• Sample Page
Film
No Result
View All Result
No Result
View All Result
Film
No Result
View All Result

N0401062 ความเช อท ไร เหต ผล part2

admin79 by admin79
December 30, 2025
in Uncategorized
0
N0401062 ความเช อท ไร เหต ผล part2

Hyundai i10: ซิตี้คาร์เกาหลีที่เติบโตสู่ความพรีเมียม

ในโลกยานยนต์ที่ขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรมและการแข่งขันอันดุเดือด แบรนด์จากแดนกิมจิอย่าง Hyundai ได้พิสูจน์ตัวเองแล้วว่าไม่ใช่เพียงผู้เล่นหน้าใหม่ แต่เป็นหนึ่งในผู้ผลิตรถยนต์ชั้นนำที่สามารถสร้างสรรค์ยนตรกรรมที่ตอบโจทย์ทุกความต้องการของผู้บริโภคได้อย่างน่าประทับใจ ตลอดระยะเวลาหลายปีที่ผ่านมา Hyundai ไม่เพียงแต่สร้างชื่อเสียงจากรถยนต์ซีดานสมรรถนะสูง แต่ยังคงไม่หยุดยั้งการพัฒนายานยนต์ขนาดเล็กหรือซิตี้คาร์ เพื่อเข้าถึงกลุ่มผู้ใช้งานที่หลากหลาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับตลาดในยุโรปและภูมิภาคอื่นๆ ทั่วโลก

Hyundai i10 ใหม่: วิวัฒนาการสู่ความใหญ่และเปี่ยมด้วยคุณค่า

แม้ว่า Hyundai i10 รุ่นปัจจุบันอาจไม่ได้ปรากฏให้เห็นในตลาดประเทศไทย แต่การเปิดตัว Hyundai i10 เวอร์ชันใหม่ ได้สร้างกระแสความสนใจอย่างล้นหลามในระดับสากล การพัฒนาที่เน้นการเพิ่มขนาดตัวถังให้ใหญ่ขึ้น เพื่อตอบสนองความต้องการใช้งานที่มากขึ้น สะท้อนให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของ Hyundai ในการยกระดับรถยนต์ซิตี้คาร์ให้มีความคุ้มค่าและน่าดึงดูดมากยิ่งขึ้น

ก้าวสำคัญของการออกแบบ: มิติที่ลงตัวเพื่อการใช้งานที่เหนือกว่า

แนวคิดในการพัฒนา Hyundai i10 ให้มีขนาดใหญ่ขึ้นไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่ได้รับการยืนยันและพัฒนาอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเวอร์ชันที่จะเริ่มวางจำหน่ายในตลาดอังกฤษ โดยนำเสนอในราคาที่เข้าถึงได้ง่าย เพียง 8,345 ปอนด์ (ประมาณ 417,250 บาท) ถือเป็นจุดเด่นที่สำคัญในการดึงดูดผู้บริโภคในตลาดที่มีการแข่งขันสูง

Hyundai i10 ใหม่ มีการปรับเปลี่ยนมิติให้มีความลงตัวสำหรับการใช้งานในชีวิตประจำวันมากขึ้น โดยความกว้างของตัวถังถูกเพิ่มขึ้นถึง 65 มิลลิเมตร และความยาวเพิ่มขึ้น 80 มิลลิเมตร ในขณะเดียวกัน ความสูงของรถกลับถูกปรับลดลง 50 มิลลิเมตร เพื่อคงไว้ซึ่งความคล่องตัวและสมดุลในการขับขี่ รุ่นเริ่มต้นมาพร้อมล้อขนาด 14 นิ้ว ระบบเซ็นทรัลล็อค และกระจกไฟฟ้าเป็นอุปกรณ์มาตรฐาน เพิ่มความสะดวกสบายและความปลอดภัยขั้นพื้นฐาน

