Honda Civic 1.5 VTEC Turbo vs. Ford Focus 1.5 EcoBoost: การแข่งขันใหม่ในตลาด C-Segment ที่ร้อนแรง
ในยุคที่เทคโนโลยียานยนต์ก้าวไปข้างหน้าอย่างไม่หยุดยั้ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งการพัฒนามอเตอร์ที่เล็กลงแต่ทรงพลังขึ้นนั้น เป็นกระแสที่เห็นได้ชัดเจนในตลาดรถยนต์ปัจจุบัน แม้ว่าแนวคิดเครื่องยนต์ขนาดเล็กที่มาพร้อมระบบอัดอากาศเทอร์โบจะไม่ได้ใหม่นัก และมักพบเห็นได้ในรถยนต์ระดับพรีเมียม เช่น BMW หรือ Mercedes-Benz แต่สิ่งที่น่าจับตาคือ การที่รถยนต์ในกลุ่มราคาที่เข้าถึงได้ง่ายขึ้น เริ่มนำเทคโนโลยีนี้มาปรับใช้ เพื่อมอบสมรรถนะที่เหนือกว่าแก่ผู้บริโภค
Honda Civic รุ่นล่าสุดที่เพิ่งเปิดตัว ได้สร้างปรากฏการณ์ที่น่าสนใจ ด้วยการติดตั้งขุมพลัง 1.5 ลิตร VTEC Turbo ที่สามารถรีดพละกำลังได้ถึง 173 แรงม้า พร้อมแรงบิดสูงสุด 22.4 กิโลกรัม-เมตร ที่ช่วงรอบต่ำถึงกลาง (1,700-5,500 รอบต่อนาที) ซึ่งถือเป็นคุณสมบัติที่หาได้ยากในรถยนต์ Honda รุ่นก่อนๆ การเลือกใช้เครื่องยนต์ขนาดเล็กยังมอบข้อได้เปรียบในด้านอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงความเร็วต่ำ เมื่อเทียบกับเครื่องยนต์ขนาดใหญ่ทั่วไป
แต่การแข่งขันในตลาด C-Segment นี้ไม่ได้มีเพียง Civic เท่านั้น Ford กำลังเตรียมพร้อมเปิดตัว Focus รุ่นใหม่ ที่มาพร้อมเครื่องยนต์ 1.5 ลิตร EcoBoost อันทรงพลัง ซึ่งจะเข้ามาเป็นคู่แข่งโดยตรง และสร้างความคึกคักให้กับตลาดนี้มากยิ่งขึ้น
Ford Focus 1.5 EcoBoost: ขุมพลังใหม่ที่พร้อมท้าชน
Ford Focus ที่วางจำหน่ายในประเทศไทยในปัจจุบัน เป็นรุ่นปรับโฉม Minorchange ซึ่งมาพร้อมตัวถัง 5 ประตู แฮทช์แบ็ก และที่สำคัญคือการนำเสนอเครื่องยนต์ EcoBoost ขนาด 1.5 ลิตร แบบ 4 สูบ ที่มาพร้อมระบบฉีดเชื้อเพลิงตรงและเทอร์โบชาร์จเจอร์ สามารถให้กำลังสูงสุดถึง 180 แรงม้า ที่ 6,000 รอบต่อนาที และแรงบิดสูงสุด 24.5 กิโลกรัม-เมตร ในช่วง 1,600-5,000 รอบต่อนาที จับคู่กับเกียร์อัตโนมัติ 6 จังหวะ ซึ่งถือเป็นการเปลี่ยนแปลงที่น่าสนใจจากการใช้เกียร์คลัทช์คู่ในรุ่นก่อนหน้า
