งานมหกรรมยานยนต์ 2553: คลื่นลูกใหม่แห่งวงการยานยนต์ไทย
สวัสดีครับ ท่านผู้อ่านที่รักในยานยนต์ทุกท่าน ในฐานะผู้คร่ำหวอดในวงการรถยนต์มากว่าทศวรรษ ผมรู้สึกตื่นเต้นเสมอที่จะได้แบ่งปันมุมมองเชิงลึกเกี่ยวกับงานมหกรรมยานยนต์ ซึ่งถือเป็นเวทีสำคัญที่สะท้อนถึงทิศทางและนวัตกรรมใหม่ๆ ของอุตสาหกรรมยานยนต์ไทย วันนี้ ผมจะพาทุกท่านย้อนกลับไปสัมผัสบรรยากาศของงาน “มหกรรมยานยนต์ ครั้งที่ 27” ที่จัดขึ้น ณ Challenger Hall ศูนย์แสดงสินค้าและการประชุม IMPACT เมืองทองธานี ในช่วงระหว่างวันที่ 1 – 12 ธันวาคม 2553 ซึ่งเป็นปีที่น่าจับตามองเป็นพิเศษ ด้วยการเปิดตัวรถยนต์รุ่นใหม่ๆ ที่น่าสนใจหลายรุ่น รวมถึงการเผยโฉมเวอร์ชันต้นแบบ (Prototype) ครั้งแรกของโลก แม้จะยังไม่พร้อมจำหน่ายจริงก็ตาม
ประสบการณ์ตรงจากผู้เชี่ยวชาญ: เดินลุยงานมหกรรมยานยนต์ 2553
เช่นเคย ผมใช้เวลาเดินสำรวจงานอย่างสบายๆ สัมภาษณ์ผู้คน พูดคุยแลกเปลี่ยนความคิดเห็น และเก็บภาพบรรยากาศมาฝาก แม้จะเป็นการทำงาน แต่ก็เป็นไปอย่างผ่อนคลาย การได้สัมผัสกลิ่นอายของรถยนต์รุ่นใหม่ๆ และเทคโนโลยีที่กำลังจะมาถึง ถือเป็นความสุขของคนรักรถอย่างผมครับ โดยเฉพาะปีนี้ ผมโชคดีที่ได้ใส่รองเท้าคู่ใหม่จาก Adidas ทำให้เดินสบายขาผิดกับปีก่อนๆ ที่ปวดเมื่อยจนแทบจะลุกไม่ไหว
ช่วงบ่ายแก่ๆ ถึงเย็น ผมสลับหน้าที่กับ ต้าหน่อย จาก mxPhone.com ซึ่งเป็นพาร์ทเนอร์และสมาชิกในทีม The Coup Team ของเรา มาเป็นตากล้องจำเป็น ช่วยถ่ายทำรายการ The Coup Channel ให้กับ กล้วย BnN และ Toyd ซึ่งก็เป็นอีกสีสันหนึ่งที่ทำให้การทำงานในวันนั้นสนุกสนานยิ่งขึ้น
หลังจากงานรอบสื่อมวลชนผ่านพ้นไป ผมได้รวบรวมไฮไลท์สำคัญที่น่าสนใจของงานในปีนั้น มาสรุปให้ทุกท่านได้ทราบกันครับ
BMW / MINI: โชว์ยนตรกรรมหรู ที่มาพร้อมความคุ้มค่า
บูธ BMW และ MINI เป็นอีกบูธที่น่าสนใจ ด้วยการนำรถยนต์รุ่นใหม่มาจัดแสดงถึง 3 รุ่น นอกเหนือจากการเปิดตัวอย่างเป็นทางการของ BMW 520d และ 525d โดยเฉพาะรุ่น 525d ที่เคาะราคาจำหน่ายที่ 4.4 ล้านบาท ซึ่งต่ำกว่าที่คาดการณ์ไว้ ทำให้หลายคนให้ความสนใจอย่างมาก
ส่วน MINI Countryman ที่จอดแสดงอยู่บริเวณใกล้เคียง ก็ได้รับความสนใจอย่างล้นหลาม ไม่ขาดสาย สมกับเป็นรถยนต์ที่มีดีไซน์เป็นเอกลักษณ์ และตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ที่หลากหลาย
Chevrolet: กลยุทธ์การตลาดที่ชาญฉลาด และรถยนต์ที่ตอบโจทย์ทุกกลุ่ม