ภายในกว้างขวาง: พื้นที่เก็บสัมภาระที่เพิ่มขึ้นอย่างน่าประทับใจ

เมื่อก้าวเข้าสู่ภายในห้องโดยสาร แม้ว่าตัวรถจะถูกปรับให้เตี้ยลง แต่ Hyundai i10 ใหม่ กลับมอบประสบการณ์ที่น่าประหลาดใจ ด้วยการขยายพื้นที่เก็บสัมภาระให้เพิ่มขึ้นถึง 10% เมื่อเทียบกับรุ่นก่อนหน้า กลายเป็น 252 ลิตร เพียงพอสำหรับการบรรจุสัมภาระสำหรับการเดินทางในชีวิตประจำวัน หรือแม้แต่การช้อปปิ้งในแต่ละครั้ง

ขุมพลังที่หลากหลาย: เลือกสรรตามสไตล์การขับขี่

Hyundai วางแผนนำเสนอ Hyundai i10 ใหม่ ด้วยขุมพลังเครื่องยนต์ 2 รูปแบบ เพื่อตอบสนองความต้องการที่แตกต่างกันของผู้บริโภค:

เครื่องยนต์ 3 สูบ ขนาด 1.0 ลิตร: ให้กำลังสูงสุด 65 แรงม้า อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ในเวลา 14.9 วินาที และความเร็วสูงสุด 155 กม./ชม. เหมาะสำหรับการขับขี่ในเมืองที่เน้นความประหยัดและความคล่องตัว
เครื่องยนต์ 4 สูบ ขนาด 1.2 ลิตร: มอบกำลังสูงสุด 86 แรงม้า อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ในเวลา 12.3 วินาที และความเร็วสูงสุด 171 กม./ชม. สำหรับผู้ที่ต้องการสมรรถนะที่สูงขึ้นเล็กน้อยสำหรับการขับขี่ที่หลากหลาย

รุ่นย่อยที่ตอบโจทย์: ความคุ้มค่าและความครบครัน

Hyundai i10 ใหม่ จะมีให้เลือกถึง 3 รุ่นย่อย โดยแต่ละรุ่นจะมาพร้อมออปชันที่แตกต่างกันเพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้า:

รุ่น S (รุ่นเริ่มต้น): มอบความคุ้มค่าด้วยอุปกรณ์มาตรฐานที่จำเป็นสำหรับการใช้งานทั่วไป
รุ่น SE: เพิ่มความสะดวกสบายด้วยกุญแจรีโมท และระบบละลายฝ้าที่กระจกมองข้าง
รุ่น Premium Edition (รุ่นท็อป): ยกระดับประสบการณ์การขับขี่ด้วยออปชันชั้นนำ เช่น การเชื่อมต่อ Bluetooth พร้อมระบบสั่งงานด้วยเสียง, ไฟ Daytime LED, และระบบแจ้งเตือนเบรกฉุกเฉิน

สำหรับตลาดอังกฤษ Hyundai i10 ใหม่ จะเริ่มส่งมอบในช่วงเดือนมกราคมปีหน้า ซึ่งเป็นการตอกย้ำความมุ่งมั่นของ Hyundai ในการนำเสนอผลิตภัณฑ์ที่ทันสมัยและตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคในตลาดโลก

การแข่งขันในตลาด B-Segment: ภาพรวมและแนวโน้ม

ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ตลาดรถยนต์ทั่วโลกได้เห็นเทรนด์ที่ผู้บริโภคหันไปให้ความสนใจรถยนต์ประเภท SUV มากขึ้น ตั้งแต่ B-SUV ขนาดเล็ก ไปจนถึง Full Size SUV ซึ่งส่งผลให้ค่ายรถยนต์ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นแบรนด์ตลาด Mass หรือแบรนด์รถหรู ต่างมุ่งเน้นพัฒนารถยนต์ในกลุ่มนี้เพื่อชิงส่วนแบ่งทางการตลาด อย่างไรก็ตาม รถยนต์กลุ่ม B-Segment หรือรถยนต์ขนาดเล็ก ยังคงเป็นหัวใจสำคัญของยอดขายในตลาดรถยนต์โดยรวม ถือเป็นกลุ่มรถยนต์ที่ได้รับความนิยมสูงและครองส่วนแบ่งการตลาดได้อย่างมหาศาล