เมื่อเปรียบเทียบสเปคเครื่องยนต์ระหว่าง Civic 1.5 VTEC Turbo และ Focus 1.5 EcoBoost ทั้งสองรุ่นมีแนวคิดการออกแบบที่คล้ายคลึงกัน ทั้งการใช้ระบบฉีดเชื้อเพลิงตรง การอัดอากาศด้วยเทอร์โบ และขนาดเครื่องยนต์ที่ 1.5 ลิตร อย่างไรก็ตาม Ford เคลมว่า Focus EcoBoost มีอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงเฉลี่ยอยู่ที่ 13.9 กิโลเมตรต่อลิตร ซึ่งอาจจะดูสูงไปบ้างเมื่อเทียบกับเทคโนโลยีปัจจุบัน แต่ถ้ามองในแง่ของสมรรถนะที่มอบให้ การตอบสนองที่ทันใจ ก็ถือเป็นสิ่งที่ผู้บริโภคอาจยอมรับได้ เราจะรอพิสูจน์สมรรถนะที่แท้จริงอีกครั้งในการทดลองขับ
ระบบความปลอดภัย: ฟีเจอร์ที่เหนือกว่าในรถยนต์ยุคใหม่
นอกจากสมรรถนะเครื่องยนต์แล้ว ระบบความปลอดภัยเป็นอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญที่ผู้บริโภคยุคใหม่ให้ความสำคัญ Honda Civic 1.5 VTEC Turbo RS รุ่นท็อป ได้ติดตั้งระบบที่น่าสนใจหลายอย่าง เช่น ระบบแสดงภาพมุมอับสายตาขณะเปลี่ยนเลน, กล้องมองหลังปรับมุมมองได้ 3 ระดับ, ระบบควบคุมการทรงตัวขณะเข้าโค้ง (VSA) และระบบช่วยออกตัวบนทางลาดชัน (Hill Start Assist)
ในขณะที่ Ford Focus EcoBoost ก็ไม่น้อยหน้าในการนำเสนอระบบความปลอดภัยที่จัดเต็มเช่นกัน โดยมีระบบที่โดดเด่น ได้แก่ ระบบควบคุมเสถียรภาพการทรงตัว (ESP), ระบบช่วยการออกตัวขณะจอดบนทางลาดชัน (HLA), ระบบป้องกันล้อหมุนฟรี (TCS), ระบบควบคุมแรงบิดขณะเข้าโค้ง, ระบบช่วยจอดอัจฉริยะ (ทั้งแบบเทียบข้างและถอยเข้าซอง), ระบบช่วยเบรกที่ความเร็วต่ำ และกล้องมองหลังขณะถอยจอด
สิ่งที่น่าสนใจเป็นพิเศษใน Ford Focus EcoBoost คือการติดตั้งระบบช่วยจอดแบบเข้าซองเป็นครั้งแรก ซึ่งก่อนหน้านี้มีเพียงระบบช่วยจอดแบบเทียบข้างเท่านั้น รวมถึงระบบช่วยเบรกที่ความเร็วต่ำ ซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่เริ่มพบเห็นได้ในรถยนต์หลายรุ่นหลายยี่ห้อในปัจจุบัน ในขณะที่ Civic ใหม่ยังไม่ได้นำเสนอเทคโนโลยีนี้
ราคาและตำแหน่งทางการตลาด
สำหรับราคา Honda Civic 1.5 VTEC Turbo อยู่ในช่วง 1,099,000 – 1,199,000 บาท ซึ่งเป็นราคามาตรฐานสำหรับรถยนต์ C-Segment รุ่นท็อปที่แตะหลักล้านบาท ส่วนราคาของ Ford Focus EcoBoost ยังไม่ถูกประกาศออกมาอย่างเป็นทางการ แต่คาดว่าจะอยู่ในระดับที่ใกล้เคียงกัน
บทสรุปเบื้องต้น: การแข่งขันที่น่าจับตา
จากการพิจารณาสเปคเบื้องต้น ทั้ง Honda Civic 1.5 VTEC Turbo และ Ford Focus 1.5 EcoBoost ต่างก็เป็นรถยนต์ที่น่าจับตามองในตลาด C-Segment ของประเทศไทย การแข่งขันที่ดุเดือดนี้จะทำให้ผู้บริโภคได้รับประโยชน์อย่างแน่นอน ทั้งในด้านสมรรถนะ เทคโนโลยี และระบบความปลอดภัยที่ทันสมัย