Chevrolet ในปีนั้น แสดงให้เห็นถึงการปรับกลยุทธ์ทางการตลาดที่เฉียบคม การเปิดตัว Cruze รุ่นย่อยต่างๆ ตั้งแต่ LS, LT, ไปจนถึง LTZ ครบครัน สะท้อนให้เห็นถึงการทำการบ้านอย่างดีของฝ่ายการตลาด และเป็นการแก้เกมปัญหาที่เกิดขึ้นก่อนการเปิดตัวได้อย่างน่าประทับใจ
ที่สำคัญคือการเปิดตัว Aveo CNG ซึ่งตอบโจทย์ผู้บริโภคที่มองหารถยนต์ขนาดเล็ก เน้นความประหยัดเชื้อเพลิงได้อย่างตรงจุด แสดงให้เห็นว่า Chevrolet เริ่มจับเทรนด์ของผู้บริโภคที่ต้องการรถยนต์ที่คุ้มค่าคุ้มราคาได้อย่างแม่นยำ
Citroën: การกลับมาของดีไซน์อันเป็นเอกลักษณ์ และความน่าสนใจของ Citroën DS3
หลังจากการปรับโครงสร้างภายใน ยนตรกิจ ได้แยกตัวออกเป็น 3 กลุ่ม โดยมี DAD ดูแลการตลาดรถในกลุ่ม Audi/MTM, Citroën และรถยนต์จากประเทศจีน โดยเฉพาะรถตู้ FOTON ที่มีรูปลักษณ์คล้าย Toyota Hiace Commuter ในรุ่นก่อนหน้า
แต่สิ่งที่ทำให้ผมประทับใจเป็นพิเศษ คือการนำ Citroën DS3 เข้ามาจำหน่ายในประเทศไทยอย่างเป็นทางการ ด้วยรูปลักษณ์ที่สวยงาม น่าใช้งาน เครื่องยนต์ 1.6 ลิตร ที่มาพร้อมราคา 1.495 ล้านบาท ซึ่งผมมองว่า นี่คือรถยนต์ที่สะท้อนถึงความตั้งใจของ Citroën ในการแข่งขันกับ MINI ได้เป็นอย่างดี การออกแบบของ Citroën เริ่มกลับมามีเอกลักษณ์ที่น่าสนใจอีกครั้ง หลังจากที่เคยหลงทิศทางไปนาน
FIAT: Fiat 500 ยังคงเป็นดาวเด่น
พระนครยนตรการ ยังคงมุ่งมั่นทำการตลาดรถยนต์ Fiat และ Alfa Romeo แม้ว่า Alfa Romeo จะค่อนข้างเงียบหายไป แต่ Fiat 500 ยังคงเป็นผลิตภัณฑ์หลักที่ช่วยให้บริษัทดำเนินธุรกิจต่อไปได้ และในปีนั้น Fiat 500 ได้เปิดตัวรุ่นเครื่องยนต์ดีเซล ซึ่งเพิ่มทางเลือกให้กับผู้บริโภค
Ford: Fiesta ยังคงได้รับความสนใจ
Fiesta ยังคงเป็นดาวเด่นบนแท่นจัดแสดงของ Ford เช่นเดียวกับปีก่อนๆ การได้พื้นที่บูธที่ใหญ่ขึ้น ทำให้ Ford สามารถนำรถยนต์มาจัดแสดงได้หลากหลายมากขึ้น แต่ยังคงไร้วี่แววของรถกระบะรุ่นใหม่ ที่คาดว่าจะเปิดตัวในช่วงปลายปีหน้า
Honda: BRIO World Premier สร้างปรากฏการณ์รถยนต์ Eco Car
การเปิดตัว Honda BRIO ต่อหน้าสาธารณชนเป็นครั้งแรกของโลก (World Premier) ในงานนี้ ทำให้รถยนต์ขนาดเล็กพิกัด Sub-B-Segment หรือ A-Segment กลายเป็นดาวเด่นในงานทันที การที่ Honda ประกาศอย่างเป็นทางการว่าจะเริ่มจำหน่ายจริงในเดือนมีนาคม 2554 ด้วยราคาเริ่มต้นที่ 400,000 บาท สะท้อนให้เห็นถึงความจริงจังของ Honda ในตลาดรถยนต์ Eco Car
