มหกรรมยานยนต์ 2010: สัมผัสอนาคตแห่งยานยนต์ไทย – บทวิเคราะห์เจาะลึกจากผู้มีประสบการณ์
สวัสดีครับท่านผู้อ่านทุกท่าน ผม “จิมมี่” ในฐานะผู้คร่ำหวอดในวงการยานยนต์มากว่าทศวรรษ ผมรู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่จะนำพาท่านดำดิ่งสู่โลกแห่งเทคโนโลยียานยนต์สุดล้ำ ที่งาน มหกรรมยานยนต์ ครั้งที่ 27 ซึ่งจัดขึ้น ณ Challenger Hall ศูนย์แสดงสินค้าและการประชุม IMPACT เมืองทองธานี ในช่วงวันที่ 1-12 ธันวาคม 2010 ที่ผ่านมา งานนี้ไม่เพียงแต่เป็นเวทีแสดงรถยนต์ แต่ยังสะท้อนให้เห็นถึงทิศทางและพลวัตของอุตสาหกรรมยานยนต์ไทยที่กำลังก้าวไปข้างหน้าอย่างไม่หยุดยั้ง
ตลอดระยะเวลาที่ผมคลุกคลีอยู่ในวงการนี้ ผมได้เห็นการเปลี่ยนแปลงและพัฒนาการของรถยนต์อย่างมากมาย ตั้งแต่เทคโนโลยีพื้นฐานไปจนถึงนวัตกรรมที่ล้ำสมัยที่สุด ประสบการณ์ที่สั่งสมมาตลอด 10 ปี ทำให้ผมมองเห็นภาพรวมของตลาดรถยนต์ได้อย่างทะลุปรุโปร่ง และงาน Motor Expo 2010 นี้ ก็เป็นอีกหนึ่งหมุดหมายสำคัญที่แสดงให้เห็นถึงศักยภาพและความน่าสนใจของตลาดรถยนต์ไทย
ไฮไลท์เด็ดที่ต้องจับตา: นวัตกรรมที่พลิกโฉมวงการ
ในปีนี้ มหกรรมยานยนต์ ได้รับความสนใจเป็นพิเศษ ด้วยการปรากฏตัวของรถรุ่นใหม่ๆ มากมาย บางคันเป็นเหมือน “ดาวเด่น” ที่ถูกจับตามองอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะรถยนต์ที่เปิดตัวเป็น “โปรโตไทป์เวอร์ชันแรกของโลก” แม้จะยังไม่พร้อมจำหน่ายจริง แต่ก็นับเป็นการบ่งชี้ถึงทิศทางในอนาคตอันใกล้ของตลาด รถยนต์ใหม่
ผมใช้เวลาเดินสำรวจบูธต่างๆ อย่างสบายๆ พูดคุยกับผู้คน และเก็บภาพบรรยากาศมาฝากท่านผู้อ่านในแบบฉบับที่เป็นกันเอง ไม่ได้เน้นความเคร่งเครียดจริงจังตามสไตล์ของผม ซึ่งก็เป็นที่น่าประหลาดใจว่าเวลาผ่านไปรวดเร็วเพียงใด จนแทบไม่ทันรู้ตัว
เจาะลึกบูธต่างๆ: ความเคลื่อนไหวที่น่าสนใจของแบรนด์ชั้นนำ
BMW / MINI: เปิดตัวอย่างเป็นทางการด้วยรุ่น 520d และ 525d ที่มาพร้อมราคาที่น่าสนใจ โดยเฉพาะ 525d ที่เคาะราคา 4.4 ล้านบาท ต่ำกว่าที่คาดการณ์ไว้เล็กน้อย ส่วน MINI Countryman ก็ยังคงได้รับความนิยมอย่างต่อเนื่อง ดึงดูดผู้คนให้มามุงดูไม่ขาดสาย
