ฟอร์ด เอเวอเรสต์: ปรับสมดุลความหรูหรา เทคโนโลยี และสมรรถนะในยุคใหม่
ในฐานะผู้คร่ำหวอดในวงการยานยนต์มากว่าทศวรรษ ผมได้เห็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของตลาดรถยนต์ SUV/PPV ในประเทศไทยมาอย่างต่อเนื่อง การเปิดตัว Ford Everest ในเจนเนอเรชั่นล่าสุด เป็นหนึ่งในหมุดหมายสำคัญที่สะท้อนถึงวิสัยทัศน์อันก้าวไกลของ Ford ในการนิยามนิยามใหม่ของรถอเนกประสงค์ที่เหนือกว่าคำว่า “รถกระบะดัดแปลง” ไปสู่ความหรูหรา เทคโนโลยีล้ำสมัย และสมรรถนะที่ตอบโจทย์การใช้งานที่หลากหลายได้อย่างลงตัว
การประเมินสมรรถนะ: ความซับซ้อนที่ซ่อนอยู่เบื้องหลังตัวเลข
เมื่อพิจารณาตัวเลขสมรรถนะที่ปรากฏ เราอาจเกิดความสงสัยว่าเหตุใด Ford Everest รุ่นเครื่องยนต์ 3.2 ลิตร 4×4 เกียร์อัตโนมัติ 6 จังหวะ จึงดูเหมือนจะพ่ายแพ้ให้กับคู่แข่งอย่าง Mitsubishi Pajero Sport ที่ใช้ขุมพลังขนาดเล็กกว่าได้อย่างไร คำตอบนั้นซ่อนอยู่ในรายละเอียดที่มากกว่าตัวเลขดิบๆ
ประการแรก คือ “น้ำหนักตัว” รุ่น 3.2 ลิตร 4×4 นั้น มีน้ำหนักรวมสูงถึง 2,480 กิโลกรัม หรือเกือบ 2.5 ตัน ซึ่งถือเป็นน้ำหนักที่มากเมื่อเทียบกับคู่แข่ง ล้ออัลลอยขนาด 20 นิ้ว ที่หลายคนชื่นชอบในความสวยงาม ก็มีส่วนเพิ่มน้ำหนักให้กับรถคันนี้โดยไม่จำเป็น
ในทางกลับกัน รุ่น 2.2 ลิตร 4×2 ทำผลงานได้ตามคาด แม้ตัวเลขอาจดูไม่หวือหวา หากมองเผินๆ หลายคนอาจมองว่า “อืด” ซึ่งตามมาตรฐานของ Headlightmag.com ในปี 2015 นั้น Everest 2.2 ลิตร ค่อนข้างจะใกล้เคียงคำว่า “อืด” จริง แต่ต้องเข้าใจถึงบุคลิกของขุมพลังตระกูล Puma เวอร์ชันใหม่ ที่มีลักษณะเด่นคล้ายกันในทั้งสองรุ่นเครื่องยนต์
ช่วงออกตัว 0-30 กม./ชม. (เกียร์ 1) และต่อเนื่องไปจนถึง 60 กม./ชม. (เกียร์ 2) รถจะทะยานออกไปอย่างน่าประทับใจ ให้สัมผัสของความกระปรี้กระเปร่า แต่เมื่อความเร็วแตะระดับ 70 กม./ชม. ราวกับลิ้นปีกผีเสื้อไฟฟ้าถูกสั่งให้หรี่ลงเล็กน้อย ทำให้จังหวะต่อเนื่องขาดตอนไป หากการตอบสนองเป็นไปอย่างต่อเนื่อง ตัวเลข 0-100 กม./ชม. ควรจะดีกว่านี้อย่างแน่นอน โดยรุ่น 3.2 ลิตร 4×4 ควรทำได้ราว 11.6-11.7 วินาที และรุ่น 2.2 ลิตร 4×2 ควรอยู่ที่ประมาณ 12 วินาทีปลายๆ ใกล้เคียงกับ Ford Ranger 2.2 ลิตร รุ่นก่อนหน้า
การไต่ระดับความเร็ว: ความต่อเนื่องที่ต้องพิจารณา
เมื่อพิจารณาถึงการไต่ความเร็วสูงสุด รุ่น 3.2 ลิตร 4×4 สามารถทำได้ต่อเนื่องจนถึงช่วง 140-150 กม./ชม. ก่อนจะชะลอตัวลง และมักจะหยุดอยู่ที่ประมาณ 160 กม./ชม. หากต้องการไปให้เร็วกว่านั้น อาจต้องอาศัยทางลงเนินช่วยเสริม ก่อนจะไปตันที่ 185 กม./ชม.