ในประเทศไทย ตลาด B-Segment มีความคึกคักเป็นอย่างมาก และรถยนต์ที่ได้รับความนิยมอย่างสูงในกลุ่มนี้ คงหนีไม่พ้น Honda City ซึ่งในปีที่ผ่านมามียอดขายที่น่าประทับใจเกินความคาดหมาย สร้างความประหลาดใจให้กับรถรุ่นใหม่ที่เปิดตัวอย่าง Toyota Vios โฉมใหม่ อย่างไรก็ตาม ยอดขายที่โดดเด่นของ Honda City อาจเป็นผลมาจากกลยุทธ์ทางการตลาดที่ต้องการระบายสต็อกรุ่นเดิม เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการมาถึงของ Honda City 2014 โฉมใหม่ ซึ่งถือเป็นเจนเนอเรชันที่ 4 ที่เปิดตัวไปเมื่อต้นปีที่ผ่านมา ภายใต้คอนเซ็ปต์ “Be Your Best”

Honda City 2014: นิยามใหม่ของความสมบูรณ์แบบในสไตล์สปอร์ตหรู

โฆษณาของ Honda มักจะสร้างแรงบันดาลใจและโน้มน้าวใจผู้ชมได้อย่างยอดเยี่ยมเสมอ ด้วยบทเพลงที่ไพเราะและการนำเสนอที่สื่อสารได้อย่างลึกซึ้ง ทำให้ผู้บริโภครู้สึกคล้อยตามและสัมผัสได้ถึงความหรูหราที่ซ่อนอยู่ ซึ่งเป็นเอกลักษณ์ที่ทำให้ Honda City กลายเป็นรถที่ “กัปตัน” หรือผู้ที่ประสบความสำเร็จมักเลือกใช้ การได้สัมผัสประสบการณ์การขับขี่รถที่ถูกเปรียบเปรยว่าเป็น “ตัวเลือกของกัปตัน” ถือเป็นโอกาสอันดีในการนำเสนอรีวิวที่เจาะลึกเพื่อผู้อ่านทุกท่าน

ดีไซน์ภายนอก: การปรับปรุงที่ลงตัวและมีมิติ

เมื่อพิจารณารูปลักษณ์ภายนอกของ Honda City 2014 โฉมใหม่ หากมองผ่านกระจกมองหลัง อาจดูไม่แตกต่างจากรุ่นเดิมมากนัก แต่เมื่อเข้ามาใกล้ขึ้น จะเห็นความแตกต่างที่โดดเด่น โดยเฉพาะบริเวณไฟท้ายด้านหลัง ที่ได้รับการออกแบบให้รับกับแนวเส้นโป่งหลังที่คมชัดและมีมิติ ดูไม่เทอะทะจนเกินไป ซึ่งเป็นจุดที่หลายคนชื่นชม รวมถึงผู้เขียนเอง ล้ออัลลอยขนาด 16 นิ้ว ลวดลายใหม่ ดูสปอร์ตและแฝงด้วยความหรูหรา โดยเฉพาะในรุ่น SV และ SV+ ที่มาพร้อมยาง Bridgestone Turanza ขนาด 185/55/16

เมื่อเทียบกับรุ่นเดิม มิติของ Honda City 2014 ยาวขึ้น 45 มม. และฐานล้อก็ยาวขึ้น 50 มม. โดยมีความสูงเพิ่มขึ้น 5 มม. ส่วนความกว้างเท่าเดิมคือ 1,695 มม. การขยายความยาวเล็กน้อยนี้ ส่งผลโดยตรงต่อการเพิ่มพื้นที่โดยสารตอนหลัง และห้องเก็บสัมภาระ ซึ่งมีความจุเพิ่มขึ้นเป็น 536 ลิตร

ภายในห้องโดยสาร: ความกว้างขวาง สะดวกสบาย และเทคโนโลยีที่ทันสมัย

เมื่อเปิดประตูด้วยระบบ Keyless Entry เข้าสู่ภายใน จะพบกับเบาะนั่งที่หุ้มด้วยวัสดุผ้า พื้นที่ภายในดูกว้างขวางขึ้น และบริเวณที่พักศีรษะของเบาะที่นั่งที่อาจไม่สะดวกสบายนักสำหรับบางท่าน