Chevrolet: การปรากฏตัวของ Cruze ในหลากหลายรุ่นย่อย ตั้งแต่ LS, LT ไปจนถึง LTZ แสดงให้เห็นถึงความพร้อมด้านการตลาดที่ทำการบ้านมาดี หลังจากการเปิดตัวที่อาจมีปัญหาเล็กน้อย ก็ถือเป็นการแก้เกมที่น่าประทับใจ นอกจากนี้ Aveo CNG ยังเป็นอีกรุ่นที่น่าจับตา เป็นการตอบโจทย์กลุ่มลูกค้าที่มองหารถยนต์ขนาดเล็กที่เน้นความประหยัดเชื้อเพลิงได้อย่างลงตัว
Citroën: ภายหลังการปรับโครงสร้างของยนตรกิจ การเข้ามาทำตลาดของ DAD ในกลุ่ม Audi/MTM, Citroën และรถยนต์จากจีนนั้น น่าสนใจยิ่งนัก แต่ไฮไลท์ที่แท้จริงคือ Citroën DS3 รถยนต์ดีไซน์สวยงามที่หลายคนรอคอย มาพร้อมเครื่องยนต์ 1.6 ลิตร ในราคา 1.495 ล้านบาท นี่คือรถที่แสดงให้เห็นว่าหาก Citroën ต้องการแข่งขันกับ MINI มันจะเป็นเช่นนี้ เปรียบได้กับผลงานศิลปะที่กลับคืนสู่ความงดงามอีกครั้ง
FIAT: พระนครยนตรการ ยังคงทำตลาด Fiat และ Alfa Romeo อย่างต่อเนื่อง โดย Fiat 500 ยังคงเป็นหัวหอกสำคัญในการขับเคลื่อนธุรกิจ การมาของ Fiat 500 เครื่องยนต์ดีเซลในปีนี้ ยิ่งเพิ่มความน่าสนใจให้กับบูธ
Ford: Fiesta ยังคงเป็นดาวเด่นบนเวที Ford ในปีนี้ แม้จะมีพื้นที่บูธที่ใหญ่ขึ้น แต่ก็ยังคงไร้เงาของกระบะตัวใหม่ที่หลายคนรอคอย โดยคาดว่าจะเปิดตัวในไทยช่วงปลายไตรมาส 3 ปีหน้า
Honda: การเปิดตัว Honda BRIO ครั้งแรกของโลก (World Premier) ถือเป็นไฮไลท์สำคัญของงานนี้ รถยนต์พิกัด Sub-B-Segment หรือ A-Segment คันนี้ เตรียมวางจำหน่ายจริงในเดือนมีนาคม 2011 ด้วยราคาเริ่มต้นที่ 400,000 บาท สะท้อนให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของ Honda ในตลาด Eco Car
Hyundai: Grand Starex รถตู้ที่เพิ่งเปิดตัวไป เป็นตัวยืนของบูธ ส่วนรถต้นแบบ i-Blue สีฟ้า ก็สร้างความน่าสนใจด้วยการจัดแสดงในรูปแบบที่ดูมีกิมมิก
Isuzu: ภาพลักษณ์แบบ “ลูกทุ่ง” หายไปจากบูธ Isuzu อย่างสิ้นเชิง เน้น D-Max X-Series เจาะกลุ่มวัยรุ่นและผู้รักกิจกรรมกลางแจ้งอย่างชัดเจน การเปิดตัว D-Max รุ่นต่อไปในปี 2011 ภายใต้รหัส RT-50 จะเป็นบททดสอบสำคัญในการสื่อสารการตลาด เพื่อตอบโจทย์ลูกค้าให้ได้มากที่สุด
Land Rover: การได้พื้นที่บูธขนาดใหญ่ แสดงถึงความตั้งใจของ British Motor ผู้นำเข้ารายใหม่ ที่ขน SUV มาจัดแสดงแทบจะหมดโกดัง
LEXUS: CT200h คือรถที่ปรากฏตัวอย่างไม่คาดฝันในบูธเล็กๆ แห่งนี้ รถขนาดค่อนข้างเล็ก แต่มีเทคโนโลยี Hybrid THS-II ที่น่าสนใจ หากสามารถตั้งราคาเริ่มต้นเพียง 2.2 ล้านบาทได้ จะเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจอย่างยิ่งสำหรับผู้ที่มองหารถยนต์ที่หรูหรา มีสไตล์ และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