สำหรับรุ่น 2.2 ลิตร 4×2 การไต่ความเร็วเป็นไปอย่างเนิบนาบ แต่ต่อเนื่อง จนถึง 160 กม./ชม. การจะไปให้ถึง Top Speed ที่ 181 กม./ชม. นั้น ต้องใช้เวลาและการกดคันเร่งแช่เป็นเวลานาน การใช้ทางลงเนินช่วยจึงเป็นสิ่งจำเป็น และการได้เห็นตัวเลขนี้จริงๆ นั้น ลุ้นกันจนแทบใจหาย!
ขอย้ำเตือนเสมอว่า การทดสอบความเร็วสูงสุดนี้ เพื่อวัตถุประสงค์ทางการศึกษาและให้ข้อมูลเท่านั้น ไม่สนับสนุนให้ผู้ใดกระทำการเลียนแบบ เพราะผิดกฎหมายจราจร และอาจก่อให้เกิดอันตรายถึงชีวิตได้
สัมผัสการขับขี่จริง: “แรงสมตัว” กับความรู้สึกที่ละเอียดอ่อน
โดยรวมแล้ว ขุมพลังทั้ง 3.2 ลิตร และ 2.2 ลิตร ของ Everest ให้สัมผัสที่ “แรงสมตัว” ไม่ได้เกินความคาดหมายมากนัก แม้รุ่น 3.2 ลิตร จะมีกำลังถึง 200 แรงม้า แต่เมื่อต้องแบกน้ำหนักกว่า 2 ตัน ทำให้สมรรถนะโดยรวมอาจยังไม่เทียบเท่า Chevrolet Trailblazer หรือ Mitsubishi Pajero Sport ใหม่เสียทีเดียว แต่ก็ถือว่าทำได้ดีในพิกัดน้ำหนักตัวนี้ กำลังที่เพิ่มขึ้น 20 แรงม้า ถูกนำไปใช้ในการชดเชยน้ำหนักที่มากกว่าชาวบ้านเขา
อย่างไรก็ตาม มีบางจังหวะที่น่าสังเกต เมื่อเหยียบคันเร่งจนสุดเพื่อเร่งแซง แล้วถอนคันเร่งฉับพลัน ลิ้นปีกผีเสื้อไฟฟ้าอาจมีการหน่วงเวลาการปิดทำงานเล็กน้อย ทำให้รถมีอาการ “กระโจน” ไปข้างหน้าเล็กน้อย คล้ายกับรถยนต์ที่ใช้เกียร์ CVT
ส่วนรุ่น 2.2 ลิตร 4×2 อัตราเร่งในการใช้งานจริงในเมือง ไม่ได้อืดอาดอย่างที่ตัวเลขบอก มอเตอร์ไซค์บางคันอาจต้องเร่งเครื่องยนต์มากกว่าปกติเพื่อจะแซงขึ้นมาได้ การใช้งานในเขตเมืองจึงถือว่าตอบสนองได้ดีเกินคาด
เคล็ดลับการขับขี่: การทำความเข้าใจจังหวะและการตอบสนอง
สำหรับผู้ที่ต้องการขับขี่ Everest 2.2 ลิตร 4×2 ให้คล่องตัวมากขึ้น โดยเฉพาะเมื่อต้องเปลี่ยนเลนอย่างเร่งด่วน หรือในสถานการณ์ฉุกเฉิน มีข้อแนะนำคือ ให้กดคันเร่งลึกกว่าครึ่งหนึ่ง สมองกลจะเรียนรู้ว่าคุณกำลัง “รีบ” และจะประมวลผลการจ่ายเชื้อเพลิงให้เร็วขึ้น ส่งผลให้อัตราเร่งต่อเนื่องดีเกินคาด
การเก็บเสียง: มาตรฐานใหม่แห่งความเงียบสงัด
