• Sample Page
Film
No Result
View All Result
No Result
View All Result
Film
No Result
View All Result

N2912054 ความสำเร จของคนขย part2

admin79 by admin79
December 27, 2025
in Uncategorized
0
N2912054 ความสำเร จของคนขย part2

บทความต้นฉบับ:

รถยนต์ในกลุ่มคอมแพกต์คาร์นั้นถือเป็นรถยนต์ที่ได้ความนิยมอย่างต่อเนื่อง ด้วยขนาดที่พอดี ราคาที่เหมาะสม และตอบสนองกับความต้องการของผู้คนที่หลากหลายได้ ทำให้ค่ายรถต่างผลิตรถมาแข่งขันกันในกลุ่มนี้มากที่สุด ซึ่งเป็นประโยชน์แก่พวกเราผู้ใช้รถจะได้มีตัวเลือกที่ดีในราคาที่สมเหตุสมผลด้วยครับ และวันนี้ กระปุกคาร์ จะขอพาชาวกระปุกไปดู 5 อันดับของรถคอมแพกต์เกรดพิเศษจากผู้ผลิตชั้นนำที่จัดอันดับโดยเว็บไซต์ autocar.co.uk กันครับ มาดูกันว่าแต่ละคันจะเจ๋งแค่ไหนกันครับ

BMW Series 3
อันดับที่ 1 BMW Series 3
BMW ซีรีส์ 3 นั้นมีประวัติมาอย่างยาวนาน พอ ๆ กับชื่อเสียงที่ร่ำลือถึงคุณภาพที่ยังเห็นได้ตามท้องถนนทั่วไป โดยสำหรับปัจจุบันซีรีส์ 3 นั้นเจเนอเรชั่นที่ 6 เรียกรหัสตัวถังนี้ว่า F30 ขายครั้งแรกในปี 2012 และได้รับความนิยมทันที ด้วยการออกแบบที่ชัดเจน กระจังหน้าสองช่องเป็นเอกลักษณ์ ไฟหน้าดวงยาววางคู่กัน และไฟท้ายที่เป็นเส้นสวยงาม และด้วยชุดแต่งมาตรฐานที่ให้เลือกทั้งแบบ Sport, Luxury และ Modern ตอบสนองกับทุกกลุ่ม พกพาสมรรถนะคุณภาพและอัตราการประหยัดน้ำมันที่เหลือเชื่อโดยเครื่องดีเซลที่ประหยัดที่สุดทำได้ 23 กม./ ลิตร ช่วงล่างที่นุ่มนวลมาก แต่การเก็บเสียงยังไม่ดีนัก แต่ด้วยสมรรถนะโดยรวมที่ดี ดีไซน์สวยในแบบ BMW มันเลยถูกจัดเป็นอันดับ 1 ในครั้งนี้
รุ่นและราคาจำหน่ายในประเทศไทย
320i (เบนซิน) 2,679,000 บาท
320d (ดีเซล) 2,879,000 บาท
328i sport (เบนซิน) 3,099,000 บาท

Mercedes Benz C-class
อันดับที่ 2 Mercedes Benz C-class
ในอันดับที่สองนั้น ยังคงเป็นรถยนต์ยอดนิยมของคนไทยเช่นกัน คือ Mercedes Benz C-class สัญลักษณ์ของความหรูหราลงตัวของคนไทย ด้วยรุ่นล่าสุดที่เป็นไมเนอร์เชนจ์ในปี 2011 ได้ทำการเพิ่มประสิทธิภาพเครื่องยนต์ด้วยเทคโนโลยี BlueEfficiency งานออกแบบภายนอกและภายในหรูหราตามแบบของ Benz และแฝงความสปอร์ตแบบวัยรุ่นในแบบของ C-class เครื่องยนต์ที่มีให้เลือกหลากหลายขนาดและชนิดเชื้อเพลิง สมรรถนะรถไม่เป็นรองใคร อัตราการประหยัดน้ำมันดีที่สุดที่ 18 กม./ ลิตร นับว่าไม่เลวเลย ช่วงล่างที่นุ่มนวลและการควบคุมรถที่มั่นคง แม้เครื่องยนต์ดีเซลจะสู้กับ BMW เรื่องอัตราประหยัดน้ำมันไม่ได้นัก แต่ด้วยคุณสมบัติทั้งหมดก็เพียงพอจะให้ Benz C-class อยู่ในอันดับสองครับ
รุ่นและราคาจำหน่ายในประเทศไทย
C200 BlueEfficiency 2,179,000 บาท
C200 Style 2,250,000 บาท
C220 CDI Exec 2,490,000 บาท
C180 Coupe AMG 2,990,000 บาท
C250 AMG 3,090,000 บาท
C250 BlueEfficiency Coupe 4,099,000 บาท

Audi A4
อันดับที่ 3 Audi A4
Audi เป็นอีกค่ายหนึ่งที่คนไทยคุ้นเคยกันดี และในการจัดอันดับครั้งนี้ Audi A4 เองก็ติดอันดับด้วย โดยในฐานะผู้ร่วมชิงส่วนแบ่งกับ BMW ซีรีส์ 3 และ Benz C-class อย่างชัดเจน การออกแบบภายนอกเน้นความโค้งมนของรูปร่าง ให้ความรู้สึกนุ่มนวล แฝงด้วยความหรูหราจากไฟหน้าดีไซน์เท่โดดเด่นด้วย LED ไฟท้ายยาวและใหญ่โต วัสดุภายในประกอบอย่างเรียบร้อยสวยงาม แต่การออกแบบดูเรียบไปนิด เครื่องยนต์ที่ให้แรงม้ากำลังดี แต่เสียงดังไปนิดนึง จุดเด่นที่ระบบเกียร์อัตโนมัติที่ดีเมื่อใช้ความเร็วสูงนั้นประหยัดน้ำมันกว่าเดิม แต่ความเร็วในการออกตัวไม่ดีนัก อัตราประหยัดน้ำมัน 20 กม./ลิตร ถือว่าไม่เลวเลย ฐานล้อกว้างการนั่งโดยสารนุ่มนวลเข้าโค้งโยนบ้างเล็กน้อย พวงมาลัยไฟฟ้ายังปรับน้ำหนักได้ไม่ดีนักทำให้ไม่มั่นใจในการขับขี่ แต่ด้วยการออกแบบที่ดูหรูหรานุ่มนวลและห้องโดยสารที่กว้างสบาย Audi A4 จึงได้อันดับ 3 ถึงแม้ต้องปรับปรุงอะไรบ้างนิดหน่อย
รุ่นและราคาจำหน่ายในประเทศไทย
A4 1.8 Turbo FSI 2,690,000 บาท

Volkswagen CC
อันดับที่ 4 Volkswagen CC
Volkswagen ส่ง CC ที่ไม่ได้พ่วงชื่อ Passat มาเพื่อให้เป็นรถที่จำหน่ายในกลุ่มเป้าหมายที่สูงกว่าเดิม ซึ่งแม้มันจะมีตัวถังใกล้เคียงกับ Passat แต่การออกแบบตกแต่งนั้นเป็นคนละระดับอย่างชัดเจน ซึ่งเจ้า VW CC นี้จะถูกผลิตและจำหน่ายในปี 2013 ซึ่งขณะที่เขียนบทความนี้มันยังไม่ถูกจำหน่าย จึงทำให้ไม่สามารถบรรยายเรื่องราวต่าง ๆ ได้มากนัก มีเพียงแค่ข้อมูลทางเทคนิคที่ออกมาก่อนหน้านี้ซึ่งดูแล้วใช้เทคโนโลยีเดียวกับ VW Passat อย่างชัดเจน โดยเครื่องยนต์มีให้เลือกทั้งเบนซิน TSI ขนาด 1.8 กับ 2.0 ลิตร และ ดีเซล TDI ขนาด 2.0 ลิตร ซึ่งยังแยกย่อยไปตามแรงม้าอีก โดยมีแรงม้าอยู่ที่ตั้งแต่ 138-207 แรงม้า อัตราประหยัดน้ำมันสูงสุดที่ 25 กม./ลิตร ภายในนั้นยืนยันว่าไม่ต่างจาก VW Passat CC เท่าใดนัก จึงไม่ค่อยน่าสนใจเท่าคู่แข่งอื่น ๆ จากคุณสมบัติที่เผยออกมานี้ เลยขอวาง Volkswagen CC ไว้ที่อันดับ 4 ก่อนครับ
ราคาจำหน่ายในต่างประเทศ 23,627 – 29,592 ปอนด์ หรือ 1,060,000 – 1,341,000 บาทโดยประมาณ

Volvo S60
อันดับที่ 5 Volvo S60
รถยนต์จากสวีเดนคันนี้ ขึ้นชื่อเรื่องความแข็งแรงของเหล็กตัวถังมาก ด้วยการออกแบบในสไตล์ Saloon เน้นความโดดเด่นแบบที่ Volvo ไม่เคยทำมาก่อน เส้นสายต่าง ๆ ถูกจัดวางใหม่ในให้ดูสปอร์ตเร้าใจมากขึ้น การออกแบบภายในคำนึงถึงความสบายในการโดยสารอย่างมาก และสามารถทำออกมาได้อย่างดี เครื่องยนต์ที่ใช้นั้นประหยัดน้ำมันอย่างยอดเยี่ยม โดยอัตราประหยัดสูงสุดในเครื่องยนต์ดีเซลนั้นมากถึง 28 กม./ลิตร เครื่องเบนซินที่ 17 กม./ลิตร สามารถเติมน้ำมัน E85 ได้ด้วย แต่แลกมาด้วยอัตราเร่งที่ไม่เฟี้ยวฟ้าวเท่าคันอื่นในระดับเดียวกัน การยึดเกาะถนนพอใช้ได้ แต่การควบคุมพวงมาลัยนั้นช้ากว่าคันอื่น ๆ ในระดับเดียวกัน ถึงแม้ว่าระบบความปลอดภัยต่าง ๆ จะเป็นจุดเด่นของรถคันนี้ก็ตาม แต่ด้วยสมรรถนะที่สู้คันที่กล่าวไปก่อนไม่ค่อยได้ และการควบคุมที่ทำให้เกร็งนิดหน่อย เลยทำให้ Volvo S60 อยู่ในอันดับ 5 ของการจัดอันดับครั้งนี้
รู้จัก 5 บริษัทยักษ์ใหญ่ ที่ครองตลาดรถ EV ของโลก
00

จากข้อมูลของ bloomberg ได้รายงานว่า ยอดขายรถยนต์ไฟฟ้า EV เพิ่มขึ้นทั่วโลกมากกว่า 60% ในปี 2565 รวมทั้งในอินเดียและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ซึ่งแต่เดิมเป็นตลาดเล็กๆ สำหรับรถยนต์ EV แต่เวลานี้ยอดขาย เพิ่มขึ้นมากกว่า 200% ตัวอย่างเช่น ในประเทศญี่ปุ่น เพิ่มขึ้น 100% และ จีนเพิ่มขึ้น เกือบ 100% ขณะที่ออสเตรเลียเพิ่มขึ้น 90% ส่วนในพื้นที่ สหรัฐฯ เพิ่ม 50% และ ในทวีป ยุโรป เพิ่มขึ้น 17% SPOTLIGHT พามาสำรวจดูสถานการณ์ตลาดรถ EV ของโลกว่า ค่ายยักษ์ใหญ่ในปัจจุบันเป็นอย่างไรกันบ้าง

บริษัทผลิตรถยนต์ EV ที่มีมูลค่ามากที่สุดในโลก

Tesla TSLA (เทสลา)
tesla

Tesla คือบริษัทผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าสัญชาติอเมริกันที่ก่อตั้งโดย อีลอน มัสก์ ในปี 2003 ด้วยเป้าหมายที่จะสร้างรถยนต์ไฟฟ้าที่มีประสิทธิภาพและเข้าถึงได้ง่ายกว่ารถยนต์ไฟฟ้าที่มีอยู่ในตลาดในขณะนั้น

จุดเริ่มต้น Tesla
ในช่วงแรก Tesla ประสบปัญหามากมาย ทั้งปัญหาด้านการเงินและเทคโนโลยี จนกระทั่งในปี 2008 Tesla ได้เปิดตัวรถยนต์ไฟฟ้ารุ่น Roadster ซึ่งเป็นรถยนต์ไฟฟ้าสปอร์ตที่ประสบความสำเร็จอย่างล้นหลาม โดยตลอดการผลิตสามารถจำหน่ายได้มากกว่า 2,000 คันทั่วโลก (ปัจจุบันรุ่นนี้ยุติการผลิตแล้ว) ณ.ความสำเร็จของ Roadster ช่วยให้ Tesla มีเงินทุนเพียงพอที่จะพัฒนารถยนต์ไฟฟ้ารุ่นต่อไป ซึ่งก็คือ Model S เป็นรถยนต์ไฟฟ้าซีดานที่เปิดตัวในปี 2012 Model S ได้รับการยกย่องว่าเป็นรถยนต์ไฟฟ้าที่ดีที่สุดในโลกในขณะนั้น ด้วยสมรรถนะที่ยอดเยี่ยมและเทคโนโลยีที่ล้ำสมัย

นวัตกรรมคือปัจจัยสู่ความสำเร็จ Tesla
tesla2

Tesla ถือว่าเป็นบริษัทแรกที่เปิดตัวรถยนต์ไฟฟ้าที่มีระยะทางไกล ซึ่งเป็นสิ่งที่แตกต่างจากผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้ารายอื่นๆ ในขณะนั้น เช่น Tesla Model S มีระยะทางไกลสูงสุด 468 ไมล์ (750 กิโลเมตร) ซึ่งมากกว่ารถยนต์ไฟฟ้าส่วนใหญ่ในตลาด นอกจากนี้ยังมีเทคโนโลยีการชาร์จที่รวดเร็วอย่าง Tesla Supercharger สามารถชาร์จแบตเตอรี่รถยนต์ Tesla ได้ถึง 80% ภายในเวลาประมาณ 30 นาที