Mazda: Ryuga รถต้นแบบ, Mazda 2 Navi สีน้ำเงินพร้อมระบบนำทางจากโรงงาน, และ Mazda BT-50 รุ่นพิเศษ คือสิ่งที่ปรากฏในบูธ นอกเหนือจากนั้น ฉากหลังเบื้องหลังการถ่ายทำรายการ The Coup Channel ก็ทำให้บรรยากาศในบูธเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะ
Mercedes-Benz: บูธนี้ดูน่ารักด้วยการจำลองเป็นโชว์รูมขนาดย่อส่วน ไฮไลท์คือ R-Class Minorchange, Vito รุ่นต่างๆ และ E250 CGI Blue Efficiency T-Model ตัวถังสเตชันแวกอนของ E-Class ใหม่ เป็นครั้งแรก
Mitsubishi Motors: i- MIEV Sport รถต้นแบบพลังงานไฟฟ้าที่น่าจับตา ด้วยสมรรถนะที่น่าประทับใจ และการใช้วัสดุ Bio-plastic ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม Lancer EX ในสีเหลือง หลังคาดำ ดึงดูดสายตาผู้คนได้ดี ส่วน Lancer CNG และ Triton CNG ยังคงทำยอดขายได้ดีอย่างต่อเนื่อง แต่ข่าวร้ายคือ Pajero Sport และ Triton จะยุติการผลิตเครื่องยนต์ 3.2 ลิตร และจะเปิดตัวเครื่องยนต์ 2.5 ลิตร VGT ใหม่ในกลางเดือนมกราคม 2011
Nissan: แม้จะมี 370Z มาจัดแสดง แต่สิ่งที่ใหม่จริงๆ คือ March Autech ชุดแต่งสปอร์ต, X-Trail รุ่นย่อยพิเศษ และ Navara Minorchange ภายในสีดำ สำหรับปีหน้า Nissan เตรียมทัพรถใหม่มาอย่างอลังการ
Peugeot: RCZ สปอร์ตคูเป้ คือพระเอกของบูธนี้ มาพร้อมเครื่องยนต์ 1.6 ลิตร Turbo 156 แรงม้า ในราคา 2.95 ล้านบาท สำหรับรุ่น 200 แรงม้า เกียร์ธรรมดา 6 จังหวะ ราคา 3.1 ล้านบาท ก็น่าสนไม่แพ้กัน นอกจากนี้ยังมี 207 CC Sport ที่ใช้เครื่องยนต์เดียวกับ MINI Cooper
Proton: Proton Saga เปิดตัวในไทย ถือเป็น Minorchange เปิดตัวครั้งแรกของโลกในไทย ด้วยเครื่องยนต์ Campro 1.3 ลิตร ในราคาที่ใกล้เคียงกับ Savvy
RUF: การกลับมาของ RUF สำนักโมดิฟายจากเยอรมัน สร้างความฮือฮาให้กับนักนิยมความแรงอย่างมาก แม้จะใช้ตัวถัง Porsche แต่ก็ถือเป็นอีกค่ายที่น่าจับตามอง
SsangYong: Korando คือการพลิกโฉมที่น่าประทับใจ จากรุ่นเดิมที่ดูไม่สวยงาม กลายเป็นรถที่ดูดีขึ้นมาก เป็น SsangYong ที่สวยที่สุดเท่าที่เคยผลิตมา
Subaru: Impreza WRX A-Spec เกียร์อัตโนมัติ คือไฮไลท์ พร้อมด้วยพริตตี้สาวสวยน้องมาร์ ที่ดึงดูดช่างภาพจำนวนมาก