Honda ทุ่มเทอย่างมากสำหรับการเปิดตัวครั้งนี้ โดยถึงกับต้องขอเช่าพื้นที่ด้านหลังอาคารเพื่อติดตั้งระบบส่งสัญญาณถ่ายทอดสด ทั้งทางอินเทอร์เน็ตและโทรทัศน์ บรรยากาศบริเวณบูธ Honda เต็มไปด้วยผู้คนให้ความสนใจอย่างหนาแน่น โดยเฉพาะนักข่าวจากอินเดียที่ Honda เชิญมาร่วมบันทึกประวัติศาสตร์ครั้งนี้
Isuzu: D-Max X-Series เจาะกลุ่มวัยรุ่น และอนาคตของ D-Max รุ่นต่อไป
Isuzu ในปีนั้น ได้ปรับภาพลักษณ์ของบูธให้ทันสมัยขึ้น โดยเน้นที่ D-Max X-Series ที่เจาะกลุ่มลูกค้าวัยรุ่น และผู้ที่ชื่นชอบการใช้ชีวิตกลางแจ้งอย่างชัดเจน สิ่งที่ทุกคนในวงการจับตามอง คือการเปิดตัว D-Max รุ่นต่อไป ในปี 2554 ภายใต้รหัสโครงการ RT-50 ซึ่งกลยุทธ์การสื่อสารทางการตลาดจะเป็นอย่างไร จะสามารถตอบโจทย์ลูกค้าได้ครบถ้วนหรือไม่ คงต้องรอดูกันต่อไป
Land Rover: การกลับมาอย่างยิ่งใหญ่
British Motor ผู้นำเข้าและจำหน่าย Land Rover ได้รับพื้นที่บูธขนาดใหญ่จนน่าประหลาดใจ และได้นำรถ SUV ของตนมาจัดแสดงแทบจะครบทุกรุ่น
LEXUS: CT200h เปิดตัวอย่างเหนือความคาดหมาย
LEXUS สร้างความประหลาดใจด้วยการเปิดตัว CT200h ซึ่งเป็นรถยนต์ Hybrid ที่มีขนาดค่อนข้างเล็ก เหมาะสำหรับคนโสดที่ชอบขับรถมากกว่าจะเป็นกลุ่มครอบครัว ด้วยพื้นที่นั่งด้านหลังที่ค่อนข้างจำกัด
อย่างไรก็ตาม เมื่อทราบว่า Toyota กำลังพยายามเจรจาให้สามารถตั้งราคา CT200h ในไทยเริ่มต้นเพียง 2.2 ล้านบาท ก็ทำให้ผมเลิกคิดที่จะติเตียนเรื่องการออกแบบไปเลย เพราะถือเป็นราคาที่คุ้มค่ามาก สำหรับรถยนต์สปอร์ต 5 ประตู ที่มาพร้อมเทคโนโลยี Hybrid
Mazda: Ryuga ต้นแบบ และ Mazda 2 Navi
บูธ Mazda นำ Ryuga รถต้นแบบมาจัดแสดง พร้อมกับรถตกแต่งพิเศษโดยคุณพีท ทองเจือ และ Mazda 2 Navi ที่มีระบบนำทาง GPS จากโรงงาน รวมถึง Mazda BT-50 รุ่นพิเศษ
Mitsubishi Motors: i-MiEV Sport รถยนต์ไฟฟ้า และ Lancer EXWrap สีเหลือง
Mitsubishi Motors โชว์ i-MiEV Sport รถต้นแบบพลังงานไฟฟ้า In-Wheel Motors ที่มีพละกำลังน่าประทับใจ และใช้ Bioplastic ในการตกแต่งภายใน Lancer EX มาพร้อมการ Wrap สีเหลือง หลังคาดำ สร้างความสะดุดตาให้กับผู้คนที่เดินผ่านไปมา Lancer CNG และ Triton CNG ยังคงทำยอดขายได้อย่างต่อเนื่อง
มีข่าวร้ายว่า Pajero Sport และ Triton จะยุติการผลิตเครื่องยนต์ 3.2 ลิตร และจะเปิดตัวเครื่องยนต์ 2.5 ลิตร VGT ใหม่ในช่วงกลางเดือนมกราคม 2554