รวมทั้ง Tesla ยังเป็นผู้นำในการพัฒนาเทคโนโลยีรถยนต์ไร้คนขับ จากการเปิดตัวระบบ Autopilot ซึ่งเป็นระบบช่วยเหลือการขับขี่แบบอัตโนมัติที่ช่วยให้รถยนต์ Tesla สามารถขับขี่ได้เองโดยอัตโนมัติในบางสถานการณ์ และในเวลานี้ Tesla มีรถยนต์ไฟฟ้าหลายรุ่นที่ประสบความสำเร็จอย่างล้นหลาม ได้แก่ Model S, Model X, Model Y และ Model 3 Model S เป็นรถยนต์ไฟฟ้าซีดานที่ประสบความสำเร็จอย่างมาก โดยได้รับการยกย่องว่าเป็นรถยนต์ไฟฟ้าที่ดีที่สุดในโลกในขณะนั้น Model 3 เป็นรถยนต์ไฟฟ้าราคาประหยัดที่ประสบความสำเร็จอย่างมาก จนกลายเป็นผู้นำด้านรถยนต์ไฟฟ้าของโลก โดยบริษัทมียอดขายรถยนต์ไฟฟ้าเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องทุกปีและ ในปี 2022 Tesla มียอดขายรถยนต์ไฟฟ้าทั่วโลกมากกว่า 1.3 ล้านคัน

รุ่น รถยนต์ไฟฟ้า ทั้งหมดของ Tesla
Model S
Model 3
Model Y
Model X
Cybertruck
Roadster
อันดับ 1 ด้านผู้นำตลาดรถยนต์ไฟฟ้า
จากความสำเร็จที่ล้นหลามทำให้บริษัท Tesla มีมูลค่าตลาดของบริษัทอยู่ที่ 834.72 พันล้านดอลลาร์ และมูลค่าตลาดเคยขึ้นสูงสุดอยู่ที่ 1.23 หมื่นล้านดอลลาร์ ณ วันที่ 11/06/2564 ทำให้เวลานี้ Tesla คือเบอร์ 1 ด้านตลาดผู้ผลิตเฉพาะรถยนต์ EV และเป็นอันดับ 8 บริษัทที่มีมูลค่ามากที่สุดในโลก สำหรับ รายได้คาดการณ์ในปี 2566 จะอยู่ที่ 94.02 พันล้านดอลลาร์ สำหรับราคาหุ้นของ Tesla ในปัจจุบันอยู่ที่ $ 262.99 USD ณ วันที่ 10/12/2566

ราคาหุ้นเคยสูงสุด ณ : $409.97 USD ในที่ 11-04 2564
ราคาหุ้นเคยต่ำสุด ณ : $1.05 USD ในที่ 07-07 2053
ปัจจุบัน Tesla มีโรงงานผลิต 4 แห่ง ได้แก่ที่ สหรัฐอเมริกา 2 แห่ง ที่เซี่ยงไฮ้ 1 แห่ง และ นอกเมืองเบอร์ลินที่ประเทศเยอรมนีอีก 1 แห่ง นอกจากนี้ Tesla ยังมีแผนที่จะสร้างโรงงานผลิตรถยนต์แห่งใหม่ในหลาย ๆ ประเทศทั่วโลก เช่น เยอรมนี อินเดีย และออสเตรเลีย

รู้หรือไม่…นอกจากรถยนต์ไฟฟ้าแล้ว Tesla ยังดำเนินธุรกิจด้านพลังงานทดแทนอีกด้วย โดยบริษัทผลิตแผงโซลาร์เซลล์และเครื่องชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า นอกจากนี้ ตั้งแต่ มกรารคม – สิงหาคม 2566 รถยนต์ Tesla Model Y เป็นรุ่นที่ขายดีที่สุดขายไปปได้ 772,364 คัน

BYD Auto
byd1

BYD หรือ “Build Your Dreams” เป็นบริษัทสัญชาติจีนที่ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี 2538 โดย หวัง ชวนฟู ด้วยความมุ่งมั่นที่จะพัฒนาเทคโนโลยีพลังงานสะอาด BYD เริ่มต้นจากการเป็นบริษัทผลิตแบตเตอรี่ ก่อนจะขยายธุรกิจไปสู่การผลิตรถยนต์ไฟฟ้าและรถบัสไฟฟ้า

จุดเริ่มต้น BYD

บริษัทเริ่มต้นจากธุรกิจการผลิตแบตเตอรี่และผลิตภัณฑ์เครื่องใช้ไฟฟ้าภายในครัวเรือน ต่อมาได้ขยายไปสู่การผลิตสมาร์ทโฟน แท็บเล็ต และแล็ปท็อปให้กับแบรนด์ต่างๆ เช่น Apple, Dell, Samsung, Toshiba, Motorola และอื่นๆ อีกมากมาย ทำให้ในระยะเวลาไม่ถึง 10 ปี BYD สามารถครองส่วนแบ่งมากกว่า 50% ในตลาดผู้ผลิตแบตเตอรี่มือถือ อีกทั้งยังเป็นผู้ผลิตถ่านชาร์จรายใหญ่ที่สุดในประเทศจีน

ด้วยความสำเร็จในการเป็นผู้ผลิตแบตเตอรี่ BYD ได้เริ่มรุกเข้าสู่ธุรกิจยานยนต์ในปี 2545 โดยได้ไปซื้อบริษัทรถยนต์ Tsinchuan Automobile เข้ามาเป็นบริษัทลูก แล้วทำการเปลี่ยนชื่อเป็น BYD Auto สำหรับช่วงแรก BYD Auto ยังเน้นผลิต รถยนต์ที่ใช้น้ำมันอยู่ มีลักษณ์รถยนต์เน้นไปที่รูปทรงเหมือนรถยนต์แบรนด์จากญี่ปุ่นและยุโรป

แบตเตอรี่ลิเธียมไอออน และ วอร์เรน บัฟเฟตต์ คือจุดเปลี่ยน

byd

ในปี 2551 BYD Auto ได้สร้าง นวัตกรรม รถพลังไฟฟ้าแบบปลั๊ก-อิน ไฮบริด PHEV ( รถยนต์ไฟฟ้าแบบปลั๊กอินที่ใช้พลังงานจากมอเตอร์ไฟฟ้าทำงานร่วมกับเครื่องยนต์) คันแรกของโลกได้ รุ่น BYD Auto’s F3DM PHEV-60 hatchback

นอกจากนี้ยังมีนวัตกรรม แบตเตอรี่ชาร์จใหม่ ( Rechargeable Batteries ) : แบตเตอรี่ชาร์จใหม่โดยเฉพาะแบตเตอรี่ลิเธียมไอรอนฟอสเฟต (LiFePO4) แบตเตอรี่ที่ใช้งานอย่างแพร่หลายในรถยนต์ไฟฟ้าและระบบจัดเก็บพลังงาน

จากความชำนาญที่เป็นผู้ผลิตแบตเตอรี่มาอย่างยาวนานจนต่อยอดพัฒนา จนได้รับความสนใจจากกลุ่มผู้ลงทุนเป็นจำนวนมาก จุดเปลี่ยนสำคัญคือ วอร์เรน บัฟเฟตต์ นักลงทุนชื่อดังของโลก ให้ความสนใจและเข้ามาลงทุนในบริษัท BYD โดยลงทุนผ่านทาง Berkshire Hathaway ถือหุ้นจำนวน 225,000,000 หุ้น ด้วยมูลค่า 232 ล้านดอลลาร์

จากรายงานตัวเลขยอดขายรถยนต์ไฟฟ้า BYD ปี 2565 มียอดขายรถยนต์ไฟฟ้าเพิ่มขึ้นอย่างมาก โดยมีตัวเลขยอดขายรถยนต์ไฟฟ้าสูงถึง 913,052 คัน มีส่วนแบ่งทางการตลาดในกลุ่มยานยนต์ไฟฟ้ามากถึง 12.6 เปอร์เซ็นต์ หลายๆฝ่านคาดว่า BYD มีศักยภาพที่จะสามารถแซงหน้า Tesla ได้

รุ่น รถยนต์ไฟฟ้า ทั้งหมดของ BYD

BYD e6
BYD T3
BYD Tang EV
BYD Han EV
BYD Atto 3
BYD Dolphin EV
เตรียมท้าชิง ตำแหน่งผู้นำตลาดรถยนต์ไฟฟ้า

ในเวลานี้ บริษัท BYD มีมูลค่าตลาดของบริษัทอยู่ที่ 94.98 พันล้านดอลลาร์ และมูลค่าตลาดเคยขึ้นสูงสุดอยู่ที่ 137.85 พันล้านดอลลาร์ ณ วันที่ 25/06/2565 มีรายได้อยู่ที่ 75.89 พันล้านดอลลาร์ ทำให้เวลานี้ BYD คือเบอร์ 2 ด้านตลาดผู้ผลิตเฉพาะรถยนต์ EV และเป็นอันดับ 145 บริษัทที่มีมูลค่ามากที่สุดในโลก สำหรับราคาหุ้นของ BYD ในปัจจุบันอยู่ที่ $ 33.44 USD ณ วันที่ 10/12/2566

ราคาหุ้นเคยสูงสุด $409.5 USD ในที่ 23/06/2565
ราคาหุ้นเคยต่ำสุด $13.99 USD ในที่ 26/09/2555
ปัจจุบัน BYD มีโรงงานผลิต 11 แห่ง ตั้งอยู่ในประเทศจีน 11 แห่ง และขณะนี้ทาง BYD กำลังสร้างโรงงานประกอบรถยนต์ EV ในต่างประเทศแห่งแรกที่ประเทศไทย โดยเป้าหมายมีกำลังการผลิต 150,000 คันต่อปี ตั้งแต่ปี 2567 นอกจากนี้ ยังมีรายงานว่านอกเหนือจากไทย และเวียดนามแล้ว BYD กำลังพิจารณาฟิลิปปินส์และอินโดนีเซียสำหรับโรงงานแห่งใหม่ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

ปัจจุบัน BYD ได้รับการยอมรับระดับนานาชาติสำหรับความสามารถในการสร้างสรรค์รถยนต์ไฟฟ้า และเทคโนโลยีสร้างพลังงานสะอาด เป็นผู้นำในการพัฒนาสิ่งที่เกี่ยวข้องกับการขนส่งไฟฟ้า และได้รับความสนใจเนื่องจากเทคโนโลยีนวัตกรรมของตน

Li Auto

li-auto1

Li Auto ก่อตั้งขึ้นเมื่อวันที่ 25 มิถุนายน 2558 โดย Li Xiang ผู้ก่อตั้งและประธานของบริษัท ตั้งอยู่ในเมืองเซินเจิ้น ประเทศจีน เพื่อพัฒนารถยนต์ไฟฟ้าที่สามารถตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคชาวจีนได้ Li Auto มีเป้าหมายที่จะนำเสนอรถยนต์ไฟฟ้าที่มีคุณภาพสูงและราคาที่เข้าถึงได้

จุดเริ่มต้น Li Auto

จุดเริ่มต้นของ Li Auto นั้นมาจากการที่ Li Xiang ทำงานเป็นวิศวกรซอฟต์แวร์ในบริษัทรถยนต์แห่งหนึ่งในประเทศจีน เขาได้เห็นการเติบโตของตลาดรถยนต์ไฟฟ้าในจีน และเชื่อว่ารถยนต์ไฟฟ้าจะเป็นอนาคตของอุตสาหกรรมยานยนต์ เขาจึงตัดสินใจลาออกจากงานและก่อตั้ง Li Auto ขึ้นในปี 2558 โดยบริษัทมุ่งเน้นไปที่ EREV SUV ระดับพรีเมี่ยมสำหรับตลาดจีน เป็นหลัก

เริ่มต้นนำเสนอ รถยนต์แบบ EREV และเน้นความ พรีเมี่ยม เป็นหลัก

li-auto

Li Auto เริ่มต้นนำเสนอรถยนต์แบบ EREV ย่อมาจาก “Extended Range Electric Vehicle” ซึ่งเป็นประเภทหนึ่งของรถยนต์ไฟฟ้าพลังงานสะอาด (Electric Vehicle – EV) มาพร้อมระบบเครื่องยนต์สำรองใช้น้ำมันหรือเชื้อเพลิงอื่น นอกจากไฟฟ้าในการสร้างพลังงานขับเคลื่อน โดยระบบนี้ช่วยเพิ่มระยะทางการขับเคลื่อนของรถยนต์ไฟฟ้าและลดปัญหาของข้อจำกัดในการเติมพลังงานของรถไฟฟ้าทั่วไป (EV) ที่มีข้อจำกัดในระยะทางที่สามารถขับได้ก่อนจะต้องชาร์จใหม่. ทำให้ระยะการขับขี่ที่ไกลกว่ารถยนต์ไฟฟ้าแบบแบตเตอรี่ล้วน ไม่ต้องกังวลเรื่องระยะการขับขี่เมื่อแบตเตอรี่หมด นอกจากนี้ยังเน้นความพรีเมี่ยมเป็นหลัก โดยรถยนต์รุ่น Li One และ Li L9 ของ Li Auto ได้รับการออกแบบและผลิตโดยใช้วัสดุและเทคโนโลยีที่มีคุณภาพสูง ส่งผลให้รถยนต์ของ Li Auto มีสมรรถนะที่ดีและมีความทนทาน แต่ราคาเข้าถึงได้ง่าย

รุ่น รถยนต์ไฟฟ้า ทั้งหมดของ Li Auto

Li One
LiL7
Li L8
Li L9
ขอส่วนแบ่งในตลาดรถพรีเมี่ยมเป็นหลัก

Li Auto กลายเป็นหนึ่งในผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้ารายใหญ่ของจีน ปัจจุบัน Li Auto ส่งมอบรถยนต์ในไตรมาสแรกไป 31,716 คัน เพิ่มขึ้น 152.1% ในเวลานี้ บริษัท Li Auto มีมูลค่าตลาดของบริษัทอยู่ที่ 35.49 พันล้านดอลลาร์ และมูลค่าตลาดเคยขึ้นสูงสุดอยู่ที่ 45.37 พันล้านดอลลาร์ ณ วันที่ 25/06/2565 มีรายได้อยู่ที่ 10.55 พันล้านดอลลาร์ ทำให้เวลานี้ Li Auto คือเบอร์ 3 ด้านตลาดผู้ผลิตเฉพาะรถยนต์ EV และเป็นอันดับ 487 บริษัทที่มีมูลค่ามากที่สุดในโลก สำหรับราคาหุ้นของ Li Auto ในปัจจุบันอยู่ที่ $ 35.42 USD ณ วันที่ 10/12/2566

ราคาหุ้นสูงสุด $46.65 USD ในที่ 08/07/2566
ราคาหุ้นต่ำสุด $13.62 USD ในที่ 31/10/2565
ปัจจุบัน Li Auto มีโรงงานผลิตรถยนต์ไฟฟ้าอยู่ 2 แห่งในประเทศจีน นอกจากนี้ Li Auto ยังมีแผนที่จะก่อสร้างโรงงานผลิตรถยนต์ไฟฟ้าแห่งใหม่ในเมืองเซี่ยงไฮ้ โรงงานแห่งนี้มีกำหนดเริ่มดำเนินการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าในปี 2568

