสภาพถนนและรูปแบบการขับขี่ สร้างความสมดุลระหว่างความนุ่มนวลในการขับขี่ปกติ และความหนึบแน่นเพื่อประสิทธิภาพสูงสุดในการเข้าโค้ง
ด้วยน้ำหนักตัวถังเพียง 1,205 กิโลกรัม ซึ่งเบากว่า MINI Hatch 3 Door Cooper S ถึง 45 กิโลกรัม ยิ่งส่งเสริมให้ JCW มีความคล่องตัวและอัตราเร่งที่ดีเยี่ยม การนำเข้าเฉพาะรุ่นเกียร์อัตโนมัติก็เป็นการยืนยันถึงความมุ่งมั่นของแบรนด์ในการนำเสนอเทคโนโลยีที่ทันสมัยและประสบการณ์ขับขี่ที่สะดวกสบายสูงสุด
ราคาและการเข้าถึง: การลงทุนเพื่อประสบการณ์ที่ไม่เหมือนใคร
แม้ว่าราคา 3.45 ล้านบาท สำหรับรถยนต์ขนาดกะทัดรัดอาจดูสูงเมื่อเทียบกับ MINI Hatch 3 Door Cooper S ที่มีราคา 2.84 ล้านบาท แต่ส่วนต่าง 610,000 บาท คือราคาของ “ประสบการณ์ที่ไม่ธรรมดา” และ “ความสนุกเหนือระดับ” ที่ JCW มอบให้ สำหรับผู้ที่มองหารถยนต์ที่มากกว่าแค่การเดินทาง แต่คือการปลดปล่อยอะดรีนาลีนและความสุขในการขับขี่ MINI JCW คือคำตอบที่คุ้มค่า
Toyota Innova 2016: ก้าวสู่ความพรีเมียมเหนือระดับ
การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของ Toyota Innova ในปี 2016 ถือเป็นการปฏิวัติภาพลักษณ์ของรถยนต์ MPV จาก Toyota อย่างแท้จริง ด้วยการยกระดับดีไซน์ภายนอกให้หรูหราทันสมัยขึ้นภายใน, การปรับปรุงห้องโดยสารให้พรีเมียมยิ่งกว่าเดิม และการนำเสนอขุมพลังที่ตอบสนองการใช้งานได้อย่างหลากหลาย All-New Toyota Innova 2016 ที่เผยโฉมในตลาดอินโดนีเซีย เป็นสัญญาณที่ชัดเจนว่า Toyota กำลังก้าวข้ามขีดจำกัดของความเป็น MPV แบบเดิมๆ
ดีไซน์ภายนอก: ความสง่างามที่มาพร้อมความแข็งแกร่ง
Toyota Innova 2016 ได้รับแรงบันดาลใจในการออกแบบจาก Toyota Highlander ผสมผสานความคุ้นเคยเข้ากับความสดใหม่ กระจังหน้าขนาดใหญ่ทรงสี่เหลี่ยมคางหมู และไฟหน้า LED Projector (ในรุ่น Q) ที่เรียวยาวจรดกันชนหน้า ช่วยเสริมภาพลักษณ์ที่ดูสปอร์ตและมั่นคง เส้นสายด้านข้างที่คมชัดและเหลี่ยมมุมมากขึ้น ให้ความรู้สึกแข็งแกร่งและดุดันกว่ารุ่นก่อนหน้า ส่วนด้านท้ายรถมาพร้อมไฟท้ายรูปตัว L คว่ำที่แบ่งเป็นสองส่วน สร้างเอกลักษณ์ที่จดจำได้ง่าย
ภายในห้องโดยสาร: ความหรูหราที่เหนือความคาดหมาย
ก้าวเข้าสู่ภายในของ Toyota Innova 2016 คือการสัมผัสประสบการณ์ที่แตกต่างจาก MPV ทั่วไปอย่างสิ้นเชิง แผงหน้าปัดที่เน้นเส้นโค้งและตกแต่งด้วยลายไม้ (ในรุ่น Q) ผสานกับคอนโซลกลางแนวตั้งที่ดูทันสมัย หน้าจอสัมผัสขนาดใหญ่ที่รองรับการเชื่อมต่อสมาร์ทโฟนผ่าน Wi-Fi และคำสั่งเสียง รวมถึง Air Gesture (ในรุ่น Q และ V) สร้างบรรยากาศแห่งเทคโนโลยีชั้นสูง เบาะนั่ง 3 แถว 7 ที่นั่งได้รับการออกแบบมาเพื่อความสบายสูงสุด โดยเฉพาะเบาะแถว 2 ที่สามารถปรับเลื่อนและเอนได้อย่างอิสระ และฟังก์ชันพับเบาะแบบ One Touch เพื่อความสะดวกในการเข้า-ออกแถว 3 การตกแต่งด้วย Ambient Light เพิ่มความหรูหราและความผ่อนคลายในยามค่ำคืน