พื้นที่ห้องโดยสารตอนหลังได้รับการปรับปรุงให้นั่งสบายยิ่งขึ้น ด้วยการเพิ่มความกว้างของพื้นที่หัวไหล่ 40 มม. และพื้นที่วางขาอีก 60 มม. อย่างไรก็ตาม สำหรับเบาะนั่งตอนหน้า จากการทดลองขับ พบว่าที่พักศีรษะและรูปทรงของเบาะอาจไม่เหมาะกับสรีระบางท่าน จนต้องถอดออก เนื่องจากมุมการรองรับที่ไม่รับกับศีรษะ

เบาะนั่งตอนหลังสามารถพับแบบ 60:40 ได้ในรุ่น SV และ SV+ โดยต้องดึงปุ่มพับเบาะที่บริเวณห้องโดยสารตอนหลัง

ปุ่ม Push Start อยู่ทางซ้ายของพวงมาลัย ส่วนปุ่ม ECON อยู่ทางขวา ใกล้กับปุ่มปิดระบบ TCS (Traction Control) ระบบปรับอากาศเป็นแบบอัตโนมัติ ซึ่งให้ความเย็นฉ่ำ ถูกใจสภาพอากาศร้อนของประเทศไทย พวงมาลัยแบบ 3 ก้าน วัสดุ Polyurethane รูปแบบใหม่ของ Honda สามารถปรับได้ 4 ทิศทาง พร้อมสวิตช์ Multifunction, Cruise Control, ปุ่มรับ-วางสายโทรศัพท์ และ Paddle Shift ขนาดเล็กที่ติดอยู่กับพวงมาลัย

แผงคอนโซลหน้าดีไซน์แบนราบ มาพร้อมหน้าจอสัมผัสขนาด 7 นิ้ว ถือเป็นหัวใจสำคัญของห้องโดยสาร Honda City 2014 สามารถทำหน้าที่เป็น Wi-Fi Hotspot และรองรับการเชื่อมต่อ Siri Eyes Free ซึ่งช่วยให้ไม่ต้องละสายตาจากสมาร์ทโฟน อีกทั้งยังสามารถเชื่อมต่อกับกล้องมองหลังเมื่อเข้าเกียร์ R ระบบเครื่องเสียงส่งผ่านเสียงจากลำโพง 8 จุด รองรับการเชื่อมต่อ Bluetooth เป็นมาตรฐาน มาพร้อมช่องเชื่อมต่อ USB, AUX in และ HDMI แต่จะไม่มี CD Slot และระบบนำทางมาให้ ทาง Honda แนะนำให้ใช้ Honda Link Application นอกจากนี้ยังเอาใจผู้ใช้สมาร์ทโฟนด้วยช่อง Power Outlet สำหรับผู้โดยสารตอนหลังถึง 2 ช่อง

ระบบการล็อกและปลดล็อกประตูอาจทำให้สับสนเล็กน้อย หากล็อกด้วยกุญแจ ต้องปลดล็อกด้วยกุญแจเช่นกัน แต่หากล็อกด้วยปุ่มที่มือจับประตู ก็เพียงแค่นำมือไปจับที่ประตู เซ็นเซอร์จะทำงานและปลดล็อกให้อัตโนมัติ

ขุมพลัง i-VTEC 1.5 ลิตร: ประสิทธิภาพที่สมดุลและประหยัด

ขุมพลังของ Honda City 2014 ยังคงใช้เครื่องยนต์บล็อกเดิมกับ Honda City โฉมเก่า นั่นคือเครื่องยนต์ 4 สูบ SOHC i-VTEC ขนาด 1,497 ซีซี แต่ได้รับการปรับจูนใหม่เพื่อให้ทำงานร่วมกับเกียร์ CVT ลูกใหม่ได้อย่างลงตัว และรองรับน้ำมัน E85

ให้กำลังสูงสุด 117 แรงม้า ที่ 6,000 รอบต่อนาที และแรงบิดสูงสุด 146 นิวตัน-เมตร ที่ 4,700 รอบต่อนาที สังเกตได้ว่าแรงม้าลดลงเล็กน้อย แต่กำลังเครื่องยนต์มาไวขึ้นถึง 600 รอบต่อนาที และแรงบิดเพิ่มขึ้น 1 นิวตัน-เมตร มาไวขึ้น 100 รอบต่อนาที

ตัวเลขอัตราสิ้นเปลืองน้ำมันที่เคลมไว้คือ 17.7 กม./ลิตร (น้ำมันเบนซิน) และอัตราการปล่อย CO2 อยู่ที่ 133 กรัม/กม.