Suzuki: SX4 ประกอบอินโดนีเซีย แม้จะเปิดตัว แต่สิ่งที่ดึงดูดคนเข้าบูธกลับเป็นพริตตี้บูธนี้เสียมากกว่า สำหรับ Eco Car คาดว่าจะมาถึงในปี 2012
TATA MOTORS: Indica EV รถต้นแบบพลังงานไฟฟ้า พร้อมแผนการทำตลาด Nano ในไทย
TOYOTA: Prius คือตัวขายประจำปีนี้ กับการประกอบในไทยเป็นรุ่น Hybrid รุ่นที่ 2 เน้นย้ำถึงความทนทานของแบตเตอรี่ และความสามารถในการขึ้นทางชันที่ได้รับการทดสอบแล้ว
VOLVO: XC60 D3 CKD เปิดตัวครั้งแรกในงานนี้ และ S60 ใหม่ 2.0T ดึงดูดผู้คนจนแน่นบูธ
Volkswagen: ยังคงทำตลาดรุ่นเดิมเป็นหลัก โดย Passat CC ยังไม่เปลี่ยนเป็นรุ่นใหม่ แต่ Golf GTi และ Scirocco ก็ยังคงได้รับความสนใจ
Super Car (Gray Market): ปีนี้มีรถ Super Car จากผู้นำเข้ารายย่อยจำนวนมาก เช่น Ferrari California จาก TSL
สรุปภาพรวม: เทรนด์รักษ์โลกและความน่าสนใจที่เพิ่มขึ้น
งาน มหกรรมยานยนต์ 2010 นี้ ไม่ได้ “กร่อย” อย่างที่หลายคนกังวล มีรถยนต์ที่น่าสนใจมากมาย และที่สำคัญคือ บรรยากาศการขายดูจะผ่อนคลายลงเล็กน้อย โดยแต่ละค่ายพยายามนำเสนอ “รถยนต์เทคโนโลยีเพื่อสิ่งแวดล้อม” ซึ่งเป็นทิศทางที่ดีของอุตสาหกรรม
มหกรรมยานยนต์ จัดขึ้นระหว่างวันที่ 1-12 ธันวาคม 2010 ณ Challenger Hall IMPACT เมืองทองธานี เป็นงานปิดท้ายปีที่คนรักรถไม่ควรพลาด หากคุณกำลังมองหารถยนต์ใหม่ นี่คือโอกาสที่ดีในการตัดสินใจ
บทความพิเศษ: Mercedes-Benz B-Class W246 – การเดินทางที่ไม่คาดฝัน สู่โลกแห่ง Compact Sport Tourer
กาลครั้งหนึ่ง ณ กรุงเทพ อินเตอร์เนชั่นแนล มอเตอร์โชว์ เดือนมีนาคม 2012 ผมยืนอยู่ในบูธ Mercedes-Benz Thailand หลังจากการแสดงดนตรีอันน่าตื่นตาตื่นใจของ Dr. Alex Paufler CEO แห่ง MBTh และ Khun Koh Mr.Saxman สิ่งที่ดึงดูดสายตาผม คือ B-Class สีแดงสดคันงามที่จอดสงบนิ่งอยู่ภายในบูธ ด้วยรูปลักษณ์ที่ดูแตกต่างไปจาก Mercedes-Benz ทั่วไป ทำให้ผมอดไม่ได้ที่จะลองเข้าไปสัมผัส
“นี่คือรถที่ทำให้ผมคิดผิด”
เวลาผ่านไปประมาณ 4 เดือน ผมมีโอกาสได้พูดคุยกับ Khun Pôm Yawareth จากฝ่ายประชาสัมพันธ์ของ MBTh เพื่อขอยืม SLK มาทำรีวิว แต่ด้วยภารกิจที่ SLK มีอยู่มากมาย และใกล้จะครบ 10,000 กม. จึงต้องถูกส่งกลับไปปรับสภาพเพื่อจำหน่ายเป็นรถมือสองตามมาตรฐานของ MBTh Khun Pôm จึงเสนอทางเลือกที่น่าสนใจ… “อืม.. เอางี้ เอา B-Class ไปขับไหม?”