ยังมีคำถามอีกมากมายเกี่ยวกับสมรรถนะจริง ความสะดวกสบาย และประสบการณ์การขับขี่ของรถทั้งสองรุ่นนี้ ที่จะสามารถตอบได้เมื่อเรามีโอกาสได้ทดลองขับและทดสอบอย่างเต็มที่ ซึ่งเราจะนำเสนอข้อมูลเชิงลึกในโอกาสต่อไป
ทางเลือกเพิ่มเติม: Nissan Sylphy 1.6 DIG Turbo
สำหรับผู้ที่กำลังมองหาทางเลือกเพิ่มเติมในกลุ่มเครื่องยนต์เล็กเทอร์โบ Nissan Sylphy 1.6 DIG Turbo ก็เป็นอีกรุ่นที่น่าสนใจ ด้วยกำลังสูงสุดถึง 190 แรงม้า ซึ่งถือว่ามากที่สุดในกลุ่มรถยนต์ขนาดใกล้เคียงกันในปัจจุบัน เครื่องยนต์แบบฉีดเชื้อเพลิงตรงนี้ พร้อมด้วยรูปลักษณ์ที่ดูเรียบหรูและราคาเริ่มต้นที่ 999,000 บาท ก็เป็นอีกหนึ่งตัวเลือกที่น่าพิจารณาสำหรับผู้ที่ให้ความสำคัญกับตัวเลขพละกำลังและดีไซน์ที่สง่างาม
การออกแบบยานยนต์: เบื้องหลังการสร้างสรรค์จาก Holden Design Centre ในเมลเบิร์น
ช่วงต้นปีเป็นเวลาที่คึกคักสำหรับวงการยานยนต์ไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเข้าสู่ช่วงเดือนกุมภาพันธ์ถึงมีนาคม ซึ่งเป็นช่วงเวลาจัดงานแสดงรถยนต์สำคัญประจำปีอย่าง Bangkok International Motor Show ผู้ผลิตรถยนต์ทุกค่ายต่างพยายามช่วงชิงพื้นที่สื่อเพื่อนำเสนอผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ไม่ว่าจะเป็นผ่านสื่อสิ่งพิมพ์ โทรทัศน์ วิทยุ หรือแม้แต่แพลตฟอร์มออนไลน์และโซเชียลมีเดีย
เป็นธรรมดาที่ช่วงเวลานี้ สื่อมวลชนสายยานยนต์จะอัดแน่นไปด้วยตารางงานเปิดตัวรถยนต์ ทริปทดลองขับในต่างจังหวัด และกิจกรรมอื่นๆ อีกมากมาย ซึ่งทำให้ตารางงานแน่นเอี้ยดจนแทบจะไม่มีเวลาว่าง
แม้ว่าช่วงต้นเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ผมเองก็มีตารางงานที่แน่นขนัดเช่นกัน แต่แล้วจดหมายเชิญพิเศษจาก General Motors (Thailand) ก็ได้ถูกส่งมาถึง ทำให้ผมตัดสินใจละทิ้งภารกิจในประเทศเพื่อเดินทางไปสัมผัสประสบการณ์ใหม่ ณ ดินแดน Down-Under อีกครั้ง หลังจากที่เคยเดินทางไปเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ปี 2015
ครั้งนี้พิเศษกว่าเดิม เพราะเราได้รับเชิญให้เข้าเยี่ยมชมศูนย์ออกแบบรถยนต์ของ Holden ซึ่งเป็นแบรนด์หลักสำหรับตลาดออสเตรเลียและนิวซีแลนด์ของ GM ณ เมืองเมลเบิร์น ประเทศออสเตรเลีย
ทำไมต้องเดินทางไกลถึงเมลเบิร์น?
ทำไมต้องเยี่ยมชม Holden Design Studio?
Holden เกี่ยวข้องกับประเทศไทยอย่างไร?
GM Thailand ต้องการให้เราได้เห็นอะไร?