Nissan: March Autech และ X-Trail รุ่นพิเศษ
Nissan ได้นำ 370Z มาจัดแสดงและจำหน่ายจริง แต่รุ่นที่ถือว่าเป็นของใหม่คือ March Autech ชุดแต่งแนวสปอร์ตรอบคัน และ X-Trail รุ่นย่อยพิเศษ รวมถึง Navara Minorchange ภายในสีดำ
Peugeot: RCZ สปอร์ตคูเป้ เปิดตัวอย่างเป็นทางการ
Peugeot ทำตามสัญญาด้วยการเปิดตัว RCZ รถสปอร์ตคูเป้ ในงานนี้ ด้วยเครื่องยนต์ 1.6 ลิตร Turbo 156 แรงม้า เกียร์อัตโนมัติ 4 จังหวะ ราคา 2.95 ล้านบาท และยังมีรุ่น 200 แรงม้า พร้อมเกียร์ธรรมดา 6 จังหวะ ในราคา 3.1 ล้านบาท ซึ่งน่าสนใจเป็นพิเศษ
Proton: Saga Minorchange เปิดตัวครั้งแรกของโลกที่ไทย
Proton Saga รุ่น Minorchange เปิดตัวครั้งแรกของโลกที่เมืองไทย พร้อมเครื่องยนต์ Campro 1.3 ลิตร ซึ่งถือเป็นอีกหนึ่งความเคลื่อนไหวที่น่าจับตามอง
RUF: การกลับมาของสำนักแต่งระดับโลก
การกลับมาของ RUF สร้างความฮือฮาให้กับวงการรถแต่งในไทย หลังจากเคยเข้ามาเปิดตลาดเมื่อหลายปีก่อน RUF ในฐานะสำนักโมดิฟายที่ได้รับสิทธิ์ในการตอก VIN Number ของเยอรมันนี ทำให้รถที่ใช้พื้นฐานจาก Porsche มีมูลค่าเพิ่มขึ้น
SsangYong: Korando โฉมใหม่ สวยสะดุดตา
SsangYong สร้างความประหลาดใจด้วยการเปิดตัว Korando โฉมใหม่ ที่พลิกโฉมจากรุ่นเดิมอย่างสิ้นเชิง ด้วยดีไซน์ที่สวยงามและทันสมัยขึ้น จนทำให้หลายคนอดสงสัยไม่ได้ว่านี่คือรถยนต์แบรนด์อื่นมาจัดแสดงหรือไม่
Subaru: Impreza WRX A-Spec และสีสันจากพริตตี้
Subaru โดย Motor Image ได้เปิดตัว Impreza WRX A-Spec เกียร์อัตโนมัติ พร้อมด้วยพริตตี้สาวสวยที่สร้างสีสันให้กับบูธได้อย่างน่าประทับใจ
Suzuki: ECO Car เตรียมเปิดตัวปี 2555
Suzuki ยังคงทำการตลาดด้วย SX4 ประกอบอินโดนีเซีย แต่สำหรับ ECO Car ที่หลายคนรอคอย จะได้พบกันในปี 2555
TATA MOTORS: Indica EV และแผนเปิดตัว Nano
TATA MOTORS นำ Indica EV รถต้นแบบพลังงานไฟฟ้ามาจัดแสดง พร้อมทั้งเตรียมแผนการทำตลาด Tata Nano ในประเทศไทย
TOYOTA: Prius ขับเคลื่อนด้วย Hybrid
Toyota นำ Prius มาจัดแสดงจำนวนมาก ซึ่งถือเป็นรถยนต์ Hybrid ตัวหลักของปีนี้ Prius เป็นรถยนต์ Hybrid รุ่นที่ 2 ที่ประกอบขายในประเทศไทย และ Toyota ได้ยืนยันว่าสามารถขับขี่บนทางชันได้อย่างแน่นอน หลังจากผ่านการปรับจูน ECU และระบบให้เข้ากับสภาพถนนของไทยเรียบร้อยแล้ว
VOLVO: XC60 D3 CKD และ S60 ใหม่