ขุมพลังที่หลากหลาย: ตอบสนองทุกการใช้งาน
Toyota Innova 2016 นำเสนอเครื่องยนต์ให้เลือกถึง 2 แบบ คือ
เครื่องยนต์ดีเซล 2.4 ลิตร: ให้กำลังสูงสุด 149 แรงม้า และแรงบิด 360 นิวตันเมตร เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการพละกำลังและความประหยัดในการเดินทางไกล
เครื่องยนต์เบนซิน 2.0 ลิตร Dual VVT-i: ให้กำลังสูงสุด 139 แรงม้า และแรงบิด 183 นิวตันเมตร เหมาะสำหรับการใช้งานในเมืองที่ต้องการความนุ่มนวลและตอบสนองที่ฉับไว
เครื่องยนต์ทั้งสองแบบสามารถจับคู่กับเกียร์ธรรมดา 5 จังหวะ หรือเกียร์อัตโนมัติ 6 จังหวะ เพื่อตอบสนองความชอบของผู้ขับขี่แต่ละราย
ความปลอดภัยที่ครบครัน: มาตรฐานใหม่ของ MPV
Toyota Innova 2016 ให้ความสำคัญกับความปลอดภัยเป็นอย่างยิ่ง โดยมาพร้อมถุงลมนิรภัยคู่หน้า, ถุงลมนิรภัยป้องกันหัวเข่าผู้ขับขี่, ระบบ ISOFIX สำหรับการติดตั้งเบาะนั่งเด็ก, ระบบเบรก ABS และ EBD ในทุกรุ่นย่อย ส่วนรุ่น Q ยังเพิ่มม่านถุงลมนิรภัยและถุงลมนิรภัยด้านข้าง นอกจากนี้ ระบบควบคุมการทรงตัว VSC และระบบช่วยออกตัวบนทางลาดชัน Hill Assist Control (ในรุ่น Q เครื่องยนต์ดีเซล) ยังช่วยเพิ่มความมั่นใจในการขับขี่ในทุกสภาวะ
Mercedes-Benz GLE 500 e 4MATIC 2016: การผสมผสานที่ลงตัวระหว่าง SUV, ประสิทธิภาพ และความยั่งยืน
Mercedes-Benz GLE 500 e 4MATIC ปี 2016 ถือเป็นหนึ่งในรถยนต์ SUV ที่ก้าวล้ำที่สุดในยุคนั้น ด้วยการผสานสมรรถนะอันทรงพลังของเครื่องยนต์ V6 เข้ากับเทคโนโลยีปลั๊กอินไฮบริด สร้างนิยามใหม่ของรถยนต์อเนกประสงค์ที่หรูหรา ประหยัดพลังงาน และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม การเปิดตัวครั้งนี้ตอกย้ำวิสัยทัศน์ของ Mercedes-Benz ในการเป็นผู้นำด้านยานยนต์ไฟฟ้า (Electric Driving) และการพัฒนายานยนต์ที่ยั่งยืน
ดีไซน์ภายนอก: ความสง่างามตามแบบฉบับ Mercedes-Benz
GLE 500 e 4MATIC โดดเด่นด้วยเส้นสายที่สวยงาม คมชัด และสง่างามตามแบบฉบับ Mercedes-Benz กระจังหน้าขนาดใหญ่เสริมด้วยโครเมียม และตราสัญลักษณ์ดาวสามแฉกที่คุ้นเคย กันชนหน้าพร้อมช่องระบายอากาศขนาดใหญ่ ไฟหน้า LED Intelligent Light System และไฟ Daytime Running Lights ช่วยเสริมภาพลักษณ์ที่ดุดันและทันสมัย ส่วนด้านท้ายรถตกแต่งด้วยท่อไอเสียคู่เสริมโครเมียมเพิ่มความสปอร์ต รุ่น Exclusive มาพร้อมล้ออัลลอย 20 นิ้ว สี Himalayas grey ส่วนรุ่น AMG Dynamic เพิ่มความเร้าใจด้วยล้อดีไซน์สปอร์ตจาก AMG และชุดแต่ง AMG bodystyling พร้อมหลังคาพาโนรามิกซันรูฟ