คำถามเหล่านี้ผุดขึ้นในใจ ซึ่งผมจะอธิบายให้กระจ่างเอง
เบื้องหลังการเดินทางสู่ศูนย์ออกแบบ Holden
เหตุผลหลักที่เราต้องเดินทางข้ามน้ำข้ามทะเลไปยังเมลเบิร์นในครั้งนี้ เกิดจาก GM Thailand ได้รับเทียบเชิญเป็นกรณีพิเศษจาก GM-Holden Design Center Australia เพื่อให้คณะสื่อมวลชนจากประเทศไทยได้เข้าชมเวอร์ชันต้นแบบของรถกระบะ Colorado Minorchange และ Trailblazer Minorchange
โดยปกติแล้ว ทีม PR ของ Holden จะเชิญสื่อมวลชนจากออสเตรเลียราว 10 ท่านเข้าชมรถยนต์ทั้งสองรุ่นนี้ แต่เกิดความคิดว่า ในเมื่อประเทศไทยเป็นตลาดสำคัญที่ผลิตและจำหน่ายรถยนต์ทั้งสองรุ่นนี้ การให้สื่อมวลชนจากไทยได้มีโอกาสชมก่อนใคร จึงเป็นเรื่องที่น่าสนใจ
การส่งเทียบเชิญมาค่อนข้างกระชั้นชิด ทำให้ GM Thailand และทีม PR ของ Weber Shandwick ต้องรีบดำเนินการเรื่องวีซ่าเข้าประเทศออสเตรเลีย ซึ่งเป็นกระบวนการที่ต้องใช้เวลาพอสมควร แต่สุดท้ายแล้ว ทุกคนก็ได้รับวีซ่าทันเวลาเฉียดฉิว ก่อนขึ้นเครื่องบินเพียงวันเดียว
เที่ยวบิน TG 461 ของสายการบินไทย ด้วยเครื่องบิน 777-300 ER พาเราเดินทางถึงสนามบินเมลเบิร์น ในวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2016 เวลาประมาณ 20:50 น. ตามเวลาท้องถิ่น (ซึ่งเร็วกว่าประเทศไทย 4 ชั่วโมง)
หลังผ่านขั้นตอนตรวจคนเข้าเมือง เราเดินทางไปยังโรงแรม Crowne Plaza Melbourne ที่ตั้งอยู่ริมแม่น้ำ Yarra ใจกลางเมืองเมลเบิร์น ซึ่งเป็นพื้นที่ที่คุ้นเคยกันดี เนื่องจากเคยพักที่โรงแรม Westin ในการเดินทางมายังเมืองนี้เมื่อครั้งก่อน
ร้านรวงเริ่มปิดตัวลง เราจึงตัดสินใจพักผ่อนเพื่อเตรียมตัวสำหรับวันรุ่งขึ้น
18 กุมภาพันธ์ 2016: เยี่ยมชมสำนักงานใหญ่และศูนย์ออกแบบของ Holden
เวลา 9:00 น. ตามเวลาท้องถิ่น อากาศเย็นสบายที่ 15 องศาเซลเซียส คุณ Emily และคุณ Deanna จากฝ่ายประชาสัมพันธ์ของ GM-Holden Pty. มารับคณะของเรา 5 ท่าน โดยเดินทางด้วย Holden Captiva (หรือ Chevrolet Captiva สำหรับตลาดออสเตรเลีย) จำนวน 2 คัน มุ่งหน้าสู่สำนักงานใหญ่ของ GM-Holden
เราเดินทางผ่านถนนสายรองในเขตนิคมอุตสาหกรรมเพียงไม่นาน ก็มาถึงอาคาร 4 ชั้นขนาดใหญ่ ที่ตั้งของ General Motors – Holden เลขที่ 191 Port Melbourne
บริเวณด้านหน้าอาคาร ชั้นล่าง เป็นพื้นที่สำหรับร้านขายของที่ระลึกของ Holden รวมถึงผลิตภัณฑ์จากทีมแข่งรถโรงงานและทีม Redbull Holden นอกจากนี้ยังเป็นพื้นที่จัดแสดงรถยนต์ต้นแบบสำคัญๆ ที่ Holden เคยสร้างสรรค์ขึ้น