การเก็บเสียงในห้องโดยสารของ Everest นั้น ทำได้ดีเยี่ยม ถือเป็นหนึ่งในจุดเด่นที่โดดเด่นที่สุดในกลุ่ม SUV/PPV เสียงลมภายนอกจะเริ่มเล็ดลอดเข้ามาให้ได้ยินเพียงแผ่วเบาในระดับความเร็ว 140 กม./ชม. ซึ่งเป็นผลมาจากการใช้วัสดุซับเสียงคุณภาพสูง และการนำเทคโนโลยี Active Noise Cancellation มาใช้
หลักการทำงานของ ANC คือ ไมโครโฟน 3 จุด (ด้านหน้า 2, ด้านหลัง 1) จะรับเสียงรอบตัวรถ ส่งข้อมูลไปยังกล่องควบคุม และปล่อยคลื่นเสียงความถี่ที่เหมาะสม เพื่อหักล้างเสียงรบกวนผ่านลำโพงชุดเครื่องเสียง
แม้ห้องโดยสารจะเงียบสงัด แต่ก็มีข้อสังเกตเล็กน้อย หากตั้งใจฟัง เสียงพูดของคุณอาจมีอาการ “ก้อง” เล็กน้อย เหมือนอยู่ในห้องอัดเสียงที่ใช้วัสดุซับเสียงเพียงบางเบา และอาจส่งผลให้ผู้โดยสารบางรายมีอาการ “หูอื้อ” เล็กน้อย คล้ายกับอาการหูอื้อของเครื่องบินขณะขึ้นสู่ท้องฟ้า แต่ไม่รุนแรง
ข้อแนะนำ: ก่อนตัดสินใจซื้อ ควรพาสมาชิกในครอบครัวทดลองนั่งและขับขี่ เพื่อทดสอบว่าอาการดังกล่าวมีผลกระทบต่อการรับรู้หรือไม่ หากไม่มีปัญหา ก็สามารถเลือก Everest ได้อย่างสบายใจ
ระบบบังคับเลี้ยว: ก้าวข้ามสู่ยุค EPAS
ระบบบังคับเลี้ยว คืออีกหนึ่งการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญ Ford เป็นผู้ผลิตรายแรกที่นำพวงมาลัยแบบแร็คแอนด์พิเนียน พร้อมเพาเวอร์ผ่อนแรงแบบไฟฟ้า EPAS (Electronics Power Assist Steering Wheel) มาใช้กับรถ SUV/PPV ในตลาดโลก เหตุผลหลักคือการรองรับระบบช่วยจอด Parking Assist ซึ่งจำเป็นต้องทำงานร่วมกับระบบไฟฟ้า
น้ำหนักพวงมาลัย: ความแตกต่างที่สัมผัสได้
ในช่วงความเร็วต่ำ พวงมาลัยรุ่น 3.2 ลิตร จะมีน้ำหนักเบา แต่ยังมีความรู้สึกของแรงต้านมืออยู่เล็กน้อย อยู่ในระดับที่ใกล้เคียงกับ BMW X5 รุ่นล่าสุด (ปี 2016)
สำหรับรุ่น 2.2 ลิตร 4×2 พวงมาลัยจะเบามาก จนสามารถใช้นิ้วชี้หมุนได้เลย ซึ่งเบากว่ารุ่น 3.2 ลิตร ประมาณ 5-10% ความเบานี้ อาจทำให้หลายคนเปรียบเทียบกับพวงมาลัยของ Toyota Corolla Altis
เมื่อใช้ความเร็วสูงขึ้น พวงมาลัยของทั้งสองรุ่นจะมีความหนืดขึ้นจริง แต่ค่อนข้างน้อยในรุ่น 3.2 ลิตร และน้อยมากในรุ่น 2.2 ลิตร ข้อดีคือ วิศวกรของ Ford ได้เซ็ตระยะฟรีของพวงมาลัย และ On-centre feeling ได้อย่างดีเยี่ยม การบังคับเลี้ยวทำได้แม่นยำ และมีความต่อเนื่อง (Linear) ในจังหวะการหมุน ทำให้ยังคงความมั่นใจในการขับขี่ด้วยความเร็วสูงได้โดยไม่ต้องเกร็งมากนัก