ภายในห้องโดยสาร: ความหรูหราที่มาพร้อมเทคโนโลยี
ห้องโดยสารของ GLE 500 e 4MATIC เน้นความหรูหรา สง่างาม และสปอร์ต เบาะนั่งหุ้มหนังคุณภาพสูง (Nappa ในรุ่น AMG Dynamic) การตกแต่งด้วยวัสดุคุณภาพเยี่ยม และพวงมาลัยมัลติฟังก์ชั่นที่ให้สัมผัสที่ดี ระบบ COMAND Online และระบบเสียง Harman Kardon® Logic 7® (ในรุ่น AMG Dynamic) พร้อม Apple CarPlay™ มอบประสบการณ์ความบันเทิงที่เหนือระดับ ไฟสร้างบรรยากาศในห้องโดยสารแบบ 3 สี ช่วยเพิ่มสุนทรียภาพในการเดินทาง เบาะนั่งด้านหลังสามารถพับได้เพื่อเพิ่มพื้นที่เก็บสัมภาระตามความต้องการ
เทคโนโลยี Plug-in Hybrid: ประสิทธิภาพและความยั่งยืนที่สมบูรณ์แบบ
หัวใจสำคัญของ GLE 500 e 4MATIC คือระบบ Plug-in Hybrid ที่มีโหมดการทำงานให้เลือกถึง 4 รูปแบบ:
HYBRID: ผสานการทำงานของเครื่องยนต์และมอเตอร์ไฟฟ้า โดยเน้นการใช้มอเตอร์ไฟฟ้าให้มากที่สุด
E-MODE: ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้า 100% ได้สูงสุด 130 กม./ชม. ระยะทางสูงสุด 30 กม. เหมาะสำหรับการขับขี่ในเมืองโดยไม่ปล่อยมลพิษ
E-SAVE: รักษาระดับพลังงานไฟฟ้าในแบตเตอรี่ให้คงที่ โดยใช้เครื่องยนต์เป็นหลัก เพื่อสำรองไว้ใช้ในภายหลัง
CHARGE: ขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์เป็นหลัก และใช้พลังงานจากเครื่องยนต์ในการชาร์จแบตเตอรี่เพิ่มเติม
นอกจากนี้ ระบบ Dynamic Select ที่มีโหมดการขับขี่ 5 แบบ (Individual, Comfort, Slippery, Sport, Sport+) และระบบ Mercedes-Benz Intelligent Drive ซึ่งรวมเอาเทคโนโลยีช่วยเหลือและระบบความปลอดภัยชั้นยอดไว้มากมาย เช่น ระบบ PRE-SAFE®, ESP, AIRMATIC, Crosswind Assist, ADAPTIVE BRAKE, ABS, ASR, ATTENTION ASSIST, Cruise Control, PARTRONIC และ Active Parking Assist ยิ่งตอกย้ำความเป็นผู้นำด้านเทคโนโลยีและความปลอดภัยของ Mercedes-Benz
สมรรถนะที่น่าทึ่ง: พลังที่เหนือกว่า
GLE 500 e 4MATIC ขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์เบนซิน V6 เทอร์โบคู่ ความจุ 2,996 ซีซี พละกำลังสูงสุด 333 แรงม้า ผสานกับมอเตอร์ไฟฟ้า 116 แรงม้า ส่งผลให้มีอัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ในเวลาเพียง 5.3 วินาที และความเร็วสูงสุด 245 กม./ชม. จับคู่กับเกียร์อัตโนมัติ 7G-TRONIC PLUS แบตเตอรี่ลิเธียมไอออนขนาด 8.7 กิโลวัตต์ สามารถชาร์จไฟจนเต็มได้ในเวลาประมาณ 4 ชั่วโมง (ไฟบ้าน) ทำให้สามารถวิ่งด้วยระบบไฟฟ้าอย่างเดียวได้ไกลถึง 30 กิโลเมตร
ราคา: การลงทุนเพื่ออนาคต
Mercedes-Benz GLE 500 e 4MATIC ปี 2016 มีราคาจำหน่ายอยู่ที่ 4.49 ล้านบาท สำหรับรุ่น Exclusive และ 4.99 ล้านบาท สำหรับรุ่น AMG Dynamic ซึ่งเป็นการสะท้อนถึงความเป็นพรีเมียมและความล้ำหน้าของเทคโนโลยี