หากขับขี่ในโหมด ECON กำลังเครื่องยนต์จะถูกปรับให้ตอบสนองช้าลง ทำงานสอดคล้องกับระบบ Eco Coaching ที่ช่วยแนะนำการขับขี่ให้ประหยัดพลังงาน ผ่านแถบสีบนมาตรวัด

แต่เมื่อทดลองขับโดยเน้นสมรรถนะ พบว่ากำลังเครื่องยนต์ยังคงดี ไม่เป็นรองรถยนต์ B-Car ในพิกัดเดียวกัน และเมื่อเทียบกับรุ่นเดิม ความดิบของการขับขี่ลดลงจากการใช้เกียร์ CVT แต่การตอบสนองจากแป้นคันเร่งมีความแม่นยำขึ้นเล็กน้อย แม้แรงม้าจะลดลง แต่ก็ไม่ได้ทำให้สมรรถนะในการออกตัวหรือเร่งแซงดูด้อยลงแต่อย่างใด

ตัวเลขอัตราเร่งและสมรรถนะ: ข้อมูลจากการทดสอบจริง

จากการทดสอบวัดอัตราเร่งผ่าน OBD Bluetooth ได้ผลดังนี้:

0-100 กม./ชม.: 12.054 วินาที (โหมด D), 11.731 วินาที (โหมด S)
¼ mile: 19.257 วินาที (โหมด D), 18.687 วินาที (โหมด S)
Top Speed: ประมาณ 197 กม./ชม. (คาดว่าหากมีระยะทางวิ่งยาวกว่านี้ อาจทำได้ถึง 200 กม./ชม.)

โดยรวมแล้ว สมรรถนะของเครื่องยนต์ได้รับการปรับจูนมาอย่างดีเยี่ยม ช่วงกำลังตีนต้นเป็นไปตามคาด แต่ช่วงปลายไหลต่อเนื่องเกินความคาดหมาย แม้แรงม้าจะลดลงเล็กน้อย แต่การปรับจูนเครื่องยนต์ให้เข้ากับเกียร์ใหม่ ทำให้รถดูลงตัวยิ่งขึ้น

อัตราสิ้นเปลือง: ตัวเลขที่น่าพอใจในการใช้งานจริง

จากมาตรวัดบนหน้าจอ การวิ่งเดินทางไกลเฉลี่ยที่ความเร็ว 100-110 กม./ชม. ได้ค่าเฉลี่ย 17.3 กม./ลิตร และหากวิ่งคงที่ที่ความเร็ว 100 กม./ชม. ด้วยการรักษาคันเร่งให้เนียนที่สุด ตัวเลขที่ได้สวยงามถึง 18.1 กม./ลิตร สำหรับการวิ่งใช้งานเฉลี่ยเกือบทั้งทริป ได้ประมาณ 16.1 กม./ลิตร

อย่างไรก็ตาม ในการใช้งานจริง คาดการณ์อัตราสิ้นเปลืองน่าจะอยู่ที่ประมาณ 14.5 กม./ลิตร ซึ่งเทียบกับน้ำมัน 1 ถัง สามารถวิ่งได้เกิน 600 กม. สบายๆ (หมายเหตุ: การทดสอบทั้งหมดใช้น้ำมัน E10 แก๊สโซฮอล์ 91)