Volvo เปิดตัว XC60 D3 CKD เป็นครั้งแรกในงาน และ S60 ใหม่ 2.0T ได้รับความสนใจจากผู้คนจำนวนมาก
Volkswagen: Golf GTi และ Scirocco ยังคงดึงดูด
Volkswagen ยังคงทำตลาดรถยนต์รุ่นเดิม โดย Golf GTi และ Scirocco ยังคงได้รับความสนใจจากผู้เข้าชมงาน
Super Car โดย Gray Market: สุนทรีย์แห่งความแรง
ปีนี้ เราได้เห็นรถ Super Car จากผู้นำเข้ารายย่อย Gray Market เป็นจำนวนมาก เช่น Ferrari California ซึ่งจอดอยู่ในพื้นที่ของ TSL ทำให้การถ่ายภาพเป็นไปอย่างทุลักทุเล
บทสรุปจากงานมหกรรมยานยนต์ 2553
โดยรวมแล้ว งานมหกรรมยานยนต์ในปี 2553 นี้ ไม่ได้กร่อยอย่างที่คิด มีรถยนต์น่าสนใจให้ชมมากมาย บรรยากาศการขายอาจจะลดน้อยลงไปบ้าง เนื่องจากแต่ละค่ายเริ่มหันมาเน้นการจัดแสดงเทคโนโลยีเพื่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น ซึ่งถือเป็นเรื่องที่ดี
งานนี้จัดขึ้นระหว่างวันที่ 1 – 12 ธันวาคม 2553 ณ Challenger Hall IMPACT เมืองทองธานี เป็นงานส่งท้ายปีที่คนรักรถไม่ควรพลาด ส่วนผม จะแวะไปเดินเล่นอีกครั้งเมื่อไหร่ คงต้องลองมาดูกันครับ
Mercedes-Benz B-Class: รถครอบครัวที่เหนือความคาดหมาย
ในโลกแห่งยานยนต์ รถยนต์แต่ละคันล้วนมีเรื่องราวเบื้องหลังการออกแบบและพัฒนาที่น่าสนใจ ในฐานะผู้ที่ได้สัมผัสและทดลองขับยานยนต์มาหลากหลายรุ่น เป็นเวลากว่า 10 ปี ผมพบว่า บางครั้ง รูปลักษณ์ภายนอก หรือชื่อชั้นของแบรนด์ อาจไม่ใช่ทุกสิ่งทุกอย่างในการตัดสินใจเลือกซื้อรถยนต์คันหนึ่ง วันนี้ ผมจะพาทุกท่านไปเจาะลึก Mercedes-Benz B-Class ที่หลายคนอาจมองข้ามไป แต่กลับซ่อนเร้นคุณสมบัติที่น่าประทับใจไว้มากมาย
จุดเริ่มต้นของ B-Class: ท้าทายแนวคิดเดิมๆ ของ Mercedes-Benz
ในช่วงกลางทศวรรษ 1990 แม้ Mercedes-Benz จะเป็นที่รู้จักในฐานะผู้ผลิตรถยนต์หรูหราที่เน้นความคลาสสิกและสมรรถนะ แต่บริษัทก็เริ่มมองหาโอกาสในการขยายไลน์ผลิตภัณฑ์ เพื่อตอบสนองความต้องการที่หลากหลายของตลาดมากขึ้น หนึ่งในแนวคิดที่น่าสนใจคือ การพัฒนารถยนต์ประเภท MPV หรือ Minivan ที่มีเอกลักษณ์แตกต่างไปจากคู่แข่ง ด้วยการผสมผสานบุคลิกของรถเก๋งซีดาน และรถยนต์แวกอนเข้าไว้ด้วยกัน