Mercedes-Benz E-Class 2016: นิยามใหม่ของยนตรกรรมซีดานอัจฉริยะ
Mercedes-Benz E-Class เจเนอเรชั่นที่ 10 หรือ W213 ที่เปิดตัวในปี 2016 ถือเป็นการยกระดับมาตรฐานของรถยนต์ซีดานระดับผู้บริหารขึ้นไปอีกขั้น ด้วยการผสมผสานดีไซน์ที่หรูหราสง่างาม เทคโนโลยีการขับขี่อัตโนมัติสุดล้ำ สมรรถนะที่เหนือชั้น และความประหยัดที่น่าประทับใจ
ดีไซน์ Sensual Purity: ความสง่างามเหนือกาลเวลา
E-Class 2016 มาพร้อมกับหลักการออกแบบ Sensual Purity ของ Mercedes-Benz ที่เน้นความบริสุทธิ์ทางเส้นสาย ความชัดเจน และความสง่างาม การออกแบบภายนอกมีขนาดตัวถังและฐานล้อที่ยาวและกว้างขึ้น ฝากระโปรงหน้าที่ดูยาว เส้นสายหลังคาที่ลาดเอียงสไตล์คูเป้จรดท้ายรถ สร้างบุคลิกที่ทรงพลังและสง่างาม ซุ้มล้อหลังที่ดูกว้างกว่าซุ้มล้อหน้า แสดงถึงเอกลักษณ์ของรถซาลูนพรีเมียม โคมไฟท้ายแบบชิ้นเดียวก็เพิ่มความโดดเด่นได้อย่างลงตัว
ภายในห้องโดยสาร: สุนทรียภาพแห่งเทคโนโลยี
จุดเด่นสำคัญของ E-Class 2016 คือการนำเสนอหน้าจอแสดงผลความละเอียดสูงขนาด 12.3 นิ้ว จำนวน 2 จอ เป็นครั้งแรกในเซกเมนต์นี้ มอบประสบการณ์การรับชมข้อมูลที่คมชัดและสวยงาม ระบบไฟสร้างบรรยากาศภายในห้องโดยสารที่ปรับได้ถึง 64 สี ช่วยสร้างสรรค์บรรยากาศที่หลากหลายตามอารมณ์ของผู้ขับขี่ เบาะนั่งได้รับการออกแบบเพื่อความสบายสูงสุดตลอดการเดินทาง
ขุมพลังแห่งอนาคต: ประสิทธิภาพและความประหยัด
E-Class 2016 มาพร้อมเครื่องยนต์ดีเซล 4 สูบที่พัฒนาขึ้นใหม่ และระบบเกียร์อัตโนมัติ 9G-TRONIC ที่ช่วยให้การเปลี่ยนเกียร์รวดเร็ว นุ่มนวล และมีประสิทธิภาพ การพัฒนาโครงสร้างตัวถังให้มีอากาศพลศาสตร์ที่ดีขึ้นและน้ำหนักเบาลง ส่งผลให้มีอัตราสิ้นเปลืองน้ำมันที่น่าทึ่งเพียง 25.6 กิโลเมตร/ลิตร และอัตราการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เพียง 102 กรัม/กิโลเมตร
เทคโนโลยีขับขี่อัตโนมัติ: สู่ยุคแห่งการขับขี่ไร้คนขับ
E-Class 2016 เป็นเสมือนการยกระดับแนวคิดการพัฒนาระบบขับขี่อัตโนมัติไปอีกขั้น ด้วยระบบช่วยเหลือและระบบความปลอดภัยที่ก้าวล้ำที่สุดในตลาด ณ ขณะนั้น ซึ่งสะท้อนถึงวิสัยทัศน์ของ Mercedes-Benz ในการพัฒนารถยนต์ที่ปลอดภัยและสะดวกสบายยิ่งขึ้น
Mitsubishi Outlander 2016: ดีไซน์ใหม่ เพิ่มความสปอร์ตและทันสมัย
Mitsubishi Outlander โฉมปี 2016 ที่เผยโฉมในงาน New York Auto Show 2015 ถือเป็นการปรับปรุงครั้งสำคัญ โดยเฉพาะในด้านดีไซน์ภายนอกที่ได้รับการถ่ายทอดแนวคิด “Dynamic Shield” ใหม่ล่าสุดของ Mitsubishi ส่งผลให้รถดูสปอร์ต ทันสมัย และมีความแข็งแกร่งมากขึ้น
ดีไซน์ภายนอก: Dynamic Shield อันเป็นเอกลักษณ์