คำเสนอที่พลิกผันจากรถสปอร์ตเปิดประทุน 2 ที่นั่ง สู่รถ “ขนผ้าอ้อม” 5 ที่นั่ง ขับเคลื่อนล้อหน้า! อารมณ์ของผมตอนนั้นแทบจะตีลังกา แต่เสียงในหัวกลับตะโกนก้องว่า “เฮ้ย! นี่เป็นโอกาสทองที่จะได้ลองขับ Mercedes-Benz ขับเคลื่อนล้อหน้า มันไม่ได้มีบ่อยๆ นะเว้ย!” ผมจึงตอบตกลงไป และนั่นคือจุดเริ่มต้นของการสัมผัส Mercedes-Benz B-Class อย่างแท้จริง
B-Class: ความ “แปลก” ที่ซ่อนความ “น่าทึ่ง”
B-Class อาจเป็นรถที่อยู่นอกสายตาของหลายๆ คน ด้วยรูปทรงที่ดูเหมือนจะใหญ่แต่ก็เล็ก ดูเหมือนจะเล็ก แต่ภายในกลับกว้างขวาง สมรรถนะก็ไม่ธรรมดา แถมประหยัดน้ำมันอย่างไม่น่าเชื่อ และที่สำคัญคือ “ราคา” ที่ตั้งไว้ใกล้เคียงกับ C-Class ประกอบในประเทศ ทำให้เกิดคำถามว่า “ทำไมมันถึงเป็นเช่นนี้?”
ต้นกำเนิด: จากวิสัยทัศน์ สู่ Compact Sport Tourer
ในทศวรรษ 1990 Mercedes-Benz เริ่มมีแนวคิดที่จะขยายไลน์ผลิตภัณฑ์ให้หลากหลายมากขึ้น นอกเหนือจากรถสปอร์ต, Coupe, หรือ SUV พวกเขาต้องการสร้างรถยนต์ในรูปแบบ Minivan ที่แตกต่าง ด้วยการผสมผสานบุคลิกของรถ Sedan และ Station Wagon เข้าไว้ด้วยกัน
เมื่อ A-Class รุ่นแรกเปิดตัวในปี 1997 ด้วยโครงสร้างขับเคลื่อนล้อหน้าแบบ Sandwich Platform สื่อมวลชนยุโรปต่างคาดการณ์ว่า จะมีรถยนต์จากโครงสร้างเดียวกันนี้ตามมา และพวกเขาคิดถูก แต่กว่าที่ Mercedes-Benz จะมั่นใจในตลาดกลุ่มนี้ ก็ต้องรอจนถึงปี 2005 กับการเผยโฉม B-Class รหัส W245 รถยนต์ท้ายตัด 5 ประตู ที่พวกเขาตั้งนิยามว่า “Compact Sport Tourer” ไม่ใช่ Minivan เพื่อเน้นย้ำความแตกต่าง สโลแกน “The Mercedes-Benz, unlike any other” จึงถูกนำมาใช้
B-Class รุ่นแรกนั้น มี 5 ที่นั่ง สามารถปรับเบาะแถว 2 ได้หลากหลาย ตอบโจทย์ครอบครัวยุคใหม่ และผู้สูงอายุที่ต้องการรถที่นั่งสบาย ห้องโดยสารกว้างขวางกว่า Sedan ทั่วไป เครื่องยนต์และวิศวกรรมต่างๆ ใช้ร่วมกับ A-Class รุ่นแรก
แม้จะมียอดขายสะสมกว่า 700,000 คัน ตลอดอายุตลาด แต่ B-Class รุ่นแรก ก็ยังไม่ประสบความสำเร็จเท่าที่ควร ลูกค้ามักจะมองข้าม หรือไม่ประทับใจตั้งแต่แรกเห็น จนกว่าจะลองขับ จึงจะพบว่ามันเป็นรถที่ใช่สำหรับพวกเขา
W246: ก้าวข้ามข้อจำกัด ด้วยการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่