การปรับตั้งที่เหมาะสม: รุ่น 3.2 ลิตร เหนือกว่าเล็กน้อย
พวงมาลัยไฟฟ้าของรุ่น 3.2 ลิตร 4×4 ถูกปรับตั้งมาได้อย่างเหมาะสม ในขณะที่รุ่น 2.2 ลิตร 4×2 มีน้ำหนักเบาเกินไปเล็กน้อย การเพิ่มความหนืดขึ้นอีกสักหน่อย ทั้งในช่วงความเร็วต่ำและสูง จะช่วยเพิ่มความมั่นใจในการขับขี่ได้มากยิ่งขึ้น
รัศมีวงเลี้ยว: สิ่งที่ต้องพิจารณา
รัศมีวงเลี้ยว 5.85 เมตร ถือว่าค่อนข้างกว้างสำหรับการเลี้ยวกลับรถในถนน 4 เลน เช่นในซอยลาซาล หากต้องการเลี้ยวครั้งเดียวผ่าน คุณอาจต้องเผื่อวงเลี้ยว และอาจต้องกินเลนฝั่งซ้ายไปอีกครึ่งเลนเพื่อความปลอดภัย
ระบบช่วงล่าง: การผสมผสานระหว่างความมั่นคงและความนุ่มนวล
ระบบกันสะเทือนด้านหน้าเป็นแบบอิสระปีกนกคู่ (Double Wishbone) พร้อมคอยล์สปริง และเหล็กกันโคลง ส่วนด้านหลังเป็นแบบคอยล์สปริงพร้อม Watt’s Link และเหล็กกันโคลง
ช่วงล่างรุ่น 3.2 ลิตร: หนักแน่น มั่นคง
ในช่วงความเร็วต่ำ ช่วงล่างรุ่น 3.2 ลิตร ที่เซ็ตมาในแนวหนักแน่น จะส่งแรงสะเทือนจากพื้นผิวขึ้นมาให้สัมผัสได้ชัดเจน แต่ก็ไม่ถึงกับสะเทือนจนเกินไป แม้จะใช้ล้อ 20 นิ้ว ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากน้ำหนักตัวที่มาก ซึ่งช่วยกดแรงสะเทือนให้อาการดีดเด้งน้อยลง
เมื่อใช้ความเร็วเดินทาง หรือความเร็วสูง รุ่น 3.2 ลิตร ยิ่งแสดงศักยภาพออกมาได้อย่างเต็มที่ ช่วงล่างยังคงนิ่ง หนักแน่น มั่นคง และยึดเกาะถนนได้ดีที่สุดในกลุ่ม อาการช่วงล่างด้านหลังดีดเด้งน้อยมาก
ช่วงล่างรุ่น 2.2 ลิตร: หนึบแน่น แต่ยังคงสัมผัสพื้นผิว
ส่วนช่วงล่างของรุ่น 2.2 ลิตร 4×2 จัดว่า “แน่น หนึบ” แต่ยังคงมีการสะเทือนจากฝาท่อ หรือรอยต่อถนน และพื้นผิวขรุขระ ให้รับรู้ได้บ้าง ยังไม่สามารถซับแรงสะเทือนได้เนียนเท่า Pajero Sport แต่ก็น้อยกว่ารุ่น 3.2 ลิตร
ทดสอบการเข้าโค้ง: ความมั่นใจที่เหนือกว่า
จากการทดสอบเข้าโค้งต่างๆ ด้วยความเร็วสูง Everest สามารถทำได้อย่างมั่นใจ ตัวอย่างเช่น:
โค้งขวารูปเคียว บนทางด่วนช่วงมักกะสัน ทำได้ 95 กม./ชม.