การเปลี่ยนแปลงที่โดดเด่นที่สุดคือส่วนหน้าของรถ ที่มาพร้อมกระจังหน้าขนาดใหญ่ขึ้น และการออกแบบไฟหน้าที่ดูปราดเปรียวและเฉียบคม เส้นสายตัวถังโดยรวมดูมีความทันสมัยมากขึ้น ส่วนท้ายรถได้รับการปรับปรุงกันชนให้ลงตัวยิ่งขึ้น และมาพร้อมล้ออัลลอยขนาด 18 นิ้ว ที่เสริมความหรูหรา
ภายในห้องโดยสาร: ความสะดวกสบายและเทคโนโลยีที่อัปเกรด
ภายในห้องโดยสารของ Outlander 2016 ได้รับการปรับปรุงในรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ เพื่อเพิ่มความสะดวกสบายและสุนทรียภาพในการขับขี่ เช่น พวงมาลัยดีไซน์ใหม่ วัสดุเบาะนั่งคุณภาพสูงขึ้น ระบบความบันเทิงที่ทันสมัย และการปรับปรุงการเก็บเสียงภายในห้องโดยสารให้ดียิ่งขึ้น ด้วยการเปลี่ยนกระจกบังลมหน้าใหม่ และการใช้วัสดุซับเสียงคุณภาพสูง
ขุมพลังที่หลากหลาย: ตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์
Mitsubishi Outlander 2016 นำเสนอเครื่องยนต์ให้เลือก 2 รุ่น:
เครื่องยนต์ 2.4 ลิตร: ให้กำลัง 166 แรงม้า แรงบิด 219 นิวตันเมตร จับคู่กับเกียร์ CVT เพื่อความประหยัดและนุ่มนวล
เครื่องยนต์ V6 3.0 ลิตร: ให้กำลัง 224 แรงม้า แรงบิด 291 นิวตันเมตร จับคู่กับเกียร์อัตโนมัติ 6 สปีด เพื่อสมรรถนะที่เร้าใจยิ่งขึ้น
ระบบความปลอดภัยที่ครบครัน
Outlander 2016 ยังมาพร้อมกับระบบช่วยเหลือในการขับขี่ที่หลากหลาย เช่น Forward Collision Mitigation (FCM), Lane Departure Warning (LDW) และ Adaptive Cruise Control (ACC) ซึ่งช่วยเพิ่มความปลอดภัยและความสะดวกสบายในการเดินทาง
Bentley Bentayga 2016: SUV หรูหราเร็วที่สุดในโลก
Bentley Bentayga ถือเป็นการบุกเบิกตลาด SUV ระดับ Ultra Luxury อย่างแท้จริง นับเป็น SUV คันแรกของ Bentley ที่มาพร้อมกับความหรูหราสมรรถนะสูง และเทคโนโลยีล้ำสมัย Bentley Bentayga 2016 ไม่เพียงแต่เป็นรถ SUV ที่หรูหราที่สุดในโลก แต่ยังเป็นรถ SUV ที่เร็วที่สุดในโลกอีกด้วย
ดีไซน์ที่ปรับปรุง: ความสง่างามแบบ Bentley
หลังจากกระแสตอบรับที่ไม่ค่อยเป็นบวกต่อรถต้นแบบ Bentley EXP 9 F ทาง Bentley ได้ปรับปรุงดีไซน์ของ Bentayga ให้มีความสง่างามและสอดคล้องกับเอกลักษณ์ของแบรนด์มากยิ่งขึ้น โดยมีรูปลักษณ์ที่คล้ายคลึงกับ Bentley Flying Spur ผสมผสานความหรูหราสง่างามเข้ากับความแข็งแกร่งของ SUV
ความพิเศษเฉพาะบุคคล: การส่งมอบสู่ราชวงศ์
Bentley Bentayga คันแรกได้รับการส่งมอบให้กับสมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 แห่งสหราชอาณาจักร ซึ่งถือเป็นเกียรติยศสูงสุดของแบรนด์ การที่รถ SUV คันแรกของ Bentley ถูกเลือกโดยสถาบันที่ทรงเกียรติที่สุด แสดงให้เห็นถึงความพิเศษและความเหนือระดับของ Bentayga