เมื่อ Mercedes-Benz A-Class รุ่นแรก ที่ใช้โครงสร้างวิศวกรรมขับเคลื่อนล้อหน้าแบบ Sandwich Platform เปิดตัวสู่ตลาดในปี 1997 หลายคนเริ่มคาดการณ์ถึงการมาของรถยนต์รุ่นอื่นที่ใช้โครงสร้างเดียวกัน แต่กว่าที่ Mercedes-Benz จะมั่นใจและพร้อมปล่อยรถยนต์ประเภทนี้สู่ตลาด ก็ต้องรอจนถึงวันที่ 1 มีนาคม 2005 กับการเปิดตัว Mercedes-Benz B-Class รหัสรุ่น W245 ซึ่งนิยามตนเองว่าเป็น “Compact Sport Tourer” ไม่ใช่ Minivan แม้ว่ารูปลักษณ์ภายนอกจะบ่งบอกเช่นนั้นก็ตาม สโลแกน “The Mercedes-Benz, unlike any other” สะท้อนถึงความตั้งใจที่จะสร้างความแตกต่างอย่างชัดเจน
B-Class รุ่นแรก มี 5 ที่นั่ง พร้อมเบาะหลังที่ปรับพับได้หลากหลายรูปแบบ ตอบโจทย์ทั้งครอบครัวยุคใหม่ และผู้สูงวัยที่ต้องการรถยนต์ที่มีห้องโดยสารกว้างขวาง นั่งสบาย ใช้เครื่องยนต์และงานวิศวกรรมร่วมกับ A-Class รุ่นแรก
แม้จะมียอดขายสะสมทั่วโลกกว่า 700,000 คัน ในช่วงอายุตลาด แต่ B-Class รุ่นแรก ก็ยังไม่โดดเด่นมากพอที่จะสร้างความประทับใจในแรกเห็น และมักถูกมองข้ามไปในกลุ่มลูกค้า หรือถูกเปรียบเทียบกับ A-Class ที่มีราคาถูกกว่า
B-Class W246: การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ เพื่อสร้างความแตกต่าง
เมื่อถึงเวลาของการพัฒนารุ่นที่สอง รหัสตัวถัง W246 ทีมออกแบบและวิศวกรของ Mercedes-Benz ได้ตัดสินใจเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ เพื่อให้ B-Class มีความแตกต่างจาก A-Class มากกว่าเดิม ด้วยการพัฒนาแพลตฟอร์ม MFA (Mercedes-Benz Front-wheel-drive Architecture) ซึ่งจะใช้ร่วมกับรถยนต์อีก 3 รุ่นในอนาคต
Dr. Thomas Weber สมาชิกคณะกรรมการบริหาร รับผิดชอบส่วนงานวิจัยและพัฒนาของ Daimler AG. กล่าวย้ำว่า “ในประวัติศาสตร์ที่ผ่านมาของ Mercedes-Benz ไม่เคยมีรถยนต์รุ่นเปลี่ยนโฉมใหม่ทั้งคันรุ่นใดที่อัดแน่นไปด้วยพัฒนาการใหม่ๆ มากเท่านี้มาก่อน”
ทีมออกแบบภายใต้การดูแลของ Professor h.c. Gorden Wagener ได้ทุ่มเทกว่า 1,100 ชั่วโมง ในการลดแรงเสียดทานอากาศของตัวรถ จนได้ค่าสัมประสิทธิ์แรงเสียดทานอากาศ (Cd) ที่ต่ำถึง 0.26 ซึ่งถือเป็นสถิติที่ดีที่สุดสำหรับรถยนต์ประเภท Minivan 5 ประตู ที่ผลิตจำหน่ายจริง
Mercedes-Benz ตั้งความหวังไว้สูงกับ B-Class ใหม่ โดยคาดการณ์ยอดขาย 1.5 ล้านคันภายในปี 2558 และลงทุนปรับปรุงโรงงานในฮังการีและเยอรมนีเป็นจำนวนมาก
เปิดตัวอย่างเป็นทางการ: B-Class W246 สู่สายตาชาวโลก
Mercedes-Benz ได้ทยอยเผยภาพรายละเอียดทางเทคนิค ภาพภายในห้องโดยสาร และภาพถ่ายอย่างเป็นทางการของ B-Class รุ่นที่ 2 ในช่วงกลางปี 2554 และได้เปิดตัวสู่สาธารณชนเป็นครั้งแรกในโลก ที่งาน Frankfurt Motor Show วันที่ 30 สิงหาคม 2554