VinFast

vinfast7

VinFast Auto (หรือ VinFast) เป็นผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าสัญชาติเวียดนาม ก่อตั้งขึ้นในปี 2560 โดย ฝ่าม เญิ้ต เวือง (Pham Nhat Vuong) วัย 54 ปี มหาเศรษฐีและนักธุรกิจที่รวยที่สุดในเวียดนาม ผู้ก่อตั้ง วินน์ กรุ๊ป Vingroup ซึ่งเป็นกลุ่มบริษัทเอกชนที่ใหญ่ที่สุดในเวียดนาม VinFast มีเป้าหมายที่จะพัฒนารถยนต์ไฟฟ้าที่มีคุณภาพสูงและราคาที่จับต้องได้ เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคทั้งในเวียดนามและต่างประเทศ

จุดเริ่มต้น VinFast

VinFast ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี 2560 โดยบริษัทแม่คือ VinGroup ซึ่งเป็นกลุ่มธุรกิจขนาดใหญ่ของเวียดนาม VinFast เริ่มต้นด้วยการผลิตรถยนต์สันดาป โดยมีความช่วยเหลือด้านการผลิตและออกแบบจาก 3 ค่ายรถยนต์สัญชาติยุโรป ได้แก่ Pininfarina, BMW และ Magna Steyr ในปี 2561 VinFast ได้เปิดตัวรถยนต์สันดาป 2 รุ่นแรก ได้แก่ LUX A2.0 และ LUX SA2.0 ซึ่งใช้ต้นแบบจาก BMW 5 Series F10 และ BMW X5 F15 จนในปี 2564 VinFast ได้เปิดตัวรถยนต์ EVของตัวเองรุ่นแรกชื่อ VF e34 จำหน่ายในเวียดนามเป็นที่แรก

แตกต่างด้วย โมเดลการให้เช่าแบตเตอรี่

vinfast

VinFast ใช้โมเดลธุรกิจที่เรียกว่า Battery Subscription ซึ่งผู้ใช้สามารถเช่าแบตเตอรี่จาก VinFast ได้แทนการซื้อ โดยค่าใช้จ่ายรายเดือนนี้ ผู้บริโภคสามารถเลือกได้ตั้งแต่ หลักร้อยถึงหลักพัน บาทต่อเดือน ขึ้นอยู่กับการใช้งาน และจำนวนแบตเตอรี่ ที่ต้องการเปลี่ยน นอกจากนี้ยัง มีราคาที่เข้าถึงได้ง่าย VinFast มีราคารถยนต์ที่เข้าถึงได้ง่ายกว่าคู่แข่งรายอื่น ๆ ในตลาด ซึ่งทำให้ผู้บริโภคมีโอกาสเป็นเจ้าของรถยนต์ไฟฟ้าได้ง่ายขึ้น

VinFast ขยายตลาดยุโรปและอเมริกา เจอปัญหาเพียบ

VinFastเดินหน้าขยายตลาดสู่ยุโรปและอเมริกา โดยเปิดตัว VF-8 และ VF-9 สองรุ่น SUV ไฟฟ้าขนาดใหญ่ ซึ่งทั้งสองรุ่นนี้มีแนวโน้มที่จะขายดีมากในตลาดที่นิยมรถใหญ่อย่างสหรัฐอเมริกา อย่างไรก็ตาม VinFast เจอปัญหามากมายในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา ไม่ว่าจะเป็นเรื่องคุณภาพรถ การ recall รถ การขาดทุนของบริษัทแม่ รวมถึงปัญหาการประกอบรถที่ไม่ดีในอเมริกา

รุ่น รถยนต์ไฟฟ้า ทั้งหมดของ VinFas

รุ่นที่จำหน่ายในเวียดนาม

VinFast Lux A2.0
VinFast Lux SA2.0
รุ่นที่จำหน่ายในต่างประเทศ

VinFast VF e34
VinFast VF 8
VinFast VF 9
VinFast VF 5
จดทะเบียนในตลาดหุ้น Nasdaq

แม้จะอยู่ในสถานภาพกลืนไม่เข้าคายไม่ออกที่ตลาดอเมริกา แต่ทางบริษัทก็มีความต้องการที่จะขยายตลาด และหนึ่งในนั้นคือจดทะเบียนในตลาดหุ้น Nasdaq ในวันที่ 24 สิงหาคม 2566 โดยราคาหุ้นพุ่งขึ้นอย่างร้อนแรงถึง 68% ปิดที่ราคา 37.06 ดอลลาร์ต่อหุ้น ซึ่งส่งผลให้มูลค่าบริษัทแตะระดับ 8.5 หมื่นล้านดอลลาร์ หรือประมาณ 3 ล้านล้านบาท สูงกว่ามูลค่าตลาดของ Ford และ General Motors ซึ่งเป็นบริษัทรถยนต์ยักษ์ใหญ่สัญชาติอเมริกัน

แต่ในเวลานี้ราคาหุ้นของ VinFast ตกลง ส่วนหนึ่งมาจากกระแสความนิยมของรถยนต์ไฟฟ้า VinFast ที่ลดลงรวมถึงความคาดหวังของนักลงทุนที่ว่า VinFast อาจไม่สามารถเติบโตอย่างแข็งแกร่งในตลาดสหรัฐฯ ซึ่งเป็นตลาดรถยนต์ไฟฟ้าที่ใหญ่ที่สุดในโลก ทำให้ในเวลานี้ บริษัท VinFast มีมูลค่าตลาดของบริษัทอยู่ที่ 18.93 พันล้านดอลลาร์ และมูลค่าตลาดเคยขึ้นสูงสุดอยู่ที่ 159.7 พันล้านดอลลาร์ ณ วันที่ 26/08/2565 ทำให้เวลานี้ VinFast คือเบอร์ 4 ด้านตลาดผู้ผลิตเฉพาะรถยนต์ EV และเป็นอันดับ 487 บริษัทที่มีมูลค่ามากที่สุดในโลก สำหรับราคาหุ้นของ VinFast ในปัจจุบันอยู่ที่ $ 8.12 USD ณ วันที่ 10/12/2566

ราคาหุ้นสูงสุด 82.35 USD ในที่ 27/08/2566
ราคาหุ้นต่ำสุด 07.23 USD ในที่ 10/09/2566
ปัจจุบัน VinFast มีสำนักงานในสหรัฐฯ แคนาดา ฝรั่งเศส เยอรมนี และเนเธอร์แลนด์ เน้นจุดแข็งด้านราคาที่ต่ำกว่าจากความได้เปรียบด้านต้นทุนแรงงานที่ผลิตจากเวียนดาม

Rivian

rv

บริษัท Rivian เป็นสตาร์ทอัพรถยนต์ไฟฟ้าสัญชาติอเมริกันที่ก่อตั้งขึ้นในปี 2552 โดย อาร์ เจ สแคริง ผู้ก่อตั้งจาก นักศึกษาจากมหาวิทยาลัย Massachusetts Institute of Technology หรือ MIT ในด้านวิศวกรรมเครื่องกล ที่มีความมุ่งมั่นที่จะพัฒนารถยนต์ไฟฟ้าจนสามารถหาแนวทางของตัวเอง จนเกิดเป็น รถกระบะไฟฟ้ารายแรก และยังมีสัญญาผลิตรถตู้ส่งของไฟฟ้าให้กับ Amazon หลายแสนคัน

จุดเริ่มต้น Rivian

เส้นทางของ Rivian ไม่ได้มาง่ายๆ เนื่องจากในช่วงก่อตั้งบริษัทต้องเผชิญกับความยากลำบากจากการขาดแคลนเงินทุน และการขาดประสบการณ์ในการผลิตรถยนต์ รวมไปจนถึงการแข่งขันรถยนต์ไฟฟ้า ที่ดุเดือด จากบริษัทยักษ์ใหญ่อย่าง Tesla แต่ถึงอย่างนั้นทาง Rivian ก็ไม่เคยย่อท้อ ทีมผู้บริหารและพนักงานทุกคนต่างทุ่มเททำงานอย่างหนัก เพื่อพัฒนารถยนต์ไฟฟ้าที่ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้า จนในที่สุด ความสำเร็จก็มาถึง Rivian สามารถผลิตและจำหน่ายรถยนต์ไฟฟ้าได้สำเร็จ และได้รับความสนใจจากนักลงทุนจำนวนมาก

รถเก๋งไม่ รถกระบะใช่

rivian1

อาร์ เจ สแคริง ผู้ก่อตั้งจาก เริ่มต้นอยากจะทำ รถสปอร์ตไฟฟ้า มากกว่าแต่พอมองภาพรวมตลาดในเวลานั้น ผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าส่วนใหญ่จะเน้นไปที่รถเก๋งมากกว่า ทำให้เขาจึงเบนเข็มมาพัฒนารถกระบะและรถ SUV ไฟฟ้าแทน

นวัตกรรมเด่นๆของ Rivian คือ การพัฒนาช่วงโครงช่วงล่างของรถยนต์ ที่เรียกว่า Skateboard Platform ซึ่งเป็นแนวคิดทำให้ รถมีศูนย์ถ่วงที่ต่ำ และนำมอเตอร์ไฟฟ้า, แบตเตอรี่ และแผงควบคุมต่าง ๆ ติดตั้งไว้ด้านล่างของตัวรถ ทำให้ตอบโจทย์รถกระบะ Off-Road หรือ SUV ที่ขับเคลื่อนสี่ล้อ

ทำให้การขับขี่สนุก และเหมาะกับการขับเคลื่อนสี่ล้อ เหมาะกับรถยนต์ประเภท Off-Road อย่างรถกระบะและ SUV นอกจากนี้ยังทำให้การออกแบบทำได้อิสระมากขึ้น โดย Skateboard Platform นี้มีจุดเด่นๆอย่าง การ รองรับการติดตั้งมอเตอร์ได้สูงสุด 4 ตัว มีใช้ระบบกันสะเทือนแบบถุงลมแยกอิสระ ตัวรถมีการติดตั้งทั้งระบบจัดการแบตเตอรี่อัจฉริยะ ระบบควบคุมไฮดรอลิกช่วงล่าง และระบบระบายความร้อน ที่ยอดเยี่ยม

Amazon,Ford ยังต้องเหลียวมอง

ในปี 2560 Rivian ได้รับเงินทุนก้อนใหญ่จากนักลงทุนรายใหญ่ 3 ราย ได้แก่ Abdul Latif Jameel, Sumitomo Corp และ Standard Chartered ด้วยเงินทุนก้อนนี้ Rivian สามารถสร้างโรงงานผลิตรถยนต์แห่งแรกในอีสต์วอเตอร์ฟอร์ด รัฐมิชิแกน และเริ่มผลิตรถกระบะไฟฟ้าต้นแบบ R1T ในปี 2561

R1T เป็นรถกระบะไฟฟ้าที่โดดเด่นด้วยความสามารถวิ่งได้ไกลสูงสุด 644 กิโลเมตร มอเตอร์แบบสี่ตัว ขับเคลื่อนสี่ล้อ สามารถเร่งความเร็ว 0-96 กม./ชม. ใน 3 วินาที ในเดือนกรกฎาคม 2562 Rivian ได้ประกาศเปิดจองรถกระบะ R1T และ SUV R1S รุ่นผลิตจริง ซึ่งได้รับความสนใจจากลูกค้าจำนวนมากและส่งมอบออกจำหน่ายในปี 2564

หลังจากประสบความสําเร็จในการเปิดจองรถกระบะ R1T และ SUV R1S ในปี 2562 Rivian Amazon ได้มองศักยภาพสนับสนุนเงินทุนกว่า 700 ล้านดอลลาร์ ตามมาด้วย Ford อีก 500 ล้านดอลลาร์ นอกจากนี้ยังมี เว็บขายรถชื่อดังของอเมริกาอย่าง Cox Automotive อีก 350 ดอลลาร์ และ เงินทุนก้อนใหญ่อีก 1,300 ล้านดอลลาร์ จาก T. Rowe Price Associates บริษัทที่เคยลงทุนกับ Tesla มาแล้ว

รุ่น รถยนต์ไฟฟ้า ทั้งหมดของ Rivian

Rivian R1T : รถกระบะไฟฟ้า
Rivian R1S : รถ SUV ไฟฟ้า
สตาร์ทอัพก็ประสบความสำเร็จได้

ในปี 2564 Rivian เริ่มส่งมอบรถกระบะ R1T ให้กับลูกค้า และเริ่มผลิตรถ SUV R1S ในปี 2565 ความสำเร็จของ Rivian แสดงให้เห็นว่าสตาร์ทอัพรถยนต์ไฟฟ้าสามารถประสบความสำเร็จได้ แม้จะต้องเผชิญกับอุปสรรคมากมาย ทำให้ในเวลานี้ บริษัท Rivian มีมูลค่าตลาดของบริษัทอยู่ที่ 18.70 พันล้านดอลลาร์ และมูลค่าตลาดเคยขึ้นสูงสุดอยู่ที่ 127.28 พันล้านดอลลาร์ ณ วันที่ 13/11/2564 มีรายได้อยู่ที่ 2.98 พันล้านดอลลาร์ ทำให้เวลานี้ Rivian คือเบอร์ 5 ด้าน ตลาดผู้ผลิตเฉพาะรถยนต์ EV และเป็นอันดับ 889 บริษัทที่มีมูลค่ามากที่สุดในโลก สำหรับราคาหุ้นของ Rivian ในปัจจุบันอยู่ที่ $ 19.73 USD ณ วันที่ 10/12/2566