ยอดขายที่ถล่มทลาย: ความต้องการที่ไม่มีที่สิ้นสุด
ยอดการผลิต 3,600 คันสำหรับปีแรก ถูกสั่งจองหมดเป็นที่เรียบร้อย แสดงให้เห็นถึงความต้องการอันมหาศาลในตลาด SUV ระดับ Ultra Luxury และความเชื่อมั่นของผู้บริโภคที่มีต่อแบรนด์ Bentley
Honda Civic FC มือสอง: ตัวเลือกที่น่าสนใจสำหรับผู้มองหารถเก๋งยอดนิยม
Honda Civic FC หรือที่รู้จักในรหัส “FC Generation” ได้รับความนิยมอย่างสูงในตลาดรถยนต์นั่งส่วนบุคคลของประเทศไทย ด้วยดีไซน์ที่หล่อเหลี่ยมคมเข้ม, สมรรถนะที่ตอบสนองการขับขี่ได้ดีเยี่ยม และความคุ้มค่า ทำให้ Civic FC กลายเป็นตัวเลือกอันดับต้นๆ สำหรับผู้ที่กำลังมองหารถเก๋งมือสอง
Honda Civic FC: รุ่นย่อยและข้อดี-ข้อเสีย
Honda Civic FC มีให้เลือก 4 รุ่นย่อย ซึ่งแต่ละรุ่นมีจุดเด่นและข้อจำกัดที่แตกต่างกันไป:
1.5 Turbo RS: รุ่นท็อปที่มาพร้อมเครื่องยนต์ 1.5 ลิตร เทอร์โบ 173 แรงม้า โดดเด่นด้วยสมรรถนะที่จัดจ้าน, ระบบ Honda SENSING ครบครัน, การตกแต่งภายในด้วยด้ายสีแดง และสัญลักษณ์ RS ที่กระจังหน้า ข้อเสียคือค่าบำรุงรักษาสูงกว่ารุ่น 1.8 และความเปราะบางของเกียร์ CVT
1.5 Turbo: ยังคงมาพร้อมเครื่องยนต์ 1.5 ลิตร เทอร์โบ 173 แรงม้า แต่ตัดระบบ Honda SENSING บางส่วนออกไป ดีไซน์ยังคงความสปอร์ตและประหยัดน้ำมัน ข้อเสียคล้ายกับรุ่น RS คือค่าบำรุงรักษาและอายุการใช้งานของเกียร์
1.8 EL i-VTEC: รุ่นเครื่องยนต์ 1.8 ลิตร 141 แรงม้า ที่มีความทนทาน ค่าบำรุงรักษาต่ำกว่า และรองรับน้ำมัน E85 ได้ เพิ่มออปชันบางอย่างเหนือรุ่น 1.8 E เช่น Honda LaneWatch และ Rain Sensor ข้อเสียคืออัตราเร่งไม่จัดจ้านเท่าเครื่องเทอร์โบ และได้ล้อขนาดเล็กกว่า
1.8 E i-VTEC: รุ่นเริ่มต้นที่คุ้มค่าที่สุด ด้วยเครื่องยนต์ 1.8 ลิตร 141 แรงม้า ค่าบำรุงรักษาต่ำสุด และรองรับ E85 เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการรถเก๋งที่ใช้งานได้ดีในชีวิตประจำวัน ข้อเสียคือออปชันและความปลอดภัยน้อยกว่ารุ่นอื่น
ความคุ้มค่าของ Civic FC มือสอง
Honda Civic FC มือสอง ยังคงเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจอย่างยิ่ง ด้วยดีไซน์ที่ยังดูทันสมัย สมรรถนะที่ดีเยี่ยม และความประหยัดน้ำมันที่น่าพอใจ สำหรับผู้ที่มองหารถเก๋งที่สมดุลในทุกด้าน การพิจารณา Civic FC มือสอง เป็นทางเลือกที่คุ้มค่าอย่างแน่นอน
หากคุณกำลังมองหารถยนต์ที่มอบประสบการณ์การขับขี่ที่น่าตื่นเต้น หรือต้องการยกระดับการเดินทางของคุณให้เหนือชั้นกว่าที่เคย การสำรวจตัวเลือกเหล่านี้คือจุดเริ่มต้นที่ดีที่สุด อย่าลังเลที่จะค้นหาข้อมูลเพิ่มเติม หรือติดต่อผู้เชี่ยวชาญเพื่อช่วยคุณตัดสินใจเลือกยานยนต์ที่ใช่สำหรับคุณในวันนี้.