ระบบส่งกำลัง CVT EarthDream: ความนุ่มนวลและการตอบสนองที่ฉับไว

จากเดิมที่ใช้เกียร์ Torque Converter 5 AT ในโฉมเก่า ถูกเปลี่ยนมาใช้เกียร์ CVT EarthDream ที่ปรับซอยอัตราทดได้ถึง 7 Speed ในโหมด S เกียร์ลูกใหม่นี้ทำงานร่วมกับเครื่องยนต์บล็อกเดิมที่ปรับจูนมาได้อย่างลงตัว การขับขี่ในตำแหน่งเกียร์ D สามารถใช้ Paddle Shift ที่พวงมาลัยเพื่อเปลี่ยนเกียร์ได้เลย ซึ่งมีอัตราทดเท่ากับโหมด S แต่หากขับไปสักพัก เกียร์จะกลับสู่โหมด D อัตโนมัติ ดูเหมือนจะเหมาะสำหรับการใช้ Engine Brake ในการลดความเร็วอย่างฉับพลันมากกว่า ซึ่งจะช่วยชะลอความเร็วได้ดีเยี่ยม

หากต้องการเร่งแซง แนะนำให้ใช้การกระแทกคันเร่งลงไปจนสุด จะดีกว่าการไล่เกียร์ด้วยตนเอง เพราะสำหรับเกียร์ CVT ลูกนี้ การลองสับเกียร์เองโดยลากรอบไปที่ Redline เพื่อสับเกียร์ที่ 6,000 รอบต่อนาที ซึ่งเป็นจุดที่ได้แรงม้าสูงสุด พบว่าการตอบสนองอัตราเร่งไม่ดีเท่ากับโหมดออโต้ หากต้องการความกระฉับกระเฉงฉับไวขึ้น เพียงโยกคันเกียร์มาที่ตำแหน่ง S และกระแทกคันเร่ง รถก็พร้อมพุ่งทะยานแซงรถคันหน้าได้อย่างไม่ยากเย็นนัก

ความสัมพันธ์ความเร็วต่อรอบเครื่องยนต์:

80 กม./ชม. = 1,500 รอบ/นาที
100 กม./ชม. = 1,900 รอบ/นาที
120 กม./ชม. = 2,250 รอบ/นาที

ระบบบังคับเลี้ยว: พวงมาลัยไฟฟ้า EPS ที่ให้สัมผัสที่ดีขึ้น

ระบบบังคับเลี้ยวเป็นแบบแร็คแอนด์พีเนียน ผ่อนแรงด้วยไฟฟ้า EPS แบบ 3 ก้าน Polyurethane ให้รัศมีวงเลี้ยว 5.3 เมตร การสาวพวงมาลัยสัมผัสได้ถึงระบบมอเตอร์ช่วยผ่อนแรงทำงาน แต่ไม่เบาหวิวคล่องตัวจนไร้น้ำหนักเหมือน Jazz และ City โมเดลเก่า ในช่วงความเร็วต่ำ ผู้เขียนรู้สึกชอบมากกว่ารุ่นเดิม เพราะให้ฟิลลิ่งในการขับขี่ที่ดีกว่า ไม่ไวจนเกินไปนัก แต่ที่ความเร็วสูง น้ำหนักยังดูเบาไปอยู่หน่อย และไม่หนักแน่นในโค้งเท่ารุ่นเดิม การตอบสนองของพวงมาลัยดูแม่นยำกว่าเดิม และให้ความรู้สึกในการรับรู้ที่ดีกว่า แต่โมเดลเดิมจะมีความหนักแน่นที่ความเร็วสูงและการเข้าโค้งที่ดีกว่าเล็กน้อย

ระบบกันสะเทือน: ความนุ่มนวลที่ลงตัวสำหรับการเดินทาง

ระบบกันสะเทือน ด้านหน้าเป็นแบบแม็กเฟอร์สันสตรัท และด้านหลังแบบทอร์ชั่นบีม เมื่อเทียบกับรุ่นโมเดลเก่า พบว่ามีความนุ่มขึ้นเล็กน้อย และการขับขี่ที่ความเร็วสูงก็ดูไม่เลวร้ายนัก อาจมีอาการหวิวๆ ให้เห็นในช่วงความเร็ว 170 กม./ชม. ขึ้นไป แต่ในการใช้งานที่ความเร็วเดินทางปกติ ระดับ 120 กม./ชม. ถือว่าทำได้ดีพอตัว