โค้งซ้าย เชื่อมต่อทางด่วนขั้นที่ 1 ตรงข้ามโรงแรม Eastin ทำได้ 90 กม./ชม.
โค้งขวารูปเคียว ยกระดับ ทางเข้าสนามบินสุวรรณภูมิ ทำได้ 95 กม./ชม. (หน้าเริ่มไถลเล็กน้อยจากยาง แต่ช่วงล่างยังนิ่ง)
ทางโค้งเชื่อมจากทางด่วนขั้นที่ 1 ไป บูรพาวิถี: โค้งขวาแรก 90 กม./ชม., โค้งซ้ายยาว 100 กม./ชม., โค้งขวายกระดับ 110 กม./ชม.
โค้งยกระดับขวา จากสนามบินสุวรรณภูมิ ลงสู่ถนนบางนา-ตราด ทำได้ 100 กม./ชม. (ต้องเพิ่มการเลี้ยวพวงมาลัยเล็กน้อยในโค้ง)
การเปรียบเทียบกับคู่แข่ง:
Pajero Sport: นุ่มนวลกว่าในการขับขี่ในเมือง หรือรูดผ่านพื้นผิวขรุขระ
MU-X: นุ่มนวล แต่ช่วงล่างหลังยังแอบดีดเด้ง
Trailblazer: หนึบกว่า MU-X เล็กน้อย
Fortuner: ช่วงล่างแข็งสะเทือนที่สุดในกลุ่ม
สรุปช่วงล่าง: ช่วงล่างของ Everest 3.2 ลิตร ถือว่าเซ็ตได้ดีที่สุดในกลุ่ม SUV/PPV ที่ประกอบในประเทศไทย
ข้อสังเกตสำหรับรุ่น 2.2 ลิตร: รุ่น 2.2 ลิตร Titanium 4×2 พร้อมล้อ 18 นิ้ว น้ำหนักตัวที่เบากว่า อาจส่งผลให้มีอาการโยนตัวเวลาจัมพ์ลงคอสะพาน หรืออาการดีดเด้งเพิ่มขึ้นเล็กน้อยเมื่อเทียบกับรุ่น 3.2 ลิตร
ระบบห้ามล้อ: ครบครัน ปลอดภัย
ระบบเบรกเป็นดิสก์เบรกทั้ง 4 ล้อ โดยจานเบรกคู่หน้ามีครีบระบายความร้อน เสริมด้วยระบบช่วยเหลือด้านความปลอดภัยมาตรฐาน ABS, EBD, Brake Assist ซึ่งรวมอยู่ใน ESP และ Traction Control
ระบบช่วยเหลือการขับขี่ล้ำสมัย:
Roll Over Mitigation: ลดความเสี่ยงจากการพลิกคว่ำ
Hill Descent Control (HDC): มีเฉพาะรุ่น 3.2 ลิตร 4×4
Hill Launch Assist (HLA): ช่วยออกตัวบนทางลาดชัน
Trailer Sway Control (TSC): ควบคุมการทรงตัวขณะลากจูง
สัมผัสแป้นเบรก: นุ่มนวล แต่ต้องใช้เวลาปรับตัว
แป้นเบรกมีระยะเหยียบยาวและลึก การตอบสนองค่อนข้างนุ่มนวล ให้ความรู้สึกคล้ายกับเบรกของ Mercedes-Benz ในบางรุ่น
ในช่วงแรกที่เหยียบ อาจไม่รู้สึกถึงการหน่วงความเร็วทันที ต้องเหยียบลึกประมาณ 25-30% จึงจะเริ่มสัมผัสถึงการชะลอรถ ซึ่งอาจต้องใช้เวลาในการปรับตัว
ประสิทธิภาพการเบรกโดยรวม: สามารถเบรกได้อย่างนุ่มนวลในสภาพการจราจรติดขัด และมั่นใจได้ในการชะลอความเร็วจากย่านความเร็วสูง โดยไม่ปรากฏอาการ Fade นับเป็นระบบเบรกที่ดีอันดับต้นๆ ในกลุ่ม SUV/PPV