เมื่อผู้บริหารอนุมัติให้เดินหน้า B-Class รุ่นที่ 2 รหัส W246 ทีมออกแบบและวิศวกรต้องตัดสินใจ “ผ่าตัด” ครั้งใหญ่ เพื่อสร้างความแตกต่างจาก A-Class ให้ชัดเจนยิ่งขึ้น ด้วยการแยกแนวทางการออกแบบทั้งสองรุ่นออกจากกันอย่างสิ้นเชิง แม้โครงสร้างพื้นฐานจะยังคงใช้ร่วมกันบนแพลตฟอร์ม MFA (Mercedes-Benz Front-wheel-drive Architecture) ที่จะใช้กับรถยนต์อีก 4 รุ่น
Dr. Thomas Weber สมาชิกคณะกรรมการบริหารฯ กล่าวว่า “ไม่เคยมีรถรุ่นเปลี่ยนโฉมใหม่ทั้งคัน ที่อัดแน่นไปด้วยพัฒนาการใหม่ๆ มากเท่านี้มาก่อน”
ทีมออกแบบภายใต้การนำของ Professor h.c. Gorden Wagener ได้สร้างสรรค์รูปลักษณ์ใหม่ที่ลู่ลมมากขึ้น ค่าสัมประสิทธิ์แรงเสียดทานอากาศต่ำเพียง Cd 0.26 ซึ่งเป็นสถิติที่ดีที่สุดในกลุ่มรถ Minivan 5 ประตู ที่ผลิตเพื่อจำหน่ายจริง สะท้อนถึงเทคโนโลยี Blue Efficiency เพื่อความประหยัดและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
Mercedes-Benz ตั้งความหวังไว้สูงกับ B-Class ใหม่ โดยตั้งเป้า ยอดขาย 1.5 ล้านคันภายในปี 2015 มีการลงทุนปรับปรุงโรงงานในฮังการีและเยอรมนีอย่างมหาศาล
การเปิดตัวและการทำตลาดในไทย
ภาพถ่ายชุดแรกของ B-Class W246 เผยโฉมเมื่อ 11 กรกฎาคม 2011 ตามด้วยภาพภายในห้องโดยสาร และภาพอย่างเป็นทางการทั้งคันเมื่อ 25 สิงหาคม 2011 ก่อนจะเปิดตัวสู่สาธารณชนครั้งแรกที่งาน Frankfurt Motor Show ในวันที่ 30 สิงหาคม 2011
สำหรับในประเทศไทย Mercedes-Benz Thailand ตัดสินใจนำเข้า B-Class รุ่น B180 มาทำตลาดในช่วงก่อนหน้านี้ และได้รับกระแสตอบรับที่ดีในกลุ่มลูกค้าครอบครัวและผู้สูงวัย ที่มองหารถยนต์ขนาดไม่ใหญ่ ขับขี่คล่องตัวในเมือง มีห้องโดยสารกว้างขวาง และประหยัดน้ำมัน
และเพียง 4 เดือนหลังจากการเปิดตัวในยุโรป B-Class ใหม่ ก็เดินทางมาถึงประเทศไทย และเปิดตัวอย่างเป็นทางการในงาน Bangkok International Motor Show เมื่อเดือนมีนาคม 2012 โดยรุ่นที่นำเข้ามาคือ B200 Blue Efficiency เกียร์อัตโนมัติ 7 จังหวะ ซึ่งเป็นรุ่น Top of the Line ที่เพิ่งเริ่มออกสู่ตลาดโลกเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2012 เช่นกัน
รูปลักษณ์ภายนอก: ความปราดเปรียวที่ซ่อนความแข็งแกร่ง
B-Class ใหม่ มีขนาดตัวถังยาวขึ้น 89 มม. กว้างขึ้น 8 มม. และเตี้ยลง 46 มม. เมื่อเทียบกับรุ่นเดิม ระยะฐานล้อสั้นลง 79 มม. เส้นสายตัวถังภายนอกออกแบบให้มีความลู่ลมและ Dynamic มากขึ้น กระจังหน้าสองชั้นพร้อมแถบโครเมียม ชุดไฟหน้า Bi-Xenon พร้อม Daytime Running Light แบบ LED และชุดไฟท้าย LED คือองค์ประกอบที่ทำให้รถดูทันสมัย