อย่างไรก็ตาม พบว่าหากขับขี่ในทางโค้ง หรือเลี้ยวกลับรถ โดยกดคันเร่งลงไปครึ่งหนึ่งของแป้น รถจะส่าย มีอาการ Slip ของหน้ายางที่ดูไม่ค่อยเกาะถนนนัก และที่ความเร็วสูงในการเข้าโค้ง ช่วงล่างยังดูอาจจะไม่เกาะถนนเท่าที่ควร ซึ่งส่วนหนึ่งมาจากหน้ายาง หากเข้าโค้งด้วยความเร็วสูงเกินไป จะมีเสียงยางกรีดร้องดังออกมาต่อเนื่อง ทั้งที่ไม่ได้กระแทกคันเร่ง

ระบบเบรก: ประสิทธิภาพที่เชื่อถือได้

ระบบเบรก ด้านหน้าเป็นแบบดิสก์พร้อมครีบระบายความร้อน และด้านหลังเป็นแบบดรัม แม้แต่ในรุ่น Top SV คันนี้ การปรับลดสเปกนี้ไม่ได้ทำให้สมรรถนะในการหยุดรถแย่ลงแต่อย่างใด ในเชิงความรู้สึกในการขับขี่ กลับรู้สึกว่าเบรกถูกเซ็ตมาดีกว่าเดิมด้วยซ้ำ ไม่พบอาการเบรกแบบทื่อๆ ด้านๆ ที่มักพบใน Jazz และ City โมเดลเก่า ไม่ต้องลงน้ำหนักแป้นเยอะเพื่อให้รู้สึกถึงแรงเบรกที่เกิดขึ้นเพื่อหน่วงหยุดรถได้ และทำให้การเบรกสามารถทำได้อย่างนุ่มนวลกว่าตัวเก่าด้วย

ระบบความปลอดภัย: ครบครันตั้งแต่รุ่นเริ่มต้น

สำหรับระบบความปลอดภัยของ Honda City 2014 ถือเป็นอีกหนึ่งจุดขายสำคัญ ที่ให้ระบบช่วยเหลือด้านความปลอดภัยมาครบครันตั้งแต่รุ่นล่างสุด ทั้ง ABS, EBD, BA, TCS (ระบบป้องกันล้อลื่นไถล), VSA (ระบบควบคุมเสถียรภาพการทรงตัว), HSA (ระบบช่วยออกตัวบนทางลาดชัน), ESS (ไฟฉุกเฉินติดอัตโนมัติเมื่อเบรกกะทันหัน) สำหรับในรุ่น SV+ จะเพิ่ม Side Curtain Airbag มาให้อีกด้วย

บทสรุป Honda City 2014: ความคุ้มค่าที่เหนือกว่าในตลาด B-Segment

Honda City 2014 เป็นรถยนต์ B-Segment หรือ Sub-Compact ที่อัดแน่นด้วยระบบช่วยเหลือด้านความปลอดภัยมาให้ตั้งแต่รุ่นล่างสุด ในแบบที่หาได้ยากในค่ายอื่น พร้อมด้วยห้องโดยสารที่กว้างขวางกว่าคู่แข่ง สมรรถนะที่ดีขึ้นเล็กน้อย และประหยัดกว่าเดิมอีกหน่อย กับออปชันและฟังก์ชันต่างๆ ที่ให้มามากมาย แม้ราคาท็อปไลน์อาจดูสูงกว่าคู่แข่ง แต่สิ่งที่ได้รับกลับมานั้นคุ้มค่ากว่า นั่งสบายกว่า และรูปลักษณ์ที่ดูดีขึ้น ให้ความรู้สึกหรูหราเกินกว่ารถ Sub-Compact ทั่วไป

หากคุณกำลังมองหารถ Sub-Compact ที่มีสมรรถนะกลางๆ การโดยสารที่ค่อนไปทางสบาย และชื่นชอบในเทคโนโลยี ทั้งการเชื่อมต่อและออปชันความปลอดภัย การเลือกรุ่น SV+ ก็ถือเป็นตัวเลือกที่ยอดเยี่ยม แต่ต้องยอมรับว่าด้วยราคานี้ อาจทำให้บางท่านมองว่าเพิ่มเงินอีกนิดสามารถขยับไปเล่นรถระดับ C-Car ได้ การตัดสินใจสุดท้ายจึงขึ้นอยู่กับความต้องการและงบประมาณของแต่ละบุคคล