ข้อเสนอแนะ: การปรับปรุงการตอบสนองของแป้นเบรกให้ Linear มากขึ้นตั้งแต่เริ่มแตะ จะช่วยเพิ่มความมั่นใจให้กับผู้ขับขี่ได้มากยิ่งขึ้น
ความปลอดภัยเชิงป้องกัน: เทคโนโลยีสุดล้ำ
สำหรับรุ่น Titanium+ (ทั้ง 2.2 ลิตร และ 3.2 ลิตร) Ford ได้ติดตั้งอุปกรณ์ Hi-Tech ด้านความปลอดภัยเชิงป้องกัน (Active Safety) อย่างเต็มพิกัด:
Adaptive Cruise Control (ACC): ระบบควบคุมความเร็วแปรผัน ที่สามารถรักษาระยะห่างจากรถคันหน้าอัตโนมัติ หากรถคันหน้าชะลอตัว ระบบจะลดความเร็วลงตาม หากรถคันหน้าเร่งความเร็ว ระบบจะกลับมาใช้ความเร็วที่ตั้งไว้ หากรถคันหน้าเบรก ระบบจะเตือนด้วยสัญญาณไฟกระพริบ และจะแจ้งเตือนให้ผู้ขับขี่ทราบล่วงหน้าเพื่อเตรียมเหยียบเบรก
Collision Mitigation System (CMS): แม้ไม่ได้เปิด ACC ระบบจะเตือนเมื่อเข้าใกล้รถคันหน้ามากเกินไป เพื่อให้ผู้ขับขี่เหยียบเบรก
Lane Departure Warning (LDW) & Lane Keeping Aid (LKA): ระบบเตือนเมื่อรถออกนอกเลน และระบบช่วยควบคุมพวงมาลัยให้อยู่ในเลน หากผู้ขับขี่มีอาการเหนื่อยล้า ระบบจะแจ้งเตือนพร้อมแนะนำให้พักผ่อน
BLIS (Blind Spot Information System): ระบบเตือนเมื่อมีรถอยู่ในจุดอับสายตา (ยกชุดมาจาก Volvo) แจ้งเตือนด้วยไฟที่กระจกมองข้าง
Active Parking Assist (APA): ระบบช่วยจอดอัตโนมัติ (ทั้งแบบขนานและเข้าซอง) ซึ่งเป็นเหตุผลสำคัญที่ทำให้ Everest เปลี่ยนมาใช้พวงมาลัย EPAS
Cross Traffic Alert (CTA): ระบบเตือนเมื่อมีรถแล่นตัดผ่านด้านหลังขณะถอยออกจากช่องจอด (ทำงานเมื่อเข้าเกียร์ R)
ความปลอดภัยเชิงรับ: มาตรฐานสูงสุด
นอกเหนือจากระบบ Active Safety แล้ว Everest ยังมาพร้อมกับระบบ Passive Safety ที่ครบครัน:
ถุงลมนิรภัย: คู่หน้า, ด้านข้าง, ม่านนิรภัย รวม 6 ใบ (รุ่น 3.2 Titanium+ เพิ่มถุงลมนิรภัยหัวเข่าคนขับ เป็น 7 ใบ)
เข็มขัดนิรภัย: ELR 3 จุด 7 ที่นั่ง
ISOFIX: สำหรับติดตั้งเบาะนิรภัยเด็ก
ESS (Emergency Stop Signal): ไฟฉุกเฉินอัตโนมัติเมื่อเบรกกะทันหัน
มาตรฐานความปลอดภัยระดับโลก:
Everest ผ่านมาตรฐานการทดสอบความปลอดภัยระดับ 5 ดาวจาก ANCAP (Australia) และได้คะแนนสูงสุดในการทดสอบ ASEAN NCAP
อัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิง: ความท้าทายของรถขนาดใหญ่