ภายในห้องโดยสาร: ความสะดวกสบายที่เหนือความคาดหมาย
การเข้า-ออกจากรถสะดวกสบาย ด้วยระบบ Keyless Go เบาะนั่งหุ้มหนัง ARTIGO ปรับไฟฟ้าพร้อม Memory ตำแหน่งการขับขี่ออกแบบมาให้สูง คล้าย SUV ช่วยให้เข้า-ออกง่าย แผงประตูด้านข้างมีช่องเก็บของเพียงพอ และที่วางแขนที่ออกแบบมาอย่างลงตัว
เบาะนั่งคู่หน้าปรับไฟฟ้าพร้อม Memory ช่วยให้หาตำแหน่งขับที่สบายได้ง่าย แม้จะไม่ใช่เบาะที่ “เทพที่สุด” แต่ก็ถือว่านั่งสบาย ไม่เมื่อยล้า พนักศีรษะปรับสูง-ต่ำได้ พื้นที่เหนือศีรษะกว้างขวาง เข็มขัดนิรภัยแบบ ELR 3 จุด ปรับสูง-ต่ำได้
ประตูหลังกว้าง ทำให้การเข้า-ออกเบาะหลังสะดวกสบายเช่นกัน แผงประตูข้างออกแบบคล้ายกับด้านหน้า มีช่องเก็บของเล็กน้อย เบาะหลังอาจจะเหมาะกับเด็กมากกว่าผู้ใหญ่เล็กน้อย เนื่องจากเบาะรองนั่งค่อนข้างสั้น แต่พื้นที่เหนือศีรษะและพื้นที่วางขามีเพียงพอ เข็มขัดนิรภัย 3 จุดทุกที่นั่ง พร้อมช่องเสียบปลั๊กไฟ 12V
เบาะหลังพับได้ในอัตราส่วน 60:40 เพื่อเพิ่มพื้นที่เก็บสัมภาระ ซึ่งมีขนาด 486 ลิตร (VDA) และเพิ่มได้ถึง 1,545 ลิตร (VDA) เมื่อพับเบาะหลัง โดยไม่มียางอะไหล่ แต่มีชุดปะยางมาให้แทน
แผงหน้าปัดและระบบ Infotainment: ความเรียบง่ายที่ใช้งานสะดวก
แผงหน้าปัดออกแบบให้เน้นการใช้งานง่าย สไตล์สปอร์ต จอแสดงข้อมูล Multi-Information Display แสดงข้อมูลสำคัญต่างๆ เช่น นาฬิกา, อุณหภูมิภายนอก, มาตรวัดอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิง, ระยะทางที่น้ำมันยังเหลือ, ระบบเตือนต่างๆ ระบบเครื่องเสียง MB Audio20 เล่น CD/MP3/WMA ได้ พร้อมช่องต่อ AUX และ USB สามารถเชื่อมต่อ Bluetooth ได้ คุณภาพเสียงถือว่าดี ไม่แพ้รถยุโรปในระดับเดียวกัน
ระบบเกียร์และเครื่องยนต์: พละกำลังที่มาพร้อมความประหยัด
B200 Blue Efficiency ใช้เครื่องยนต์ M270 บล็อก 4 สูบ DOHC 1.6 ลิตร Turbo 156 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 250 นิวตันเมตร ส่งกำลังผ่านเกียร์อัตโนมัติ 7 จังหวะ 7G-DCT แบบคลัชต์คู่ การทำงานของเกียร์ที่นุ่มนวล และการตอบสนองที่ดีเยี่ยม ทำให้การขับขี่เป็นไปอย่างราบรื่น
สมรรถนะการขับขี่: ความสนุกที่ซ่อนอยู่ในรูปทรง
อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. อยู่ที่ประมาณ 9.58 วินาที และอัตราเร่งแซง 80-120 กม./ชม. อยู่ที่ 7.42 วินาที ซึ่งถือว่าน่าประทับใจสำหรับรถในพิกัดนี้ ความเร็วสูงสุดทำได้ถึง 225 กม./ชม.