ก่อนเข้าสู่อาคารสำนักงาน เราต้องติดต่อเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยเพื่อติดสติกเกอร์ปิดเลนส์กล้องโทรศัพท์มือถือ ซึ่งเป็นนโยบายปกติขององค์กรใหญ่เพื่อรักษาความลับ
เราได้รับเชิญขึ้นไปยังห้องประชุมทรงกลมบนชั้น 2 เพื่อพบปะกับทีมนักออกแบบของ GM Holden และสื่อมวลชนจากออสเตรเลียอีก 10 ท่าน
Holden ได้จัดเตรียมล่ามผู้แปลภาษาไทย ซึ่งเป็นชาวออสเตรเลียนแท้ๆ ที่เคยพำนักในประเทศไทยมานานกว่า 20 ปี จนมีภรรยาเป็นคนไทย คุณลุงล่ามท่านนี้มีความสามารถและประสบการณ์มากมาย เล่าว่าเคยปีนภูกระดึงมาแล้ว และยังคงจดจำความเหนื่อยยาก แต่ก็คุ้มค่ากับทิวทัศน์ที่ได้เห็น
หลังจาก Mr. Richard Ferlazzo ผู้อำนวยการ GM Australia Design กล่าวต้อนรับ เขาก็นำพาพวกเราเดินไปยังโถงชั้น 2 ซึ่งเป็นทางเชื่อมไปยังศูนย์ออกแบบของ Holden
เมื่อเดินขึ้นลงบันไดเล็กน้อย เราก็พบกับกองรถยนต์ต้นแบบในอดีตกาลหลายคัน ที่เคยเห็นในนิตยสารรถยนต์ออสเตรเลีย จอดเรียงรายกันอย่างสมบูรณ์แบบ ซึ่งแต่ละคันยังคงอยู่ในสภาพดีพร้อมจัดแสดง รวมถึง Chevrolet Adra รถยนต์ต้นแบบที่ GM India สนใจ และ GM Australia เสนอตัวเป็นผู้สร้าง
คุณ Ferlazzo พาเราเข้าสู่ห้องประชุมที่มีจอภาพขนาดใหญ่ พร้อมระบบ Teleconference เพื่อเริ่มการบรรยายเกี่ยวกับประวัติของ Holden และรายละเอียดของรถยนต์ที่เราจะได้ชมในวันนี้
GM Australia Design: ศูนย์กลางแห่งนวัตกรรมและการออกแบบ
GM Australia Design หรือ Holden Design Centre ตั้งอยู่ภายในอาณาบริเวณเดียวกับสำนักงานใหญ่ของ Holden ที่ Port Melbourne รัฐ Victoria ประเทศออสเตรเลีย ก่อตั้งขึ้นตั้งแต่ช่วงทศวรรษ 1960 ปัจจุบันมี Mr. Richard Ferlazzo เป็นผู้อำนวยการ
ศูนย์ออกแบบแห่งนี้เป็นหนึ่งใน 10 Design Studio ที่ GM เป็นเจ้าของทั่วโลก และทำงานร่วมกับ Studio อื่นๆ เพื่อออกแบบรถยนต์รุ่นใหม่ๆ ให้กับ GM ทั่วโลก ผลงานที่น่าภาคภูมิใจ ได้แก่ Chevrolet Camaro โฉม Bumble Bee (2003) และ Chevrolet Cruze ตัวถัง Hatchback 5 ประตู ซึ่งไม่วางจำหน่ายในประเทศไทย
Holden Design Centre ก่อตั้งขึ้นในปี 1964 โดยรถรุ่นแรกที่ออกแบบคือ Holden HR ที่เปิดตัวในปี 1966 นับตั้งแต่นั้นมา รถยนต์ Holden ทุกรุ่นที่พัฒนาโดยออสเตรเลีย ล้วนเป็นผลงานจากศูนย์ออกแบบแห่งนี้ รวมถึง Holden Commodore และรถในอนุกรมใกล้เคียง เช่น Calais, Statesman และ Caprice ซึ่งเปรียบเสมือนเป็นสัญลักษณ์ของรถยนต์ขนาดใหญ่ เครื่องยนต์ทรงพลัง ขับเคลื่อนล้อหลัง อันเป็นเอกลักษณ์ของออสเตรเลีย