การถามหาความประหยัดน้ำมันจาก SUV/PPV ที่มีน้ำหนักเกือบ 2 ตันนั้น เป็นเรื่องที่ต้องทำความเข้าใจว่า รถยนต์ขนาดเล็กไม่สามารถเทียบเคียงได้ โดยทั่วไปแล้ว ตัวเลข 10-14.5 กม./ลิตร ถือว่าน่าพอใจแล้ว
ผลการทดสอบ:
Ford Everest 3.2 ลิตร 4×4: 92.1 กม. / 8.25 ลิตร = 11.16 กม./ลิตร
Ford Everest 2.2 ลิตร 4×2: 92.8 กม. / 7.37 ลิตร = 12.59 กม./ลิตร
ตัวเลขของรุ่น 2.2 ลิตร 4×2 น่าประหลาดใจที่ใกล้เคียงกับ Ford Ranger 4 ประตู 4×2 รุ่นก่อนหน้านี้
ระยะทางต่อการเติมน้ำมัน 1 ถัง:
2.2 ลิตร 4×2: ประมาณ 700 กม. (จากการใช้งานจริง)
3.2 ลิตร 4×4: ประมาณ 520 กม. (สำหรับการขับขี่ปกติ) หรือไม่เกิน 450 กม. (จากการทดสอบที่ค่อนข้างกินจุ)
ปัญหาประจำรุ่น: สิ่งที่ควรทราบ
ตลอดระยะเวลาที่ Everest ออกสู่ตลาด มีรายงานปัญหา Defect บางประการที่ควรทราบ:
ปัญหาไฟไหม้ที่ Australia: เกิดจากการประกอบขั้วแบตเตอรี่ไม่แน่น (ได้รับการแก้ไขแล้ว)
แป้นคันเร่งสะเทือน: อาจเกิดขึ้นหลัง 5,000 กม. แก้ไขด้วยการอัปเกรด Firmware
ระบบไฟฟ้าขัดข้อง: แสดงสัญญาณเตือนผิดปกติ แก้ไขด้วยการรีสตาร์ท หรือนำเข้าศูนย์บริการ
เสียงกระพือหลังคา Panoramic Sunroof: เกิดขึ้นในล็อตแรกๆ (ได้รับการแก้ไขแล้ว)
สติกเกอร์เพลาขับหลัง: เกิดจากการลืมดึงสติกเกอร์ออก (แก้ไขง่ายด้วยการลอกออก)
EGR: อาจมีไฟเตือน ต้องทำความสะอาด
CKP Sensor: เป็นสาเหตุรอบเครื่องสวิง/ดับ (รุ่นผลิตก่อน เม.ย. 2016 เปลี่ยนอะไหล่ได้)
ซีลเดือยหมู/เฟืองท้าย: อาจมีคราบเล็กน้อย (ให้ช่างตรวจสอบ)
ช่องเสียบปลั๊กไฟ 220V: อาจมีปัญหาฟิวส์ขาด/กลิ่นไหม้
จอมอนิเตอร์ค้าง: ให้ระบบ Reboot เอง หรือติดต่อศูนย์บริการ
สรุป: Ford Everest – “Poorman’s Range Rover” ที่เหนือกว่ามาตรฐานเดิม
Ford Everest ไม่ใช่แค่ SUV/PPV ทั่วไป แต่คือการสร้างมาตรฐานใหม่ให้กับตลาดรถยนต์ประเภทนี้ในประเทศไทย ด้วยการผสานแนวคิด “Global Car” และการอัดแน่นเทคโนโลยีที่ล้ำสมัย เพื่อมอบความคุ้มค่า “เทคโนโลยีล้ำสมัยในราคาสุดคุ้มค่า”
จุดเด่นที่เหนือกว่าคู่แข่ง:
อุปกรณ์ความปลอดภัย Hi-Tech: เหนือกว่าเจ้าตลาดอย่างชัดเจน
ช่วงล่างที่หนักแน่นและมั่นคง: มอบความมั่นใจในการควบคุม
การขับขี่ในช่วงความเร็วต่ำที่คล่องตัว: แอบคล่องกว่าที่คิด
การเดินทางด้วยความเร็วสูงที่หนักแน่นและมั่นคง: ดีที่สุดในกลุ่ม
ระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ: ยกชุดมาจาก Land Rover
ภายในห้องโดยสารที่หรูหราและสะดวกสบาย: ใกล้เคียง Range Rover
ข้อที่ควรปรับปรุง:
น้ำหนักตัวที่มาก: ส่งผลต่ออัตราเร่งและอัตราสิ้นเปลือง
น้ำหนักพวงมาลัย: ควรหนืดขึ้นอีกเล็กน้อยในรุ่น 2.2 ลิตร
การตอบสนองแป้นเบรก: ควรไวขึ้นตั้งแต่เริ่มแตะ
มาตรวัดรอบเครื่องยนต์: ขนาดเล็กเกินไป อ่านยาก
การเข้า-ออกเบาะแถว 3: ยากลำบากกว่ารุ่นก่อน
ระบบไฟฟ้าที่ซับซ้อน: อาจมีข้อกังวลในการใช้งานและซ่อมบำรุงระยะยาว
การเปรียบเทียบกับคู่แข่งในตลาด:
Chevrolet Trailblazer: แรง แต่ศูนย์บริการยังเป็นปัญหา
Isuzu MU-X: ประหยัดน้ำมันและศูนย์บริการดีเยี่ยม แต่ช่วงล่างยังแอบเด้ง
Mitsubishi Pajero Sport: ดีไซน์ล้ำสมัย ควบคุมง่าย แต่ช่วงล่างนุ่มนวลลดความมั่นใจลง
Nissan “Navara SUV/PPV”: (คาดการณ์) กำลังจะเปิดตัว
Toyota Fortuner: เจ้าตลาด พวงมาลัยดี แต่ช่วงล่างหลังแข็งกระด้าง
รุ่นที่คุ้มค่าที่สุด:
2.2 Titanium+ 4×2 6AT: คุ้มค่าที่สุดในไลน์อัพ ด้วยอุปกรณ์ที่ครบครันในราคาที่เข้าถึงได้
3.2 Titanium+ 4×4 6AT: หากต้องการระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ และมีงบประมาณเพียงพอ
บริการหลังการขาย: ความท้าทายที่ต้องก้าวข้าม
แม้ Everest จะมีจุดเด่นที่โดดเด่นมากมาย แต่ปัญหาบริการหลังการขายของ Ford ยังคงเป็นประเด็นที่ต้องพิจารณาอย่างจริงจัง ทั้งในด้าน Defect ของตัวรถ และการจัดการของศูนย์บริการ
Ford กำลังพยายามปรับปรุง แต่ก็ยังต้องใช้เวลา และที่สำคัญคือ การปรับทัศนคติของบุคลากรในองค์กรและดีลเลอร์ ให้ใส่ใจและจริงใจในการแก้ไขปัญหาให้กับลูกค้าอย่างแท้จริง
Ford Everest คือรถยนต์ที่ยอดเยี่ยมในแง่ของตัวรถและเทคโนโลยี แต่การตัดสินใจซื้อ ควรพิจารณาถึงปัจจัยด้านบริการหลังการขายอย่างรอบคอบ การเลือก Ford Everest เปรียบเสมือนการปีนขึ้นยอดเขาที่สวยงาม แต่ก็ต้องเตรียมตัวรับมือกับความท้าทายที่อาจเกิดขึ้น
หากคุณกำลังมองหารถ SUV/PPV ที่มอบประสบการณ์การขับขี่ที่เหนือระดับ ครบครันด้วยเทคโนโลยี และความปลอดภัย Ford Everest คือคำตอบที่น่าสนใจอย่างยิ่ง อย่ารอช้า! ติดต่อผู้เชี่ยวชาญด้านยานยนต์ของเราวันนี้ เพื่อรับคำปรึกษาและทดลองขับ Ford Everest เพื่อสัมผัสประสบการณ์สุดพิเศษที่คุณคู่ควร!