การขับขี่ในรอบเครื่องยนต์ 3,000-5,000 รอบ/นาที ให้ความรู้สึกสนุกสนาน ด้วยแรงบิดที่ไหลต่อเนื่อง ช่วงออกตัวอาจจะดูอืดเล็กน้อย แต่เมื่อรอบเครื่องยนต์สูงขึ้น รถจะพุ่งทะยานไปข้างหน้าอย่างน่าพอใจ การเก็บเสียงในห้องโดยสารทำได้ดี แม้ใช้ความเร็วสูง
ระบบบังคับเลี้ยวและช่วงล่าง: ความคล่องตัวและการยึดเกาะที่ยอดเยี่ยม
พวงมาลัยแบบ Electromechanical Speed-Sensitive ตอบสนองไว ให้ความคล่องตัวในการขับขี่ในเมือง รัศมีวงเลี้ยวแคบ ช่วยให้กลับรถได้สะดวก ระบบช่วงล่างแบบ Comfort เน้นความนุ่มนวล แต่ยังคงให้การยึดเกาะที่ดีเยี่ยมขณะเข้าโค้งด้วยความเร็วสูง ระบบเบรกแบบดิสก์ 4 ล้อ พร้อมระบบช่วยเหลือด้านความปลอดภัยต่างๆ เช่น ESP, ABS, BAS, ASR และระบบ PRE-SAFE ช่วยเพิ่มความมั่นใจในการขับขี่
การทดสอบอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิง: ประหยัดเกินคาด
จากการทดสอบวิ่ง 93.0 กม. ใช้น้ำมัน 5.70 ลิตร ทำอัตราสิ้นเปลืองเฉลี่ย 16.31 กม./ลิตร ซึ่งถือว่าน่าประทับใจมากสำหรับรถขนาดนี้
บทสรุป: ความคุ้มค่าที่มากกว่ารูปลักษณ์
Mercedes-Benz B200 Blue Efficiency เป็นรถที่น่าสนใจอย่างยิ่ง ด้วยสมรรถนะที่ดีเยี่ยม ความประหยัดน้ำมันที่เหนือความคาดหมาย ความสะดวกสบาย และความปลอดภัยตามมาตรฐาน Mercedes-Benz แม้รูปลักษณ์ภายนอกอาจจะดูไม่หวือหวาเท่ารถยนต์รุ่นอื่นๆ แต่ภายในกลับซ่อนความน่าทึ่งไว้มากมาย
B-Class เหมาะสำหรับครอบครัวยุคใหม่ ที่มองหารถยนต์ที่ตอบโจทย์การใช้งานในชีวิตประจำวันได้อย่างลงตัว ทั้งในเมืองและนอกเมือง เป็นรถที่แสดงให้เห็นว่า บางครั้ง การตัดสินใจซื้อรถจากเพียงรูปลักษณ์ภายนอก อาจทำให้เราพลาดรถยนต์ดีๆ ที่ซ่อนเร้นศักยภาพที่แท้จริงไว้
หากคุณกำลังมองหารถยนต์ Mercedes-Benz ที่แตกต่าง ไม่ซ้ำใคร และตอบโจทย์การใช้งานได้อย่างครอบคลุม B-Class คือตัวเลือกที่คุณควรพิจารณา มาสัมผัสประสบการณ์การขับขี่ที่เหนือความคาดหมาย และค้นพบความ “แปลก” ที่มาพร้อมความ “น่าทึ่ง” ด้วยตัวคุณเองได้แล้ววันนี้