ในช่วงรุ่งเรืองที่สุดราวปี 2003-2004 ซึ่งกำลังพัฒนารถเก๋ง Holden Commodore VE มีนักออกแบบถึง 250 คน แต่หลังจากการปรับโครงสร้างองค์กรของ GM เพื่อลดค่าใช้จ่าย จำนวนพนักงานก็ลดลงเหลือ 140 คน ในปี 2014
แม้ว่า GM-Holden จะประกาศยุติการผลิตรถยนต์ในออสเตรเลียตั้งแต่ปี 2017 เป็นต้นไป แต่ Marry Barra CEO คนใหม่ของ GM ก็ยืนยันว่า Holden Design Centre จะยังคงดำเนินงานต่อไป เพื่อสนับสนุนการออกแบบให้กับ GM ในภูมิภาคอื่นๆ
ถึงแม้จะอยู่ห่างไกลจากสำนักงานใหญ่ที่ Detroit สหรัฐอเมริกา ผู้บริหาร GM ตระหนักถึงความสามารถของทีมออกแบบที่นี่ ซึ่งมีนักออกแบบระดับหัวกะทิที่สามารถคิดค้นรูปลักษณ์รถยนต์ได้หลากหลายรูปแบบ ปรับตัวเก่ง และเข้าใจการสร้างสรรค์แนวทางการออกแบบใหม่ๆ อยู่เสมอ GM มีสตูดิโอออกแบบ 10 แห่งทั่วโลก และมีเพียง 2 แห่งเท่านั้นที่สามารถเริ่มต้นการออกแบบจากกระดาษ สู่การสร้างเป็นรถต้นแบบคันจริงได้ นั่นคือ GM Design ที่ Detroit และ GM Australia Design ที่ออสเตรเลีย ตัวอย่างเช่น รถต้นแบบ Camaro ที่เปิดตัวในอเมริกาเหนือปี 2006 ก็เป็นฝีมือการออกแบบและการสร้างของทีมงานออสเตรเลียนี่เอง
ผลงานเด่นจาก GM Australia Design:
Holden Hurricane (1969): รถต้นแบบรุ่นแรกของ Holden โค้ด RD001 เครื่องวางกลางลำ V8 4.2 ลิตร 259 แรงม้า ตัวถังเตี้ยพิเศษเพียง 990 มิลลิเมตร การเข้าออกรถล้ำยุคด้วยระบบไฮดรอลิกเปิดหลังคา Canopy พร้อมกระจกหน้าและข้าง
Holden Torana GTR-X Concept (1970): ออกแบบด้วยเส้นสาย Wedge-shape คล้ายรถสปอร์ตญี่ปุ่นและอิตาลี ใช้เครื่องยนต์ 6 สูบ 3.0 ลิตร หรือ V8 4.2 ลิตร พร้อมดิสก์เบรก 4 ล้อ แต่โครงการต้องล้มเลิกเนื่องจากต้นทุนการผลิตสูง
Holden Coupe Concept (1998) / Monaro (1968 – 2008): รถสปอร์ตคูเป้สัญชาติออสเตรเลียนแท้ๆ เปิดตัวในรูปแบบคอนเซ็ปต์ปี 1998 และกลายมาเป็น Holden Monaro (คูเป้ของ Holden Commodore) ในอีก 3 ปีต่อมา
Chevrolet YGM1 (1999): รถ SUV ขนาดเล็กที่ใช้พื้นฐานวิศวกรรมจาก Suzuki และเป็นผลงานชิ้นแรกของ GM Australia Design ที่ได้โชว์ในระดับโลก วางจำหน่ายในชื่อ Suzuki Ignis และ Chevrolet Cruze
Holden Utester (2001): ดัดแปลงจาก Holden Commodore Ute VU เพิ่มหลังคากระจกถอดได้ และกระจกหลังเปิดได้
Holden SSX (2002): ต้นแบบดัดแปลงจาก Holden Commodore VY ตัวถังแฮทช์แบ็ก 2 ชิ้น เครื่องยนต์ V8 Gen III 5.7 ลิตร 302 แรงม้า พร้อมระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ
Holden SST Stepside Custom (2004): กระบะพื้นฐานเก๋งดัดแปลงจาก Holden One-Tonner เครื่องยนต์ Gen III V8 5.7 ลิตร 302 แรงม้า เน้นความหลากหลายในการใช้งานและดีไซน์แบบ Custom Pick-ups
Holden Torana TT36 Hatch Concept (2004): Hatchback 5 ประตู ขับเคลื่อนล้อหลัง ใช้เครื่องยนต์ V8 จากออสเตรเลีย พัฒนามาจากดีไซน์ของ Commodore VE แต่ไม่ถูกนำมาผลิตขายจริงเนื่องจากต้นทุนสูง
Holden Efijy (2005): รถต้นแบบย้อนยุคที่ได้แรงบันดาลใจจาก Holden FJ ปี 1953 ผสมผสานกับความทันสมัย โครงสร้างและเครื่องยนต์เป็นของ Chevrolet Corvette V8 6.0 ลิตร Supercharged 644 แรงม้า
Holden Coupe 60 (2008): คูเป้บนพื้นฐาน Commodore VE ฉลองครบรอบ 60 ปี Holden เครื่องยนต์ LS2 V8 6.0 ลิตร 369 แรงม้า ไม่ได้ผลิตจริงเนื่องจาก GM เน้นพัฒนา Camaro
Chevrolet/Holden Colorado (2011): รถกระบะ Colorado ที่ขายในไทย คือฝีมือการออกแบบของ GM Australia Design ร่วมกับ GM do Brazil เน้นรูปทรงสปอร์ต แต่ไม่เทอะทะ
Chevrolet Bolt EV (2015): รถยนต์ครอสโอเวอร์พลังงานไฟฟ้า GM Australia Design ร่วมมือกับ GM Korea และ GM North America ในการสร้างรถต้นแบบคันจริง
Buick Avenir (2015): รถยนต์ต้นแบบเพื่อทดสอบทิศทางดีไซน์ในอนาคตของ Buick ได้รับรางวัล Eyes on Design Award
กระบวนการทำงานภายในศูนย์ออกแบบ:
หน่วยออกแบบภายนอกและภายใน: สร้างสรรค์ดีไซน์เบื้องต้นบนกระดาษและคอมพิวเตอร์
ฝ่าย Digital Sculpting: แปลงแบบร่างเป็นรูปทรงดิจิทัล
หน่วย Visualization: สร้างภาพเสมือนจริงบนจอเพื่อการวิจัยและนำเสนอ
ทีม Advance Design: ออกแบบรถยนต์สำหรับอนาคต เน้นความคิดสร้างสรรค์
Clay Modelling: ปั้นโมเดลรถยนต์ด้วยดินเหนียวในอัตราส่วนต่างๆ (1:3 และขนาดจริง)
ฝ่ายการจัดการวัสดุและการตกแต่ง: เลือกใช้วัสดุและโทนสี
กองผู้เชี่ยวชาญด้านคุณภาพ: ตรวจสอบข้อบกพร่องในการออกแบบและเสนอแนวทางแก้ไข
ทีมสร้างรถต้นแบบ: ประกอบรถยนต์ต้นแบบจริงเพื่อจัดแสดง
สัมผัสประสบการณ์จริงใน Studio:
คุณ Ferlazzo พาพวกเราเข้าชม Studio หมายเลข 6 เพื่อสัมผัสวัสดุ เครื่องมือ และชิ้นส่วนต่างๆ ที่ใช้ในการออกแบบจริง อาทิ ตู้อุ่นดินเหนียว โครงสร้างตัวรถที่ขึ้นรูปด้วยสไตโรโฟมและดินเหนียว ไฟหน้า/ไฟท้ายต้นแบบที่แกนเหล็กยืดหดได้ และแบบจำลองรถต้นแบบขนาด 1:4 ที่ใช้ล้อสีดำเป็นฐานและแปะลายล้อพลาสติกเพื่อทดลองเปลี่ยนดีไซน์
ไฮไลท์สำคัญ: Colorado Xtreme และ Trailblazer Premier
สุดท้าย เราได้เวลามาชมไฮไลท์สำคัญ การเดินทางสู่ Body Shop สถานที่ขึ้นรูป พ่นสี และประกอบรถยนต์ต้นแบบ