ราคาหุ้นสูงสุด 172.01 USD ในที่ 27/08/2564
ราคาหุ้นต่ำสุด 12.00 USD ในที่ 10/09/2566
ปัจจุบัน Rivian สำนักงานใหญ่ อยู่ที่เมืองเออร์ไวน์ รัฐแคลิฟอร์เนีย โรงงานผลิต ตั้งอยู่ที่เมืองนอร์มัล รัฐอิลลินอยส์ สหรัฐอเมริกา นอกจากนี้ยังมีการร่วมลงทุนกับ Mercedes-Benz เพื่อร่วมลงทุนในการผลิตรถตู้ไฟฟ้าในยุโรป เนื่องจาก Amazon ทำการสั่งซื้อรถตู้ส่งของไฟฟ้าจาก Rivian จำนวนมากถึง 100,000 คัน ซึ่งถือเป็นสัญญาที่ใหญ่ที่สุดในอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า การที่ Rivian สามารถผลิตรถตู้ส่งของไฟฟ้าให้กับ Amazon ได้สำเร็จ จะช่วยเพิ่มยอดขายและรายได้ของบริษัทได้อย่างมาก
านเท่าไรแล้วที่เราเพิ่งเริ่มรู้สึกว่างานจัดแสดงยานยนต์ระดับโลกมีความน่าตื่นเต้นมากยิ่งขึ้นหลังจากผ่านพ้นวิกฤตเศรษฐกิจ Hamburger Crisis ทำเอาบริษัทรถยนต์ต่าง ๆ เสียผู้เสียคนจนต้องระงับการจัดแสดงรถยนต์เท่าที่พวกเขากระทำได้เพื่อรักษาเสถียรภาพทางการเงินสุดฤทธิ์สุดเดช ทำให้งานแสดงรถยนต์ระหว่างช่วงปลายปี 2008-2009 ค่อนเงียบสงัด บรรยากาศไม่ครึกครื้นเหมือนกับช่วงระหว่างปี 2002-2007 เลยแม้แต่นิดเดียว

หลังจากผ่านพ้นวิกฤตเศรษฐกิจไปแล้วถึง 2 ปีเต็ม ค่ายรถยนต์ต่าง ๆ เริ่มกล้าเปิดงบประมาณส่งรถยนต์รุ่นใหม่ ๆ สำหรับการจัดกิจกรรมงานแสดงรถยนต์มากขึ้นเพียงแต่ ผลลัพธ์ชัดเจนกลับค่อย ๆ ปรากฏอย่างช้า ๆ แม้กระทั่งงาน Geneva Motorshow 2010 เดือนมีนาคมที่ผ่านมาที่ถือว่าครึกครื้นระดับหนึ่ง หลังจากนั้นงานมอเตอร์โชว์ทั่วโลกพากันครึกครื้นพร้อมกันชนิดไม่มีปี่มีขลุ่ย คาดการณ์กันว่าผู้บริโภคเริ่มมั่นใจกับความเสถียรภาพของเศรษฐกิจจึงเริ่มออกมาดูงานเทศกาลเหล่านี้และกล้าจับจ่ายใช้สอยมากขึ้น โดยเฉพาะประเทศจีนที่คึกคักราวกับไม่โดนพิษเศรษฐกิจเล่นงานใด ๆ เลย

แล้วยิ่งงานแสดงรถยนต์ที่อยู่ช่วงปลายถึงสิ้นปี 2010 แล้วล่ะก็ความคักคักก็ยิ่งบังเกิดขึ้นอีกขั้น เพราะนี่คือช่วงเวลาที่ดีที่สุดในการอวดโฉมรถยนต์รุ่นใหม่ ๆ ก่อนใครในโลกเพื่อเตรียมตัวทำตลาดกันในช่วงปีหน้า ดังนั้น งานที่ได้รับอานิสงค์ความคึกคักนี้คงหนีไม่พ้นงาน Paris Motorshow 2010 เมืองน้ำหอมฝรั่งเศส

Paris Motorshow เป็นงานจัดแสดงรถยนต์ประจำทุก 2 ปีเหมือนกับงาน Tokyo Motorshow, Frankfurt Motorshow และ Auto Expo India ความสำคัญของงานแสดงรถยนต์ลักษณะนี้ไม่แตกต่างกันมากขึ้นอยู่กับวาระและโอกาสมากกว่า บางปีจะมีรถยนต์ใหม่และรถต้นแบบอวดโฉมกันคับคั่ง บางปีก็มีความรู้สึกกร่อย ๆ บ้าง

แต่สำหรับงาน Paris Motorshow 2010 คำว่ากร่อยนั้นลืมไปได้เลยเพราะมีรถยนต์มาให้ชาวยุโรปยลโฉมมากถึง 300 คันจาก 20 ประเทศ อีกทั้งยังมีรถยนต์ และยานพาหนะอื่น ๆ เปิดตัวครั้งแรกในโลกที่งานนี้มากถึง 30 รุ่นเลยทีเดียว

ความน่าสนใจของรถยนต์ที่มาอวดโฉมในงานก็คือล้วนเป็นรถยนต์อนุรักษ์สิ่งแวดล้อมหรือประโคมจุดเด่นเทคโนโลยีเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมกันแทบทั้งนั้น แม้กระทั่งค่ายรถสปอร์ตระดับพระกาฬยังต้องตามเทรนด์กับเขาด้วยเช่นกัน

หากเอารถสปอร์ตพลังสีเขียวมาโชว์น่ะไม่เท่าไร แต่จำนวนรถยนต์ที่มาโชว์น่ะ? มันเยอะมากมายก่ายกองจนเราคิดว่านี่มันดงรถสปอร์ตกันชัด ๆ พาลทำให้เราแอบคิดไปว่านี่พวกเขาเอาเงินพัฒนารถสปอร์ตเยอะ ๆ มาจากไหนกันหนา?

Aston Martin

Aston Martin ส่งรถสปอร์ต 2 รุ่นใหม่ให้เศรษฐีกระเป๋าหนักยลโฉมนั่นก็คือ Aston Martin One-77 รถพิเศษสำหรับคุณคนพิเศษที่รักความเร็วด้วยขุมพลังเครื่องยนต์บล๊อก V12 ความจุ 7.3 ลิตร ให้กำลังมากถึง 750 แรงม้า (BHP) แรงบิดสูงสุด 75.75 กิโลกรัมเมตร Aston Martin เคลมว่าจัดเป็นเครื่องยนต์ไร้ระบบอัดอากาศที่มีพละกำลังแรงที่สุดเท่าที่เคยพบเห็นบนโลกใบนี้ จนสามารถวิ่งความเร็วสูงสุดถึง 355 กิโลเมตรต่อชั่วโมง

ความพิเศษของ Aston Martin One-77 คือจำนวนการผลิตที่มีจำกัดเพียงแค่ 77 คันในโลกนี้เท่านั้น น่าจะเหมาะกับเศรษฐีนักเล่นของเล่น

ส่วนอีกคันคือ Aston Martin Vantage N420 Roadster เป็นรถสปอร์ตเปิดประทุนที่มีการพัฒนาต่อเนื่องจาก Vantage N420 คูเป้ที่เคยอวดโฉมในช่วงเดือนกรกฎาคมปีนี้ สามารถลดน้ำหนักตัวลงได้ 27 กิโลกรัมเมื่อเทียบกับตัวถังคูเป้ ต้องขอบคุณวัสดุคาร์บอนไฟเบอร์ประกอบไปตามส่วนต่าง ๆ ของรถ

ภายในห้องโดยสารมาในชุด Iridium Package และยังสามารถเลือกวัสดุหุ้มพวงมาลัยได้ทั้งหนังแท้และ Alcantara รวมถึงประทับแผงห้องโดยสารด้วยกราไฟต์ ขุมพลังใช้เครื่องยนต์ตัวเดียวกับตัวถังคูเป้ด้วยเครื่องบล๊อก 4.7 ลิตร 420 แรงม้า (HP) อัตราเร่งจาก 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงภายใน 4.5 วินาที

Audi
กลายเป็นค่ายรถยนต์เยอรมันระดับหรูที่น่าจับตามองมากที่สุดในงาน Paris Motorshow 2010 กันไปแล้ว เพราะพี่แกเล่นเปิดตัวรถยนต์ใหม่และรถต้นแบบชนิดเบียดบังรัศมีค่าย Mercedes-Benz และ BMW จนแทบจะแทรกแผ่นดินหนีกันไปไกลเลย

โดยส่วนตัวผมว่าไม่แปลกใจเท่าไรที่บูธ Audi จะเนืองแน่นไปด้วยรถยนต์รุ่นใหม่นานาสารพัดชนิด ไล่ตั้งแต่รถยนต์ตลาดที่เก็บของดีมาอวดในงานนี้โดยเฉพาะนั่นก็คือ Audi A1 1.4 TSI เครื่องแรงที่กล้าพลิกโผนึกว่าจะเป็น Audi S1 ตามที่เป็นข่าว มันเป็นแค่เพิ่มทางเลือกเครื่องยนต์บล๊อก 1.4 ลิตร TFSI ยอดนิยมในเครือ Volkswagen Group ลงในเรือนร่าง A1 รุ่นธรรมดา เน้นเวอร์ชันแรงที่สุด 185 แรงม้า (PS) แรงบิดสูงสุด 25.25 กิโลกรัมเมตร จับคู่เกียร์อัตโนมัติคลัทช์คู่ Audi Tiptronic 7 จังหวะ

แต่ใช่ว่าจับเครื่องยนต์พลังแรงสูงเป็นอันจบกัน Audi ไม่ทำให้คุณผิดหวังเช่นเคยด้วยการตบแต่งรายละเอียดตัวรถให้แตกต่างจากรุ่นพื้นฐานบ้าง อาทิ ชุดกันชนหน้าใหม่ที่เปลี่ยนรายละเอียดช่องดักลมซ้าย-ขวา, เพิ่มสันคมเหนือช่องดักลมซ้าย-ขวา, เปลี่ยนสีพ่นขอบเสาหลังคาจากสีเทากลายเป็นสีดำ เป็นต้น

ใครที่แอบสงสัยว่า Audi ถึงไม่ใช้ชื่อ S1 เสียทีเราคงต้องบอกได้แค่เพียงว่า เมื่อไรที่ Audi คิดนำระบบขับเคลื่อนสี่ล้อติดตั้งใน A1 ได้แล้วล่ะก็มันจะถูกเปลี่ยนชื่อเป็น S1 โดยพลัน

Audi A7 Sportback รถซีดานคูเป้กึ่งแวกอนแนวใหม่เพื่อท้าชิงตลาดกับ Mercedes-Benz CLS โฉมใหม่ในงานนี้กันตรง ๆ งานนี้ถือว่าสนุกกว่าที่เราคาดคิดทีเดียว จุดเด่นของ Audi A7 นอกจากรูปลักษณ์ที่ปราดเปรียวเหมือนรถสปอร์ตคูเป้แล้วมันยังมีเนื้อที่ใช้สอยเหมือนกับรถซีดานหรูทั่วไป ผิดกับคู่แข่งที่เน้นความสปอร์ตมากจนเกินไป เรียกว่าทางใครทางมันดีกว่า

สไตล์ของมันเป็นการผสมผสานระหว่างรถสปอร์ตในค่ายของตนเองอย่าง R8 และผสมผสานกับความหรูหราระดับสุดยอดแบบ A8 ไม่พอมันยังผสมกับรถแนวแวกอนปั่นเข้าไปด้วยกันจึงออกมาเป็น Audi A7 Sportback ที่ทุกท่านเห็น

เครื่องยนต์ Audi A7 Sportback ก็มีให้เลือกทั้งเครื่องยนต์เบนซินและเครื่องยนต์ดีเซล 4 สเปค ไล่ความแรงตั้งแต่ 204 แรงม้า (HP) จนถึง 300 แรงม้า (HP) โดยเฉพาะยนต์ใหม่ที่ Audi ภูมิใจนำเสนอคือเครื่องยนต์ดีเซล 3.0 ลิตร TDI 204 แรงม้า (HP) จิบน้ำมันแค่เพียง 18.86 กิโลเมตรต่อลิตร ปล่อยค่าไอเสีย CO2 เพียง 139 กรัมต่อกิโลเมตร

อุปกรณ์อำนวยความสะดวกก็ติดตั้งมาให้ครบครันสมกับเป็นรถระดับบน อาทิ รองรับการเชื่อมต่อเครือข่ายโทรศัพท์ 3G UMTS, WLAN Hotspot พร้อมชุดเครื่องเสียง Bang & Olufsen กำลังขับ 1,300 วัตต์ ลำโพง 15 จุดรอบคัน รวมไปถึงระบบทำความอบอุ่นบริเวณพวงมาลัย

Audi Quattro Concept รถต้นแบบเพื่อเฉลิมฉลองครบรอบ 30 ปีแห่งการก่อตั้งระบบขับเคลื่อนสี่ล้อตลอดเวลาอันเลื่องชื่อนามว่า Quattro แต่ใช่ว่ารถต้นแบบคันนี้จะมาแค่เฉลิมฉลองเท่านั้นแต่ดูเหมือนมันจะบอกนัยยะสำคัญของรถยนต์ Audi รุ่นต่อไปได้อีกด้วย ว่ากันว่าน่าจะเป็น R4 ตามที่เคยมีข่าวลือกัน

Audi Quattro Concept ติดตั้งเครื่องยนต์ 5 สูบ 2.5 ลิตรเทอร์โบชาร์จให้กำลัง 408 แรงม้า (PS) แรงบิดสูงสุด 48.48 กิโลกรัมเมตร เครื่องแรงขนาดนี้อัตราเร่งน่าจะดีมากแถมรถต้นแบบคันนี้ยังมีน้ำหนักเบาแค่ 1,300 กิโลกรัมจึงไม่แปลกใจเลยว่าอัตราเร่งจาก 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงจะทำได้ภายในแค่ 3.9 วินาทีเท่านั้น

Audi e-Tron Spyder Concept น่าจะเป็นรถต้นแบบที่ใช้พื้นฐานจาก Quattro Concept อีกต่อหนึ่งเพียงแต่ใช้ขุมพลัง Hybrid ประกอบด้วยเครื่องยนต์สันดาปภายในดีเซล V6 TDI 300 แรงม้าผนึกกับมอเตอร์ไฟฟ้า 2 ตัวแยกอิสระ

Bentley
แม้จะมีรถรุ่นใหม่แค่รุ่นเดียวแต่ก็ยังฮึดอวดโฉมในงานนี้กับเขาบ้างด้วย Bentley Continental GT รุ่นปรับโฉมไมเนอร์เชนจ์เพิ่มความไฉไลทันสมัย จนเราแอบรู้สึกว่ามันก็ดูบ้องแบ๊วดีไม่น้อยเหมือนกัน การตกแต่งภายนอกดูบึกบึนและทรงพลังมากขึ้น มีการออกแบบไฟหน้า, กระจังหน้า รวมไปถึงกันชนพร้อมช่องรับลมด้านล่างใหม่ มีไฟสำหรับวิ่งใช้งานตอนกลางวันหรือ Daytime Running Light แบบ LED ล้อมรอบไฟหน้าดวงใหญ่ ด้านท้ายยังออกมาในรูปแบบที่คล้ายคลึงกันรุ่นที่แล้ว
แต่ในส่วนของไฟท้าย ได้รับอิทธิพลมาจากพี่ใหญ่ร่วมค่ายอย่าง Bentley Mulsanne เต็มๆด้วยไฟรูปเกือกม้าสองชั้น