B-Class ในประเทศไทย: จากรถนอกสายตา สู่ทางเลือกที่น่าสนใจ
สำหรับในประเทศไทย Mercedes-Benz Thailand ได้นำเข้า B-Class รุ่น B180 มาทำตลาดก่อนหน้านี้ ซึ่งลูกค้าส่วนใหญ่เป็นครอบครัว หรือผู้สูงวัยที่ต้องการรถยนต์ขนาดไม่ใหญ่ ขับขี่ง่ายในเมือง ประหยัดน้ำมัน และมีห้องโดยสารกว้างขวาง
แต่เมื่อ B-Class ใหม่ เปิดตัวในยุโรป เพียง 4 เดือนต่อมา Mercedes-Benz Thailand ก็ได้นำรถรุ่นนี้เข้ามาเปิดตัวอย่างเป็นทางการในงาน Bangkok International Motor Show เดือนมีนาคม 2555 โดยนำเข้ามาในรุ่น B200 Blue Efficiency เกียร์อัตโนมัติ 7 จังหวะ ซึ่งถือเป็นรุ่น Top of the Line ที่เพิ่งเริ่มออกสู่ตลาดโลกในเดือนกุมภาพันธ์ 2555
การออกแบบภายนอก: เส้นสายที่เฉียบคม และความลงตัว
B-Class ใหม่ มีความยาว 4,359 มม. กว้าง 1,785 มม. สูง 1,557 มม. และระยะฐานล้อ 2,699 มม. เมื่อเทียบกับรุ่นแรก จะพบว่ามีความยาวเพิ่มขึ้น 89 มม. กว้างขึ้น 8 มม. แต่เตี้ยลง 46 มม. และระยะฐานล้อสั้นลง 79 มม.
เส้นสายภายนอกดูคล้ายรุ่นเดิม แต่มีการปรับให้ดูเฉียบคมและ Dynamic มากขึ้น ด้วยแนวเส้นจากฝากระโปรงหน้า ลากยาวไปยังเสาหลังคาคู่หน้า และเส้นด้านข้างตัวถังที่ดูไม่หยุดนิ่ง กระจังหน้าสีเงิน 2 ชั้น พร้อมแถบโครเมียม ชุดไฟหน้า Bi-Xenon พร้อม Daytime Running Light แบบ LED และชุดไฟท้าย LED ยังคงรักษามาตรฐานการออกแบบของ Mercedes-Benz ไว้
การเข้า-ออก และพื้นที่ภายใน: ความสะดวกสบายที่เหนือกว่า
การเข้า-ออกจากห้องโดยสารทำได้อย่างสะดวกสบาย ด้วยตำแหน่งเบาะนั่งที่ค่อนข้างสูง แผงประตูด้านข้างมีช่องเก็บของที่เพียงพอ และที่วางแขนที่ออกแบบมาอย่างลงตัว
เบาะนั่งหุ้มด้วยหนัง ARTIGO สามารถปรับไฟฟ้า พร้อมหน่วยความจำได้ พนักพิงหลังและเบาะรองนั่งให้ความสบายพอสมควร แม้จะไม่ถึงขั้น “เทพสั่งทำ” แต่ก็เพียงพอต่อการใช้งานในระยะทางไกล
พื้นที่เหนือศีรษะ โปร่งโล่ง และพื้นที่วางขาด้านหลังก็มีให้เพียงพอสำหรับผู้ใหญ่
ห้องเก็บสัมภาระ: กว้างขวาง ตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์
ฝาประตูห้องเก็บสัมภาระด้านหลังเปิดได้กว้างขวาง ด้วยระบบกลอนไฟฟ้า พื้นที่เก็บสัมภาระมีขนาด 486 ลิตร (ตามมาตรฐาน VDA) หากพับเบาะหลัง จะเพิ่มความจุได้ถึง 1,545 ลิตร
ห้องโดยสารตอนหน้า: การออกแบบที่เน้นการใช้งาน