ทางที่ดีที่สุดคือ การไปทดลองขับที่โชว์รูม Honda เพื่อสัมผัสประสบการณ์จริง ว่าคุณจะติดใจกับสิ่งที่ Honda City 2014 มอบให้หรือไม่ หรืออาจเพียงหลงใหลไปกับเสียงเพลงโฆษณา “Be Your Best”

การเดินทางสู่ความสมบูรณ์แบบ: การยกระดับของ Hyundai และ Honda ในตลาดรถยนต์

ในช่วงเวลาที่ตลาดรถยนต์มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว การที่แบรนด์อย่าง Hyundai และ Honda ยังคงสามารถนำเสนอผลิตภัณฑ์ที่น่าสนใจและตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคได้อย่างต่อเนื่อง ถือเป็นเครื่องยืนยันถึงความมุ่งมั่นในการพัฒนาอย่างไม่หยุดยั้ง Hyundai i10 ใหม่ แสดงให้เห็นถึงวิสัยทัศน์ในการยกระดับรถยนต์ขนาดเล็กให้มีความครบครันและคุ้มค่ามากขึ้น ในขณะที่ Honda City 2014 พิสูจน์แล้วว่ารถยนต์ B-Segment ยังคงเป็นหัวใจสำคัญของตลาด ด้วยการนำเสนอเทคโนโลยี สมรรถนะ และความปลอดภัยที่เหนือกว่าคู่แข่ง

สำหรับผู้ที่กำลังมองหารถยนต์ซิตี้คาร์ที่ให้ความคุ้มค่าในการใช้งานจริง หรือรถยนต์สำหรับครอบครัวขนาดเล็กที่เปี่ยมด้วยเทคโนโลยีและความปลอดภัย Honda City 2014 ถือเป็นตัวเลือกที่น่าจับตามองอย่างยิ่ง ในขณะที่ Hyundai i10 ก็เป็นอีกทางเลือกที่น่าสนใจสำหรับตลาดในต่างประเทศ ซึ่งแสดงให้เห็นถึงการเติบโตและการพัฒนาของแบรนด์ Hyundai อย่างไม่หยุดยั้ง

หากคุณกำลังพิจารณาการเปลี่ยนรถ หรือกำลังมองหารถยนต์คันใหม่ อย่าพลาดที่จะทดลองขับ Honda City 2014 ณ โชว์รูม Honda ใกล้บ้านคุณ เพื่อสัมผัสประสบการณ์การขับขี่ที่ลงตัวและเต็มเปี่ยมไปด้วยเทคโนโลยี หรือหากคุณอยู่ในตลาดที่ Hyundai i10 ใหม่ วางจำหน่าย การได้สัมผัสยนตรกรรมคันนี้ อาจเปิดมุมมองใหม่เกี่ยวกับรถยนต์ซิตี้คาร์ที่เปี่ยมด้วยคุณภาพและคุณค่าได้อย่างแท้จริง.

Previous Post

N0401079 สาเหต องถอดทองก อนไปบ านญาต part2

Next Post

N0401064 ผลล พธ ของผ ชายเห นแก part2

Next Post
N0401064 ผลล พธ ของผ ชายเห นแก part2

N0401064 ผลล พธ ของผ ชายเห นแก part2

Leave a Reply Cancel reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *

Recent Posts

  • N0401061 บนเส นทางร ไม ได แต ดอกไม part2
  • N0401063 อลหม านล กหลาน GenZ part2
  • N0401059 เม อต องพาแฟนไปบ าน แต อายเพราะบ านจน part2
  • N0401057 งครอบคร วไว างหล หว งแต ความส ขต วเอง part2
  • N0401060 ปสรรคความร กบางท มาในร ปแบบของงานบ าน! part2

Recent Comments

No comments to show.

Archives

  • December 2025
  • November 2025
  • October 2025
  • September 2025
  • August 2025

Categories

  • Uncategorized

© 2025 JNews - Premium WordPress news & magazine theme by Jegtheme.

No Result
View All Result

© 2025 JNews - Premium WordPress news & magazine theme by Jegtheme.