Bentley Continental GT ใหม่ มาพร้อมกับการตกแต่งที่หรูหราที่ก็ยังแฝงไปด้วย ความสปอร์ต มาพร้อมกับอุปกรณ์อำนวยความสะดวกครบครัน เริ่มตั้งแต่ จอแสดงผลขนาด 8 นิ้ว พร้อมฟังก์ชันการ ทำงานและบอกรายละเอียดต่างๆของตัวรถ รวมไปถึงระบบแผนที่นำทางผ่านดาวเทียม และยังมีแผนที่จาก Google Maps ให้อีกด้วย เบาะนั่งหนังแท้สีเบจทรงกึ่งสปอร์ต พื้นที่ภายในกว้างขวางพอที่จะนั่งได้สำหรับผู้ใหญ่ 4 คน แดชบอร์ดตกแต่งด้วยหนังแท้สีเบจและดำ สลับกับลายไม้อันสุดแสนจะคลาสสิค เอกลักษณ์เฉพาะตัวของ Bentley

ขุมพลังแรงสะใจด้วยเครื่องยนต์เบนซิน W12 6.0 ลิตร ทวินเทอร์โบ 567 แรงม้า แรงบิดสูงสุดมากถึง 700 นิวตันเมตร พ่วงด้วยเกียร์อัตโนมัติ 6 จังหวะแบบ Quickshift จาก ZF ที่มีอัตราทดสั้น อัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมง อยู่ที่ 4.6 วินาที ความเร็วสูงสุดสูงถึง 318 กิโลเมตรต่อชั่วโมง

BMW
ดูเหมือน BMW ไม่ค่อยฟิตเปรี๊ยะกับการอวดรถใหม่ในงานนี้เสียเท่าไรเลย ราวกับว่าเก็บของดีทีเด็ดกว่านั้นไว้อวดกันตอนหลังก็ยังไม่สาย แต่อย่างน้อยก็ยังมีรถต้นแบบ BMW 6-Series Coupe Concept แค่ชื่อก็บ่งบอกแล้วว่านี่คือหน้าตา 6-Series ตัวต่อไป รวมถึงเป็นแม่แบบให้กับรถยนต์ซีดานคูเป้รุ่นใหม่ที่จะมาท้าชน Mercedes-Benz CLS จัง ๆ ภายในปี 2012 ซึ่งถือว่า BMW เดินเกมบุกตลาดซีดานคูเป้ช้ากว่าที่คิด

ดีไซน์ตัวรถมีความรู้สึกว่า BMW กำลังจะนำพา 6-Series ตัวต่อไปเข้าไปสู่ยุคความเป็น BMW แบบที่เคยเป็นมาคือมีความคลาสสิคในแบบฉบับของตนเองผสมอยู่ น่าเสียดายที่รายละเอียดรถต้นแบบคันนี้น้อยเกินไปนัก คงทำได้แต่เพียงแค่ชมภาพไปพลาง ๆ ครับ

Chevrolet
Chevrolet ไปรับประทานอุ้งเท้าหมีถึงได้มีพลังล้านเจ็ดแคลเลอรี่ทุ่มเปิดตัวรถยนต์กันมากถึง 4 รุ่นพร้อมกันในงานเดียวโดยไม่เกรงกลัวหน้าอินทร์หน้าพรหมใด ๆ กันแบบนี้ คาดว่า GM บริษัทแม่อยากจะให้ชื่อ Chevrolet ในยุโรปและตลาดโลก Top Form ขึ้นมาอีกระดับหนึ่ง

Chevrolet Aveo โฉมใหม่ล่าสุดมีรหัสพัฒนา T300 ถูกออกแบบขึ้นมาเพื่อเอาใจตลาดกลุ่มซับคอมแพคท์แนวสปอร์ต 100% ชนิดไม่เหลือเผื่อแผ่ให้กับกลุ่มลูกค้าครอบครัวเลย คาดว่า Chevrolet อยากจะยกระดับภาพลักษณ์รถเล็กธรรมดาให้กลายเป็นแนวเร้าใจมากขึ้น จะว่าไปรถเล็กยุคใหม่มีแต่แนวสปอร์ตมากเสียจนเกร่อในท้องตลาดพอสมควรเลย

จุดเด่นนอกจากดีไซน์ดุดันเร้าใจแล้ว Chevrolet ยังกล้าเคลมอีกด้วยว่า Aveo โฉมใหม่ยังมีระบบบังคับควบคุมและการทรงตัวดีเยี่ยมลำดับต้น ๆ ของตลาดเลยทีเดียว ลูกค้าชาวไทยที่รอคอยอาจจะต้องรอประมาณปีหน้าครับ

Chevrolet Captiva Minorchange ปรับโฉมด้านหน้าใหม่ทั้งหมดถอดรูปลักษณ์ความแข็งแกร่งมาจาก AVEO Hatchback รุ่นใหม่ล่าสุดอันเป็นสไตล์ของ Chevrolet ยุคล่าสุด เพียงแต่ Captiva จะไม่ดุกร้าวเหมือนกับรถรุ่นน้องแน่นอน

ภายในห้องโดยสารก็จะถูกปรับปรุงพื้นผิวสัมผัสวัสดุทั้งด้านความสวยงามเมื่อมองด้วยตาเปล่าและให้ความรู้สึกที่ดีขึ้นเมื่อใช้นิ้วสัมผัส ไล่ตั้งแต่เปลี่ยนผ้าหุ้มเบาะใหม่ทั้งคันให้ความหรูหราเพิ่มขึ้น, เปลี่ยนไฟแบ๊คไลท์ไปเป็นสีฟ้าอ่อนดูทันสมัยขึ้น นอกจากนี้ยังเพิ่มการเชื่อมต่อกับอุปกรณ์เครื่องเล่นเพลงพกพาผ่านช่อง AUX, USB และการเชื่อมต่อมือถือด้วย Bluetooth ก็นับว่า Chevrolet ทราบจุดอ่อน Captiva รุ่นปัจจุบันนี้ดีเอามาก ๆ จึงหาทางแก้ไขปัญหาจบอย่างรวดเร็ว

ใช่ว่าเปลี่ยนแค่ภายนอกก็แล้วกัน Chevrolet ไม่มักง่ายขนาดนั้นครับ พวกเขาลงทุนเปลี่ยนเครื่องยนต์ใหม่ 3 บล๊อกรวด ได้แก่ เครื่องยนต์เบนซิน V6 3.0 ลิตร 258 แรงม้า (HP) วาล์วแปรผัน VVT ฉีดเชื้อเพลิงตรง ถือว่าแรงใช้ได้ แต่คงไม่แรงเท่า Chevrolet ที่กล้าเคลมว่า Captiva เป็นรถเอสยูวีแรงที่สุดในตลาด

เครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบ 2.4 ลิตร 171 แรงม้า (HP) แม้จะไม่มีรายละเอียดมากนักแต่ก็เชื่อขนมกินได้เลยว่านี่คือเครื่องยนต์บล๊อกใหม่ที่ต้องดีกว่าเครื่อง 2.4 ลิตรชุดเดิมเอามาก ๆ แน่นอนจนเราน่าเชื่อว่านี่ล่ะคือวิธีการกำจัดจุดอ่อนที่ดีที่สุดเท่าที่มีใน Captiva รุ่นปัจจุบัน และสุดท้ายเครื่องยนต์เบนซิน 2.0 ลิตร มีให้เลือก 163 และ 184 แรงม้า (HP)

Chevrolet Cruze Hatchback เกิดมาเพื่อป้อนตลาดยุโรปโดยเฉพาะ ถูกออกแบบครึ่งคันหลังเสียใหม่ให้แตกต่างจากเวอร์ชันซีดานโดยไม่มีการนำชุดชิ้นส่วนประตูคู่หลังของตัวถังซีดานมาใช้ อารมณ์โดยรวมดูคล้าย ๆ กับรถ Seat บางรุ่นไม่น้อยการเผยตัวของ Cruze Hatchback นอกจากจะช่วยทำให้ชื่อ Cruze แข็งแกร่งในตลาดโลกมากขึ้นแล้วยังทำให้ GM Europe มีโอกาสคว้ายอดขายในตลาดรถคอมแพคท์ท้ายตัดที่มีส่วนแบ่งการตลาดมากถึง 65% ของตลาดรถคอมแพคท์รวมในยุโรป

สุดท้าย Chevrolet Orlando มินิแวน 7 ที่นั่งรูปร่างหน้าตาถอดแบบมาจากรถต้นแบบไม่ผิดเพี้ยน รถคันนี้ทำหน้าที่อุดช่องว่างตลาดรถมินิแวน 7 ที่นั่งขนาดคอมแพคท์ที่ Chevrolet กำลังขาดแคลนอยู่ แต่เชื่อว่ารถคันนี้ไม่น่าจะวางจำหน่ายในหลาย ๆ ประเทศ

Chevrolet Orlando เครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบ 1.8 ลิตร 141 แรงม้า เครื่องยนต์ดีเซล 4 สูบ 2.0 ลิตร 131 แรงม้า และเครื่องยนต์ดีเซล 4 สูบ 2.0 ลิตร 163 แรงม้า ส่วนระบบส่งกำลัง คาดว่าจะใช้ระบบเกียร์อัตโนมัติ 6 จังหวะ เป็นอุปกรณ์มาตรฐาน นอกจากนี้ ลูกค้ายังสามารถเลือกขนาดล้อระหว่างล้อ 16 และ 18 นิ้วได้อีกด้วย

Citroen
น่าแปลกที่รถยนต์แบรนด์ประจำเจ้าถิ่นแบรนด์นี้กลับไม่ค่อยมีรถยนต์รุ่นใหม่ ๆ หรือรถต้นแบบจำนวนมากอวดโฉมในงานนี้ปล่อยให้ Renault รุกอวดโฉมท้าทายแสงแฟลชไม่ยั้ง จนแอบสงสัยว่า Citroen น่าจะมีแอบซุ่มอะไรอยู่หรือเปล่า?

Citroen DS4 รถคอมแพคท์กึ่งแมสกึ่งหรูสานต่อความสำเร็จระดับหนึ่งจากเจ้า DS3 เมื่อพิจารณาดูรูปโฉม DS4 แล้วก็สรุปได้ว่าใช้ครึ่งคันหน้าและแผงคอนโซลร่วมกับ C4 แต่ออกแบบบั้นท้ายให้ดูกลมมนสวยมีเสน่ห์แตกต่างกันไป

Citroen Picasso Minorchange ถูกปรับปรุงรายละเอียดชุดกันชนหน้าเสียใหม่ด้วยการถอดชิ้นส่วนตะแกรงช่องดักลมให้เป็นช่องเปล่าเปลือย ยกเว้นช่องดักลมใต้โคมไฟหน้าจะใช้พลาสติกปิดพรางเอาไว้ จุดเด่นสำคัญคือการติดตั้งหลอดไฟ Daylight แบบ LED ติดตั้งบริเวณกันชนหน้าอีกด้วย หากสังเกตดี ๆ จะพบว่าโลโก้และกระจังหน้าถูกเปลี่ยนแปลงด้วยเช่นกัน

Citroen Lacoste Concept แค่ชื่อหลายคนก็งงว่าไปพ้องต้องกันกับแบรนด์เสื้อผ้าแนว Sportwear ไปได้ยังไงกัน อยากจะบอกว่ารถต้นแบบคันนี้ Lacoste มีส่วนกำหนดแนวคิดการออกแบบร่วมกับ Citroen ในการแสดงวิสัยทัศน์การใช้ชีวิตข้างกลางแจ้งและวันพักผ่อนของคนมีไลฟ์สไตล์ที่ดี ผลจึงออกมาเป็นรถต้นแบบสไตล์เอสยูวีโปร่งโล่ง มีแนวเส้นและสีสันคล้าย ๆ เสื้อผ้า Lacoste ก็ไม่ปาน

Exagon

ชื่อนี้เราก็ไม่คุ้นเคยกันหรอกครับ แต่ไหน ๆ เขาก็มาเปิดรถใหม่ในบูธนี้ถ้าเราข้ามเขาไปเห็นทีจะไม่ยุติธรรมเสียแล้ว ถึงจะเป็นค่ายรถสปอร์ตรายเล็กแต่หัวใจพวกเขาพองโตน่าดูถึงขนาดส่งรถต้นแบบ Furtive e-GT สปอร์ตไฟฟ้าแบบขยายระยะทางได้ รายละเอียดไม่บอกอะไรเลย บอกแค่เพียงอัตราเร่งจาก 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ได้ภายใน 3.5 วินาที ดูแล้ว Spyker อาจมีหนาว

Ferrari

เป็นแบรนด์รถสปอร์ตที่มีของเด็ดเพียงแค่คันเดียวก็สะเทือนไปถึงดวงดาวได้แล้วนั่นก็คือ Ferrari SA Aperta ที่ไม่ใช่แค่รถ Ferrari ในสายการผลิตธรรมดา ๆ แต่เป็นรถสปอร์ตที่ถูกออกแบบโดยทีมงาน Pininfarina เพื่อเป็นเกียรติประวัติเฉลิมฉลองครบรอบการก่อตั้งสำนักออกแบบรถยนต์แห่งนี้นานถึง 80 ปี ติดตั้งเครื่องยนต์ V12 6.0 ลิตร จำนวนจำกัดเพียงแค่ 80 คันเท่านั้น

Fisker

Fisker Karma แทลจะกลายเป็นจุดเด่นพอสมควรเพราะชูประเด็นรถซีดาน Hybrid Fisker ด้วยพลัง Hybrid ระดับเทพ 408 แรงม้า (PS) อัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงทำได้ 5.9 วินาที ความเร็วสูงสุด 200 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ประหยัดน้ำมันสูงสุดถึง 2.4 ลิตรต่อ 100 กิโลเมตร หรือเพียง 42 กิโลเมตรต่อลิตร!! ปล่อยค่าไอเสีย CO2 แค่เพียง 83 กรัมต่อกิโลเมตร