แผงหน้าปัดออกแบบให้เน้นการใช้งานง่าย สไตล์สปอร์ต ช่องแอร์ทรงวงกลมโครเมียม ชวนให้นึกถึงรถเมล์ปรับอากาศ แต่กลับเข้ากันได้ดีกับ Trim แบบ Honeycomb
พวงมาลัย 3 ก้าน หุ้มหนัง พร้อมสวิตช์ควบคุมเครื่องเสียง และ Paddle Shift ที่ด้านหลัง
สิ่งที่น่าสนใจและน่าปรับปรุง
ตำแหน่งคันเกียร์: การย้ายคันเกียร์ไปไว้ที่ก้านสวิตช์บนคอพวงมาลัย อาจก่อให้เกิดความสับสนสำหรับผู้ที่คุ้นเคยกับรถยนต์ญี่ปุ่น
เบาะรองนั่งด้านหลัง: มีความสั้น อาจไม่สบายสำหรับผู้ใหญ่ในการเดินทางไกล
การเก็บเสียงยาง: ยังมีเสียงรบกวนจากพื้นถนนเข้ามาในห้องโดยสาร
อัตราเร่งช่วงออกตัว: ยังไม่จัดจ้านเท่าที่ควร
การทำงานของ Turbo: ควรให้เริ่มบูสต์ที่รอบต่ำกว่านี้
ระบบปรับอากาศ: ยังไม่มีแบบแยกโซนซ้าย-ขวา
ระบบนำทาง: ควรมีระบบ Navigation System พร้อม COMMAND ONLINE มาให้
สมรรถนะและเทคโนโลยี: ขับสนุก ประหยัดน้ำมัน และปลอดภัย
B200 Blue Efficiency มาพร้อมเครื่องยนต์ 1.6 ลิตร Turbo 156 แรงม้า แรงบิด 250 นิวตันเมตร จับคู่กับเกียร์อัตโนมัติ 7 จังหวะ 7G-DCT อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ทำได้ 9.58 วินาที และอัตราเร่งแซง 80-120 กม./ชม. ทำได้ 7.42 วินาที ซึ่งถือว่าน่าประทับใจสำหรับรถขนาดนี้
ที่น่าทึ่งที่สุดคือ อัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงเฉลี่ยที่ทำได้ถึง 16.31 กม./ลิตร ซึ่งเป็นตัวเลขที่ยอดเยี่ยมเทียบเท่ากับรถยนต์ Eco Car
ระบบช่วงล่างถูกเซ็ตมาในแนว Comfort ขับขี่นุ่มนวล มั่นคง ในขณะเข้าโค้ง ระบบเบรกดิสก์ 4 ล้อ พร้อมระบบช่วยเหลือด้านความปลอดภัยต่างๆ เช่น ESP, ABS, BAS, ASR รวมถึงระบบ PRE-SAFE ที่ช่วยปกป้องผู้โดยสารก่อนเกิดอุบัติเหตุ
สรุป: ทางเลือกที่น่าสนใจ สำหรับผู้ที่มองหาสิ่งที่แตกต่าง
Mercedes-Benz B-Class B200 Blue Efficiency เป็นรถยนต์ที่น่าสนใจอย่างยิ่งสำหรับผู้ที่มองหารถยนต์ Mercedes-Benz ที่แตกต่างออกไป ด้วยสมรรถนะที่ดีเกินคาด ประหยัดน้ำมัน ขับขี่สนุก และมีพื้นที่ห้องโดยสารที่กว้างขวาง เหมาะสำหรับครอบครัวยุคใหม่ หรือผู้ที่ต้องการรถยนต์ที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ที่หลากหลาย
หากคุณกำลังมองหารถยนต์ที่ผสมผสานความหรูหราของ Mercedes-Benz เข้ากับความอเนกประสงค์ ความประหยัด และความสนุกในการขับขี่ B-Class คือตัวเลือกที่คุณไม่ควรมองข้าม
อย่าพลาดที่จะสัมผัสประสบการณ์การขับขี่ที่เหนือความคาดหมาย ด้วย Mercedes-Benz B-Class วันนี้!