Chevrolet Colorado Xtreme: ได้รับแรงบันดาลใจจากตลาดสหรัฐอเมริกา เน้นการแต่งรถเพื่อการใช้งานจริง มาพร้อมสีส้มด้าน “Furness” โดดเด่นด้วยอุปกรณ์ตกแต่ง เช่น Safari Bar พร้อมราวไฟ LED และวินช์, กันชนท้ายแบบ step, คิ้วซุ้มล้อขนาดใหญ่, ยาง Offroad 18 นิ้ว, Hood Scoop, ท่อสน็อกเกิล, Sport Bar, แร็คหลังคาพร้อมไฟ LED และอื่นๆ อีกมากมาย ภายในห้องโดยสารออกแบบใหม่ให้ร่วมสมัยขึ้น พร้อมหน้าจอ Touchscreen 8 นิ้ว รองรับ Apple CarPlay และ Android Auto
Chevrolet Trailblazer Premier: ตรงกันข้ามกับ Colorado Xtreme เน้นความหรูหราและร่วมสมัย ด้วยสีฟ้าเฉดเงิน “Velocity” ผสมสีฟ้าควันบุหรี่ การตกแต่งภายในเน้นความประณีต วัสดุไม้ Australia และโครเมียมสีสว่าง เบาะหนังพรีเมียมสีน้ำตาลกาแฟ สลับผ้าสีสว่าง การตกแต่งภายในประตูด้วยไม้ซ้อนโลหะ และแผงแดชบอร์ดทูโทน
รถยนต์ต้นแบบทั้งสองรุ่นนี้ จะถูกจัดแสดงเป็นครั้งแรกของโลกที่งาน Bangkok International Motor Show วันที่ 23 มีนาคม – 3 เมษายน 2016 ณ IMPACT Challenger เมืองทองธานี
สำหรับเวอร์ชันที่จะวางจำหน่ายจริงในประเทศไทย คาดว่า Colorado Minorchange จะเปิดตัวในช่วงกรกฎาคม – สิงหาคม 2016 ตามด้วย Trailblazer Minorchange ในอีก 1-2 เดือนต่อมา
การเดินทางไปเยี่ยมชม Holden Design Centre ในครั้งนี้ เปิดมุมมองใหม่ให้เห็นถึงความทุ่มเทและความสามารถของทีมออกแบบในระดับสากล ซึ่งสะท้อนผ่านผลงานการออกแบบรถยนต์อันหลากหลายและโดดเด่น การทำความเข้าใจเบื้องหลังการออกแบบเหล่านี้ ทำให้เราเห็นคุณค่าและความพิถีพิถันที่ซ่อนอยู่ในรถยนต์แต่ละคันมากยิ่งขึ้น
หากคุณเป็นผู้ที่ชื่นชอบในศาสตร์แห่งการออกแบบยานยนต์ หรือกำลังมองหารถยนต์ที่มีดีไซน์เป็นเอกลักษณ์และสมรรถนะที่โดดเด่น การได้สัมผัสประสบการณ์เหล่านี้ หรือแม้แต่การศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับศูนย์ออกแบบชั้นนำอย่าง GM Australia Design จะช่วยเปิดโลกทัศน์และสร้างแรงบันดาลใจให้กับคุณได้อย่างแน่นอน
หากคุณต้องการยกระดับประสบการณ์การขับขี่ของคุณ หรือมองหารถยนต์ที่สะท้อนความเป็นตัวตนได้อย่างสมบูรณ์แบบ อย่าพลาดที่จะติดตามการเปิดตัวรถยนต์รุ่นใหม่ๆ ที่กำลังจะมาถึงนี้ และหากคุณสนใจในรายละเอียดเชิงลึกของการออกแบบและเทคโนโลยียานยนต์ เราขอเชิญชวนให้คุณศึกษาข้อมูลเพิ่มเติม และหากมีข้อสงสัยหรือต้องการคำแนะนำเฉพาะบุคคล ทีมผู้เชี่ยวชาญของเราพร้อมเสมอที่จะให้คำปรึกษา เพื่อช่วยให้คุณค้นหารถยนต์ที่ตอบโจทย์ความต้องการของคุณได้อย่างแท้จริง