Ford
ค่ายนี้ยังไม่มีของเด็ดมาถล่มตลาดเท่าไรนักคาดว่าคงรอเก็บของดีให้สุกงอมแล้วค่อยปล่อยมาทำตลาดกันทีหลังจะดีกว่า แต่เพื่อมิให้เสียเวลา Ford จึงขอนำเสนอรถรุ่นใหม่เพียงแค่ 2 รุ่นเท่านั้นคือ Ford Focus ST มันก็คือการนำ Ford Focus รุ่นแฮ็ตช์แบ็ค 5 ประตู มาตกแต่งใหม่ในสไตล์สปอร์ตพร้อมตัวถังสีส้มอันสุดแสนจะจี๊ดจ๊าดไม่เกรงใจสายตาชาวบ้าน ในส่วนของเครื่องยนต์ที่นำมาประจำการ จะเป็นเครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบ 16 วาล์ว 2.0 ลิตร EcoBoost ที่ให้พละกำลังมากถึง 250 แรงม้า

Ford Fiesta RS WRC นอกจากมาตอกย้ำความสำเร็จด้านยอดขาย Fiesta ทั่วโลกแล้วยังเป็นการตอกย้ำความสำเร็จของ Fiesta ที่เตรียมลงชิงชัยในสนามแข่ง WRC ภายในปี 2011 อย่างเป็นทางการ ดังนั้น Ford จึงต้องอวดโฉม Fiesta หน้าตาแบบเดียวกับลงสนามแข่งในปีหน้า

Honda
น่าแปลกใจมากที่ค่ายรถยนต์ฝั่งเอเชียไม่ค่อยออกฤทธิ์ในงานนี้มากนัก แต่ก็ยังนับว่ามีของดีปล่อยให้ชาวโลกได้ฮือฮากันไปบ้าง บูธ Honda เตรียมปลุกตลาด Hybrid ขนาดเล็กรายแรกก่อน Toyota ด้วยการส่ง Honda Jazz Hybrid อวดโฉมในงานนี้โดยเฉพาะ

จุดเด่น Honda Jazz Hybrid ก็คือขุมพลัง IMA Hybrid เครื่องยนต์สันดาปภายใน 1.3 ลิตรผนวกกับมอเตอร์ไฟฟ้าที่ยกชุดมาจาก Honda Insight เพียงแต่ว่าราคาของรถคันนี้จะต้องถูกกว่า Insight แน่นอน ให้อัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงเฉลี่ย 4.4 ลิตรต่อ 100 กิโลเมตร ปล่อยค่าไอเสีย CO2 เพียงแค่ 104 กรัมต่อกิโลเมตร

จุดเด่นที่ช่วยเพิ่มความน่าซื้อก็คือยังคงคุณสมบัติการพับเบาะอเนกประสงค์ได้เหมือนกับรุ่นมาตรฐานเช่นเคยด้วยระบบเบาะพับได้ Magic Seat เพราะ Honda สามารถจัดสรรการวางแบตเตอรี่ได้ดีเยี่ยมนั่นเอง

Hyundai
ปีนี้ดูเหมือนว่าฟอร์ม Hyundai ไม่ได้โดดเด่นไปกว่าค่ายรถญี่ปุ่นเท่าใด คาดว่าคงเก็บของเด็ดเอาไว้ช่วงต้นปีหน้า แม้งานนี้จะมีรถใหม่ 2 รุ่นส่งลงมาเปิดตัวแต่ก็เป็นรถรุ่นไมเนอร์เชนจ์ 1 คันและรุ่นใหม่ที่ไม่ใช่ตลาดใหญ่มาก ๆ เหมือนกับรถแฮทช์แบคแต่ก็ดูวี่แววแล้วมีโอกาสขยายตัวได้อีกมาก 1 คัน

Hyundai i10 Minorchange ปรับโฉมหน้าตาโฉบเฉี่ยวตามรุ่นพี่ Elantra และ Accent เวอร์ชันรัสเซียไปติด ๆ เพื่อแสดงออกถึง New DNA การออกแบบใหม่ทั้งหมด แม้ว่ารูปทรงตัวถังยังคงความ “บ้าน ๆ “ ไม่ได้มีความสปอร์ตอะไรนักก็อย่าตกใจเพราะมันเป็นรถที่ถูกพัฒนามาตั้งแต่กลางยุค 2000 แล้ว

จุดเด่นสำคัญมิใช่เพียงหน้าตาที่ดูโฉบเฉี่ยวเท่านั้น แต่ยังบรรจุเครื่องยนต์ 3 สูบ 1.0 ลิตร ปั่นกำลังได้ 68 แรงม้า (HP) แถมยังปล่อยค่าไอเสีย CO2 ต่ำกว่า 100 กรัมต่อกิโลเมตร

Hyundai ix20 มินิแวนหน้าตาคุ้น ๆ หากใครติดตามข่าวสารบ่อย ๆ ก็พอทราบว่ารถคันนี้นำพื้นฐาน Kia Venga มาดัดแปลงในสไตล์ Hyundai

จุดต่างของ Hyundai ix20 นอกจากภายนอกเล็กน้อยแล้วก็ยังเปลี่ยนแปลงรายละเอียดห้องโดยสารให้แตกต่าง อย่างเห็นได้ชัดด้วยการเปลี่ยนรายละเอียดแผงคอนโซลหน้ายิบย่อยหลายจุด, เปลี่ยนชุดพวงมาลัยแบบ Hyundai รวมไปถึงออกแบบแผงข้างประตูใหม่ทั้งหมด

มี ให้เลือกเครื่องยนต์เบนซินและดีเซล 1.4 ลิตร 90 แรงม้า (PS) ซึ่ง Hyundai อ้างว่าประหยัดน้ำมัน 4.1 กิโลเมตรต่อลิตร ปล่อยค่าไอเสีย CO2 114 กรัมต่อกิโลเมตร และเครื่องเบนซิน 1.6 ลิตร 127 แรงม้า (PS) ทุกรุ่นติดตั้ง ESP และระบบ Start-Stop

Jaguar

รถยนต์หรูระดับ Super High-End ส่วนใหญ่มักเน้นความหรูหรามีระดับ สนใจแต่ Performance เครื่องยนต์ที่แรง แต่ไม่คำนึงถึงความประหยัดและสิ่งแวดล้อมเลยแม้แต่น้อย แหมชักจะปรามาสกันมากไปแล้ว Jaguar เลยจัดการส่ง C-X75 ถือเป็นรถระดับ SuperCar Top Of The Line สืบสานตำนาน Jaguar XJ220 ที่ถูกยกเลิกในปี 1994

ความโดดเด่นของ Jaguar C-X75 นอกเหนือจากดีไซน์สไตล์รถแข่งผสมกับความไฮโซแล้ว สมรรถนะของมันก็โดดเด่นมาก ๆ แต่ยังอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมไปในตัว เพราะมันรถไฟฟ้าชนิดติดตั้งเครื่องยนต์เล็กขยายระยะทาง ด้วยขุมพลังมอเตอร์ไฟฟ้าแยกอิสระ 4 ตัวผนวกกำลังรวมกันได้ถึง 778 แรงม้า (HP)!!! พร้อมเครื่องยนต์สันดาปภายในขนาดเล็กที่ช่วยยืดระยะทางการวิ่งสูงสุด 900 กิโลเมตร

สมรรถนะของมันก็สุดยอดเอามาก ๆ สามารถไต่ความเร็วจาก 0-100 กิโลเมตรต่อชัวโมงภายในแค่ 3.4 วินาที ความเร็วสูงสุด 330 กิโลเมตรต่อชั่วโมง โดยรวมถือเป็นรถที่สุดยอดมาก ๆ จน Ferrari ต้องม้วนอายหนีแทบไม่ทัน เราเชื่อว่านี่แหล่ะรถยนต์ที่จะมาฟื้นชื่อเสียง Jaguar ยุคใหม่อีกครั้งหนึ่ง

Kia
นี่ก็เป็นค่ายรถฝั่งเอเชียที่ไม่มีอะไรจะอวดโฉมมากนักคงมีเพียงแค่รถต้นแบบน่ารัก ๆ ตามเทรนด์ K-Wave ที่บุกทะลวงตีประตูหลังบ้านเราหนักเหลือเกิน รถคันนี้มีชื่อว่า Kia Pop ตั้งชื่อง่าย ๆ แบบนี้ แต่ดูตัวรถแล้วจะให้ผลิตจริงก็ยากอยู่

Kia Pop จัดเป็นรถต้นแบบรถไฟฟ้าขนาดเล็กที่เหมือนนำแคปซูลขนาดยักษ์มาเป็นแรงบันดาลใจในการออกแบบ จุดเด่นของมันอยู่ที่ดีไซน์รถแนวน่ารักแบบเกาหลี แต่ไม่น่าเชื่อว่าจะเป็นหัวหน้าทีมออกแบบฝรั่งที่ชื่อ Mr. Gregory Guillaume

ขุมพลังมอเตอร์ไฟฟ้ามีพละกำลัง 68 แรงม้า (PS) แรงบิดสูงสุด 19.19 กิโลกรัมเมตร ความเร็วสูงสุด 140 กิโลเมตรต่อชั่วโมง พ่วงกับแบตเตอรี่ลิเธี่ยมโพลิเมอร์บางเฉียบน้ำหนักเบา มีระยะทางวิ่งมากถึง 160 กิโลเมตร

Lamborghini

Lamborghini คงจะพยายามทำรถสปอร์ตให้เป็นปัจจัย 6 ของชีวิตหรือเปล่าน้า ถึงได้ตั้งชื่อรถคันนี้ว่า Sixth Element หรือชื่ออย่างเป็นทางการจากบริษัทที่ส่งให้กับนักข่าวคือ Sesto Element จุดเด่นของรถคันนี้คือโครงสร้างตัวถังเทคโนโลยีคาร์บอนไฟเบอร์ล้ำสมัยมาก ๆ จึงมีน้ำหนักเบาระดับเทพเพียงแค่ 999 กิโลกรัม จะเรียกว่าเบาพอ ๆ กับ Nissan March เลยก็ว่าได้

ส่วนเครื่องยนต์ไม่เบาแรงแน่นอน เพราะพกพาเครื่องบล๊อก V10 5.2 ลิตร ที่เคยติดตั้งใน LP 570-4 Superleggera ให้พละกำลัง 570 แรงม้า (PS) แบกน้ำหนัก 1 แรงม้าต่อตัวเฉลี่ยแค่ 1.75 กิโลกรัม อัตราเร่งจาก 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง เทพมาก ๆ ครับทำได้เพียง 2.5 วินาที ความเร็วสูงสุดมากกว่า 300 กิโลเมตรต่อชั่วโมง

Land Rover/Range Rover

นี่น่าจะเป็นไฮไลต์เด็ดหลังจากโดนกลุ่ม Tata Motor ถือหุ้นกิจการเบ็ดเสร็จแล้วก็เดินหน้าพัฒนาและผลิตรถเอสยูวีขนาดย่อมนามว่า Range Rover Evoque เปิดตัวในงานนี้มีใช่จะมีเพียงแค่เวอร์ชัน 3 ประตูเท่านั้น แต่ยังมีเวอร์ชัน 5 ประตูมาร่วมแจมอีกด้วย

Range Rover Evoque เป็นน้องเล็กสุดในกลุ่มตลาดเอสยูวีหรูขนาดเล็กที่ยังไม่มีคู่แข่งรายใดเจาะ ตลาดเข้าไป คงจะต้องรออีก 1-2 ปีถึงจะมีการแข่งขันการตลาดที่รุนแรงขึ้นตามภาวะความต้องการรถยนต์นั่งขนาด เล็ก ในเมื่อเป็นน้องเล็กตัวเก่งล่าสุด มันก็ต้องมีคุณสมบัติเป็นรถเล็กที่สุด, ประหยัดน้ำมันที่สุด, เบาที่สุดเท่าที่ Range Rover เคยผลิตมา

แรงจัดประหยัดสุดด้วยเครื่องยนต์ 2.0 ลิตร เทอร์โบชาร์จ 240 แรงม้า Range Rover อ้างว่าแรงจัดเหมือนเครื่องยนต์ 6 สูบแต่ประหยัดน้ำมันเหมือนเครื่องยนต์ 4 สูบทั่วไป จับคู่เกียร์อัตโนมัติ 6 จังหวะ พร้อมระบบขับเคลื่อนสี่ล้อตลอดเวลา สามารถเลือกสภาพการขับขี่อย่างง่ายด้วยด้วยเทคโนโลยี Land Rover Terrain Response

Lotus
เราอยากจะถามค่ายรถสปอร์ตชื่อดอกบัว(ไม่เกี่ยวกับ Tesco lotus ในบ้านเรา) ค่ายนี้จังว่า นึกเกิดบ้าพลังยังไงถึงเปิดตัวรถใหม่และรถต้นแบบ 5 รุ่นในงานเดียวกัน? ทำอย่างนี้เท่ากับว่าคุณจะมาแข่งกับค่ายรถระดับ Super Niche อย่างเป็นทางการแล้วใช่ไหม?

การอวดโฉมรถใหม่ถึง 5 รุ่นในงานนี้ทำเอาสื่อมวลชนต่างประเทศถึงกับ Shock อย่างมากว่านึกไม่ค่ายรถสปอร์ตเล็ก ๆ อย่าง Lotus จะซุ่มเตรียมการมาดีมากขนาดนี้ พวกเขาเอาเงินทุนพัฒนามาจากไหนกันนะ แต่รับรองได้เลยว่การเปิดฉากครั้งยิ่งใหญ่ของ Lotus ครั้งนี้ค่ายรถระดับ Super Niche ค่ายอื่นอาจมีหนาวหากไม่เร่งพัฒนารถสปอร์ตพลังงานสีเขียวได้ทันท่วงที

Mr.Dany Bahar ผู้ดำรงตำแหน่ง CEO แห่ง Lotus กล่าวไว้ว่านี่ก้าวหน้าใหม่แห่งทศวรรษใหม่ รถทั้งหมดนี้ไม่ใช่เป็นรถแค่อวดโฉมเท่านั้น แต่ทุกคันจะต้องถูกผลิตจำหน่ายในอนาคตข้างหน้า

Lotus Elite Concept มาพร้อมกับแนวคิด “เบากว่า ดีกว่า” ดีไซน์สวยงามเฉียบคมอยู่ในขั้นเทียบกับ Ferrari ได้สบาย ๆ เพียงแต่ Lotus ยังคงรักษาเอกลักษ์เดิมไม่แปรเปลี่ยนนั่นก็คือหยิบยืมเครื่องยนต์กลไกจาก Toyota เช่นเคย

เครื่องยนต์บล๊อกนี้หยิบยืมมาจากรถหรูในเครือ Toyota อย่าง Lexus IS-F V8 5.0 ลิตร ติดตั้งวางกลางลำ ให้กำลัง 611 แรงม้า อัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงต่ำกว่า 4 วินาที แล้วยิ่งผนวกเทคโนโลยี KERS ระบบสำรองพลังงาน ก็ยิ่งทำให้ Lotus Elire Concept น่าใช้เอามาก ๆ

แต่กว่ารถคันนี้จะได้ยโฉมก็ต้องรอถึงปี 2014 และราคาค่างวดหยอดกระปุกไว้เลย 180,000 ดอลลาร์

Lotus Esprit Concept ถือเป็นการปัดฝุ่นชื่อ Esprite ให้อยู่ในความทรงจำอีกครั้งหนึ่งตัวรถก็โตขั้นไปอีกระดับสู่คลาสใหญ่ขึ้น หยิบยืมเครื่องยนต์จาก Lexus IS-F V8 5.0 ลิตร 620 แรงม้า อัตราเร่งจาก 0-100 กิโลเมตรภายใน 3.5 วินาที เปิดตัวภายในปี 2013 ราคา 175,000 ดอลลาร์

Lotus Elise Concept รถสปอร์ตขนาดกะทัดรัด 2 ที่นั่งน้ำหนักเบามาในรูปลักษณ์คมเฉี่ยวผิดกับรุ่นปัจจุบันที่ดู ลิลโล่ สติชไปหน่อย มาพร้อมกับเครื่องยนต์จาก Toyota 4 สูบ 2.0 ลิตร เทอร์โบชาร์จ จับคู่เกียร์ธรรมดา 6 จังหวะ และเกียร์อัตโนมัติ 6 จังหวะพร้อม Paddle Shift อัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงภายใน 4.3 วินาที

Lotus Eterne Concept แค่เห็นแว้บแรกเราก็รู้ว่าคันนี้จะมาแข่งกับ Fisker Karma แน่นอน เพราะมันเป็นซีดานคูเป้ขุมพลัง Hybrid และสามารถข้ามไปต่อกรกับ Porsche Panamera, Aston Martin Rapide

ขุมพลังก็หยิบยืมจาก Lexus IS-F อีกเช่นเคยด้วยเครื่องยนต์บล๊อก V8 5.0 ลิตร 620 แรงม้า ติดตั้งระบบ KERS มีให้เลือกขับเคลื่อนสองล้อและสี่ล้อ อัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงภายใน 4 วินาที

Lotus Elan Concept คอมแพคท์สปอร์ตติดตั้งเครื่องยนต์ Toyota V6 4.0 ลิตร ซูเปอร์ชาร์จ 450 แรงม้า ทำความเร็ว 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง 3.5 วินาที ความเร็วสูงสุด 310 กิโลเมตรต่อชั่วโมง เตรียมตัวเปิดตัวภายในปี 2013

Maserari

Maserati GranTurismo MC Stradale ได้รับแรงบันดาลใจจาก Trofeo GranTurismo MC ซึ่งชนะการแข่งขัน GT4 Motorsport มาแล้ว ดีไซน์ออกมาไม่เพียงออกแบบมาแนวสปอร์ตดุดันอย่างเดียวเท่านั้น แต่ยังออกแบบให้มีความอ่อนช้อยงดงามอีกด้วย

Maserati พรรณนาคุณงามความดีของรถคันนี้ไว้คร่าว ๆ ก่อนที่จะเปิดตัวว่ามันจะมีประสิทธิภาพการขับขี่ที่เฉียบคมดุจใบมีดโกนและ ยังสามารถขับขี่ด้วยความเร็วสูงถึง 300 กิโลเมตรต่อชั่วโมงด้วยขุมพลัง 450 แรงม้า (HP) แต่จะจริงดังว่าหรือไม่คงต้องรอให้เศรษฐีพิสูจน์กันเอาเองครับ คนจนอย่างผู้เขียนคงได้แต่ดูล่ะครับ

Mazda

บูธนี้ก็น่าแปลกใจเล็กน้อยเหมือนกันที่นักข่าวไม่ค่อยลงมาทำข่าวกันเท่าไรจนเราหาภาพความเคลื่อนไหวในงานยากเสียเหลือเกิน อย่างไรก็ตาม Mazda ก็ยังคง Zoom-Zoom ไว้ไม่เสื่อมคลายด้วยการแนะนำ Mazda 5 มินิแวนตัวใหม่ที่นำรุ่นเดิมจับมา Big Minorchange เปลี่ยนเครื่องยนต์เล็กน้อย และที่สำคัญยังเปิดตัวMazda 2 Minorchange ล้าหลังกว่าเมืองไทยถึง 1 ปี !!! ใครที่คิดอิจฉารถเมืองนอกว่าเปิดตัวเร็วกว่าไทยเห็นทีต้องเปลี่ยนความคิดใหม่เสียแล้ว

รถต้นแบบ Mazda Shinari Concept ต้นแบบดีไซน์ DNA ใหม่ด้วยแนวคิดการออกแบบใหม่ที่มีชื่อว่า “Kodo” แปลว่าจิตวิญญาณแห่งการเคลื่อนไหว ฟังเผิน ๆ อาจจะดูคล้ายแนวคิด Nagare ที่มีความพลิ้วไหวจากการขับเคลื่อนแห่งกฏธรรมชาติมากกว่า

Mercedes-Benz

Mercedes-Benz จัดการเผยโฉมหน้า CLS ใหม่ดูแล้วเหมือนนำรถหลาย ๆ รุ่นมาผสมกัน ผลออกมาก็ดูลงตัวน่าสนใจกว่า CLS ตัวที่แล้วพอสมควรเลย ขุมพลัง Mercedes-Benz CLS ใหม่ มาพร้อมกับเครื่องยนต์ทั้งหมด 4 แบบ แบ่งเป็นเครื่องยนต์ ดีเซล 2 แบบได้แก่ ในรุ่น CLS250 CDI BlueEFFICIENCY ใช้เครื่องยนต์ดีเซล 4 สูบ 2,143 ซีซี ให้พละกำลัง 204 แรงม้า และให้อัตราการสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงที่ประหยัดสูงถึง 19.6 กิโลเมตร/ลิตร

และในรุ่น CLS350 CDI BlueEFFICIENCY ใช้เครื่องยนต์ดีเซล 6 สูบ DOHC 2,987 ซีซี ให้พละกำลัง 265 แรงม้า นอกจากนี้ ยังมีเครื่องยนต์เบนซินอีกหนึ่งรุ่น ได้แก่รุ่น CLS350 lueEFFICIENCY ที่ใช้เครื่องยนต์เบนซิน 6 สูบ 3,498 ซีซี ให้พละกำลังมากถึง 306 แรงม้าเลยทีเดียว โดยในช่วงแรกที่ทำตลาด จะทำตลาดในรุ่น CLS350 BlueEFFICIENCY และรุ่น CLS350 CDI BlueEFFICIENCY และภายในอีกสองเดือน จึงจะนำรุ่น CLS250 CDI BlueEFFICIENCY ทำตลาดต่อไป

Mini

อะไรนะ Mini จะทำสกูตเตอร์แข่งกับ Yamaha Fino ลองขยีตาอีกครั้ง มันก็เป็นรถสกูตเตอร์ที่ Mini ออกแบบเองนี่น่ะ แต่ดันออกมาในสไตล์โมเดิร์นคลาสสิกคล้าย Fino, Scoopy-I รถคันนี้ใช้ชื่อว่า Mini Scooter E Concept ใช้ขุมพลังมอเตอร์ไฟฟ้า งานนี้ Mini บังเอิญชนกับ Smart escooter ในงานนี้อย่างจัง

ใช่ว่ามัวแต่ไปขายสกูตเตอร์ Mini เขาก็มีรถยนต์รุ่นตกแต่งพิเศษมาอวดโฉมด้วยนั่นคือ Mini CountryMan WRC ตกแต่งสไตล์รถแข่ง

Nissan/Infiniti
รายนี้ก็ขนเอารถใหม่มาเปิดตัวไม่ขาดสายทั้ง Nissan Leaf, Nissan Juke ที่ยอดจองทะลุทะลวง 2.5 หมื่นคัน, Nissan Micra รถเล็กที่รับรถช้ากว่าประเทศไทยถึง 6 เดือน งานนี้ดูไปดูมาเห็นรถสปอร์ตระดับ Super Car Minorchange กับเขาด้วย

ในที่สุด Nissan ก็เปิดตัว GT-R Minorchange เสียทีหลังจากสร้างกระแสทำเป็นภาพหลุดแต่ก็ไม่ค่อยได้ผลเท่าที่ควร มันเป็นแค่รถรุ่นปรับปรุงโฉมคนก็เลยไม่ได้สนใจมากเท่ากับช่วงเปิดตัวใหม่ รูปร่างหน้าตาถูกปรับปรุงเล็กน้อยด้วยชุดกระจังหน้าและกันชนหน้าใหม่ที่ดูเผิน ๆ เหมือนจะไม่เปลี่ยนแปลงนัก, ติดตั้งไฟส่องสว่างกลางวันแบบ LED

ขึ้นชื่อว่าเป็น Nissan ก็ไม่ละทิ้งตลาดรถไฟฟ้าแน่นอน อุตส่าห์ปั้นโหมโรงร่วมกับ Renault ซะขนาดนี้ จึงไม่แปลกใจนักที่จะเปิดตัวรถไฟฟ้า TownPod รถเก๋งก็ไม่ใช่ แวนก็ไม่เชิง เอสยูวีหรือยิ่งแล้วใหญ่เลย ดีไซน์มองเผิน ๆ เหมือนกับนำ Cube มาผสมกับ Leaf มีจุดเด่นตรงที่ภายในห้องโดยสารใช้งานเป็น Home Office ได้ในตัว

Infiniti ก็ขอส่ง IPL G Convertible มันก็คือ G37 Convertible อัพพลังและจับใส่ชุดแต่งรอบคันพร้อมล้อขนาด 19 นิ้ว

Opel

Opel GTC Concept ใช้โครงสร้างครึ่งคันหน้าร่วมกับ Opel Astra โฉมใหม่แทบจะไม่มีอะไรแตกต่างกันมากนัก ส่วนบั้นท้ายจะถูกออกแบบมาในมาดกึ่ง ๆ คูเป้ท้ายลาด หากพิจารณาดี ๆ มันก็คือ Opel Astra ตัวถัง 3 ประตูที่ทำรูปลักษณ์และใช้ชื่อทางการตลาดว่าเป็นรถคูเป้เหมือนกับฝั่ง Renault ที่พยายามเปลี่ยนตำแหน่งการตลาด Megane 3 ประตูให้กลายเป็นรถตัวถังกึ่งคูเป้ นัยว่าสร้างมูลค่าตลาดและแตกต่างจากตัวถัง 5 ประตูอย่างชัดเจน

รูปทรงตัวถังเปี่ยมไปด้วยความสปอร์ต, ความเรียบง่าย แต่ดูตื่นตาตื่นใจอันเป็นงานออกแบบ Opel DNA ที่อยากจะให้รถยนต์ยุคใหม่กลายเป็นรถในฝันของลูกค้ามากขึ้น

Peugeot

Peugeot 508 รถซีดานขนาด D-Segment ที่ยุบเอา 407 และ 607 มารวมไว้เป็นหนึ่งเดียวกันลดการทำตลาดที่ยุ่งยากและซับซ้อนอีกต่อไป เส้นสายของรถแตกต่างจากรถต้นแบบ 5 By Peugeot มากนัก แต่จุดสังเกตที่รู้สึกว่าแบรนด์ Peugeot เปลี่ยนไปก็คือ Design Language แนวใหม่มาแนวชุดข่องดักลมและกระจังหน้าเป็นชิ้นเดียวกันพร้อมไฟหน้าทรงเรียว ยาวกว่าเดิม แล้วคุณทราบหรือไม่ว่าการเปิดตัว Peugeot 508 ครั้งนี้ยังถือเป็นรถยนต์ฉลองครบรอบ 200 ปีของแบรนด์ Peugeot อีกนะครับ

Peugeot HR1 Concept นี่หรือคือ Nissan Juke Killer? ดูแนวโน้มแล้วก็อาจจะใช่เพราะมันน่าจะออกมาเป็นรถครอสโอเวอร์ระดับซับคอมแพคท์แต่กว่าจะออกมาน่าจะต้องรอถึงปี 2012-2013 ระหว่างที่รอมาดูสเปคกันดีกว่ามันติดตั้งขุมพลัง Hybrid ประกอบไปด้วยเครื่องยนต์สันดาปภายใน 3 สูบ 1.2 ลิตร เทอร์โบชาร์จ 110 แรงม้า ผนวกกับมอเตอร์ไฟฟ้า 37 แรงม้า ประหยัดน้ำมัน 3.5 ลิตรต่อ 100 กิโลเมตร

Peugeot EX1 Concept รถสปอร์ตสองที่นั่งอารมณ์ดิบแต่มีหัวใจรักษ์สิ่งแวดล้อมด้วยขุมพลังมอเตอร์ ไฟฟ้า 100% ไร้เครื่องยนต์สันดาปภายในปล่อยมลภาวะใด ๆ ทั้งสิ้นภายใต้ดีไซน์ตัวถังที่แข็งกร้าวประดุจดั่งรถในฝันของใครหลาย ๆ คน ใช่ว่ารถคันนี้จะออกมาสนองอารมณ์ดิบของทีมวิศวกรเท่านั้น แต่ยังเป็นการเฉลิมฉลองครบรอบ 200 ปีแห่งการก่อตั้งแบรนด์ Peugeot อีกด้วย

Porsche

Porsche 911 GTS เป็นอีกรุ่นย่อยใหม่ล่าสุดในตระกูล 911 จุดเด่นของรถรุ่นนี้อยู่ที่ การปรับปรุงเครื่องยนต์ 3.8 ลิตร ให้แรงขึ้นเป็น 408 แรงม้า (PS) ใกล้เคียงกับ 911 GT3 ทำให้ 911 GTS ถือเป็นรุ่นที่แรงในระดับแถวหน้าของสายพันธุ์ 911 ณ ชั่วโมงนี้ ที่มาพร้อมกับการขยายความกว้าง ตัวถังมากขึ้นอีก 44 มิลลิเมตร ใส่ล้อรุ่น 19 นิ้ว RS Spyder ที่ได้รับการพ่นสีดำและพ่นความเงางามให้ขอบล้อและขอบครีบล้อทั้งวง ส่วนยางรถสำหรับล้อ คู่หน้ามีขนาด 235/35 ZR19 ส่วนล้อคู่ลัง เป็นขนาด 305/30 ZR 19

Porsche 911 Speedster เวอร์ชันพิเศษที่คิดนำชื่อสร้อย Speedster ที่เคยใช้ครั้งแรกกับ Porsche 356 รุ่นปี 1953 อันเป็นสัญลักษณ์รถเปิดประทุนสองที่นั่งสำหรับผู้ถวิลหาอารมณ์สปอร์ตเปิดรับ สายลมสำหรับคนในยุคนั้น

การปรับโฉม Porsche 911 Speedster ก็คือการนำเอาเอกลักษณ์ของ Speedster มาปรับใช้ ได้แก่ กระจกบังลมหน้าสั้นซึ่ง Porsche ก็จับเจ้า 911 เปิดประทุนดัดแปลงกระจกบังลมหน้าให้เตี้ยลง 60 มม., บริเวณเบาะหลังเพิ่มลูกเล่น Twin Bubble หรือลูกนูนขึ้นหลังพนักพิงเบาะทั้งสองตำแหน่ง, เพิ่มความกว้างตัวถังอีก 44 มิลลิเมตร, สาดสีตัวถังภายนอกสีฟ้า Pure Blue

เครื่อง ยนต์กลไกยกมาจาก Porsche 911 วางหลัง บล๊อก 6 สูบ 3.8 ลิตร 408 แรงม้า (HP) เพิ่มแรงม้าจาก Porsche 911 Carrera S อีก 23 แรงม้า มีอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิง 11.66 กิโลเมตรต่อลิตรซึ่งไม่ได้กินน้ำมันไปกว่ารุ่นพื้นฐานเลยแม้แต่น้อย ต้องขอขอบคุณ Porsche Intelligent Performance ที่ช่วยปรับจูนเครื่องยนต์ให้มีประสิทธิภาพได้

Renault

เป็นค่ายรถเจ้าถิ่นที่บ้าพลังพอสมควรเพราะส่งรถต้นแบบมากระตุ้นความสนใจถึง 3 รุ่นด้วยกัน เริ่มจากคันแรก Renault Twizy เวอร์ชัน Production ใกล้เคียงกับความเป็นจริงมากขึ้น ดีไซน์ดูคล้ายรถจักรยานยนต์ 4 ล้อเล็กมีความยาวแค่ 2,320 มม. น้ำหนักเบาเพียง 450 กิโลกรัมรวมน้ำหนักแบตเตอรี่แล้ว ขุมพลังมอเตอร์ไฟฟ้า 20 แรงม้า (PS) แรงบิดสูงสุด 5.7 กิโลกรัมเมตร ความเร็วสูงสุด 75 กิโลเมตรต่อชั่วโมง

แม้ว่าเวอร์ชันขายจริงอาจจะจำกัดความเร็วเพียงแค่ 45 กิโลเมตรต่อชั่วโมงเท่านั้น มีระยะทางวิ่งสูงสุด 97 กิโลเมตร Renault เตรียมวางจำหน่าย Twizy ได้ภายในช่วงปลายปี 2011 ในตลาดยุโรป

Renault Zoe รถต้นแบบที่ว่ากันว่าน่าจะเป็น Clio โฉมใหม่ ขนาดใน Press Release บอกเองเลยว่าเป็นรถไฟฟ้าระดับ B-Segment ก็แทบไม่ต้องเดาแล้วล่ะครับว่าจะต้องเป็นร่างทรง Clio ใหม่ที่จะเปิดตัวในปีหน้า

Renault Zoe ติดตั้งมอเตอร์ไฟฟ้า 80 แรงม้า แรงบิด 22.42 กิโลกรัมเมตร อัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงภายใน 8.1 วินาที ความเร็วสูงสุด 134 กิโลเมตรต่อชั่วโมง พร้อมแบตเตอรี่ลิเธี่ยมไอออนที่มีระยะทางวิ่งสูงสุด 161 กิโลกรัม

Renault DeZir Concept รถสปอร์ตที่มิใช่รถสปอร์ตต้นแบบธรรมดาแต่มันจะเป็นเครื่องบ่งบอกตัวแทน Design Language ยุคใหม่ของ Renault ที่มีความเป็นมิตร อบอุ่น เปรียบเสมือนรถกำลังมีความรักกับผู้ใช้อย่างเรา ๆ ท่าน ๆ แน่นอนแนวคิดดีไซน์นี้จะต้องนำมาใช้กับรถยนต์ Renault รุ่นใหม่นับแต่บัดนี้เป็นต้นไป

Rolls-Royce

ไม่มีอะไรมากนักสำหรับ Rolls-Royce เปิดเผยแค่รุ่นตกแต่งภายในพิเศษ Bespoke Design Collection ประดับด้วยหนังแท้สีขาว และเมทัลลิคสีขาวดูสะอาดตาครับ

Seat

สถานการณ์ Seat ก็ไม่ค่อยสู้ดีเท่าไรนัก แต่ถ้าไม่ถึงกับล้มตึงพวกเขาก็ต้องสู้กันต่อไปด้วยการส่งรถต้นแบบ Seat IBE Concept ซึ่งก็หนีไม่พ้นความเป็นรถสปอร์ตคูเป้พลังงานไฟฟ้าอีกแล้วครับท่าน ดูรวม ๆ แล้วน่าจะมีโอกาสทำตลาดเป็นรถที่จะมาแข่งขันกับ Volkswagen Scirocco ได้สบาย ๆ

รถคันนี้ติดตั้งมอเตอร์ไฟฟ้า 102 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 20.2 กิโลกรัมเมตร อัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงภายใน 9.7 วินาที ความเร็วสูงสุด 160 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ระยะทางวิ่งสูงสุด 130 กิโลเมตร

Skoda

อวดโฉม Skoda Octavia Green E Concept รถไฟฟ้าดัดแปลงจาก Octavia Wagon Combi ติดตั้งมอเตอร์ไฟฟ้า 116 แรงม้า แรงบิด 27.27 กิโลกรัมเมตร อัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงภายใน 12 วินาที ความเร็วสูงสุด 135 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ระยะทางวิ่งสูงสุด 140 กิโลเมตร

Smart

งวดนี้ไม่โชว์รถยนต์แต่อวดโฉมยานพาหนะสองแบบด้วยกันคือแบบสกูตเตอร์ในนาม escooter เป็นรถแบบไฟฟ้า ส่วนรูปแบบหนึ่งคือรถจักรยานไฟฟ้า ebike ทั้งคู่มีจุดเด่นที่มอเตอร์ไฟฟ้าขนาดกะทัดรัด สามารถเชื่อมต่อสมาร์ทโฟนเพื่อใช้งานฟีเจอร์ต่าง ๆ เกี่ยวกับตัวรถได้ เช่น ตรวจวัดประจุแบตเตอรี่ เป็นต้น

Toyota

งวดนี้เหมือน Toyota กำลังเก็บของดีเอาไว้อวดโฉมในงานอื่นหรือเปล่า? เพราะไม่ค่อยจะครึกครื้นเท่าที่ควร แต่เราก็เข้าใจว่ายอดขายในภูมิภาคนี้ไม่ถึงกับน่าประทับใจมากเสียทีเดียว อย่างไรก็ตาม Show Must Go On ก็ต้องพยายามให้ถึงที่สุด จนเชื่อว่าสักวันหนึ่งคนยุโรปจะเริ่มให้การยอมรับรถญี่ปุ่น/เกาหลีได้มากกว่านี้

Toyota Verso-S ก็เป็นหนึ่งแนวรุกที่ถล่มตลาดมินิแวนอเนกประสงค์ระดับซับคอมแพคท์ คาดว่าตลาดนี้น่าจะเริ่มขยายตัวขึ้นเรื่อย ๆ หลายคนคงเห็นหน้าแล้วคุ้น ๆ เราอยากจะบอกว่าตัวนี้แหล่ะคือ Toyota Ractis ตัวใหม่ในญี่ปุ่นนั่นเอง จุดเด่นตัวรถคือความอเนกประสงค์ห้องโดยสารภายใน โดยเฉพาะห้องสัมภาระที่มีความจุสูงสุด 1,388 ลิตร ต้องขอบคุณฐานล้อยาวถึง 2,550 มม. (เท่ากับ Vios) มา ณ ที่นี้

Volkswagen

ค่ายยักษ์ใหญ่ฝั่งเยอรมนีต้นสังกัดแบรนด์ Audi, Seat, Skoda ต้องทำตัวเจี๋ยมเจี้ยมลงเล็กน้อยคงเพราะไม่ต้องการแย่งซีนไปจากแบรนด์ในเครือเท่าไรนัก Volkswagen ก็เลยแนะนำ Passat Minorchange ลงสู่ตลาดอย่างเดียวน่าจะดีกว่า

Volkswagen Passat Minorchange นับเป็นการปรับโฉมครั้งใหญ่หลังจากเปิดตัวครั้งแรกเลยภายในปี 2005 การปรับเปลี่ยนหน้าตาครั้งนี้เพื่อให้กับแนวทางการออกแบบ Volkswagen ยุคใหม่ที่ยังเน้นความเรียบง่าย แต่เพิ่มความสุขุม แข็งแกร่ง เฉียบคมมากขึ้น รูปร่างหน้าตามองเผิน ๆ นึกว่าเป็นญาติร่วมกับรถยนต์ในค่ายทั้งหลาย

หลายคนคงสับสนว่ามันจะเป็นรถคันเดียวกับโปรเจคท์ NMS ที่จะเตรียมวางจำหน่ายในตลาดสหรัฐอเมริกาหรือเปล่า คำตอบก็คือคนละคันเพราะตลาดสหรัฐอเมริกาต้องการรถซีดานขนาดกลางที่ดูใหญ่โตโอ่อ่ามากกว่า Passat อีกทั้งกว่าจะรอให้ Passat ออกโฉมใหม่ป่านนั้น Volkswagen อเมริกาคงจะขาดโอกาสเก็บยอดขายไปเยอะแล้ว

Volvo

ไม่มีรถใหม่เปิดตัวแต่ส่ง Volvo S60 และ V60 R-Design สีแดงรสร้อนแรงตกแต่งด้วยล้ออัลลอยใหม่ 18 นิ้ว ตกแต่งรายละเอียดรอบคันให้ดุดันขึ้นเล็กน้อยครับ

รถยอดนิยมปี 2556

เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม

เผลอแป๊บเดียว ก็กำลังก้าวย่างผ่านพ้นสิ้นปี โดยในพ.ศ. 2556 นี้ถือเป็นปีที่ตลาดรถยนต์ค่อนข้างคึกคักมากกับการเปิดรถโมเดลใหม่เพื่อตอบสนองความต้องการของตลาดมากขึ้น โดยเฉพาะรถในกลุ่มอีโคคาร์ เอ็มพีวี และเอสยูวี

นอกจากนี้ยังมีรถรุ่นเก่าที่เปลี่ยนโฉมใหม่แบบทั้งคัน เพราะได้ทำตลาดมาครบ 5 ปี ตามกำหนดเวลาที่ค่ายรถส่วนใหญ่วางไว้ ซึ่งมีรถยนต์รุ่นไหนบ้าง กระปุกคาร์ได้รวบรวมรุ่นมาให้พิจารณากัน..

รถยอดนิยมในประเทศไทย

Chevrolet Spin

Chevrolet Spin

เชฟโรเลต สปิน (Chevrolet Spin)

เป็นรถ Mini MPV วางตัวไว้ที่ บีเซ็กเมนต์ จุดเด่นคือ เป็นรถที่มี 7 ที่นั่งแต่ก็ยังไม่ทิ้งความคล่องแคล่ว สามารถใช้ประโยชน์ได้หลากหลายเพราะเบาะที่นั่งที่สามารถพับได้ 23 รูปแบบ โดยหากพับเบาเพื่อใช้ขนส่งก็มีพื้นที่ใช้สอย สูงถึง 1,608 ลิตร กับราคาเริ่มต้น 762,000 บาท

suzuki ertiga

suzuki ertiga

ซูซูกิ เออร์ติก้า (suzuki ertiga)

รถ Mini MPV อีกคันที่เปิดตัวไล่เลี่ยกับ เชฟโรเลต สปิน ซึ่ง ซูซูกิ เออร์ติก้า ส่วนใหญ่ใช้พื้นฐานมาจาก ซูซูกิ สวิฟท์ ดีไซน์ค่อนข้างลงตัว ออปชั่นก็ครบถ้วน ซึ่งจุดเด่นคือราคาจำหน่ายนั้นถูกที่สุดในกลุ่มนี้กับราคาเริ่มต้น 554,000 บาท

Toyota Vios

Toyota Vios

โตโยต้าวีออส (Toyota Vios)

หากไม่พูดถึงก็คงไม่ได้ เพราะมีประเด็นลากยาวข้ามปีตั้งแต่ก่อนสิ้นปี 2012 ที่สามารถใช้สิทธิ์คืนภาษีรถคันแรก และได้ทำการเปิดตัวในประเทศไทยเป็นที่แรกของโลกในงาน มอเตอร์โชว์ 2013 ซึ่งรูปโฉมเปลี่ยนใหม่ทั้งหมด มิติรถใหญ่ขึ้น แต่ยังใช้เครื่องยนต์รุ่นเดิม 1NZ-FE ที่ให้สมรรถนะที่น่าพอใจสำหรับรถยนต์ บี-เซ็กเมนต์อยู่ กับราคาเริ่มต้น 559,000 บาท

Mitsubishi Attrage

Mitsubishi Attrage

มิตซูบิชิ แอททราจ (Mitsubishi Attrage)

หลังจากที่ปล่อยให้มิราจทำตลาดอยู่สักพัก แอททราจ ก็ได้ฤกษ์คลอดเมื่อช่วงกลางปี 2013 ซึ่งยกจุดเด่นของมิราจมาครบถ้วน แถมเหนือกว่าอีโคคาร์ค่ายอื่นในเรื่องที่ออปชั่น พร้อมกับเทคโนโลยีด้านอุตสาหกรรมที่มิตซูบิชิมีประสบการณ์หลากหลาย จึงผลิตโครงสร้างตัวถังรถ High tensile steel ที่ทำให้รถมีน้ำหนักเบาและแข็งแรง ส่งผลให้อัตราสิ้นเปลืองน้ำมันค่อนข้างดีทีเดียว กับราคาเริ่มต้น 443,000 บาท

Isuzu mu x

Isuzu mu x

อีซูซุ มิว เอ็กซ์ (Isuzu mu x)

รถอเนกประสงค์ PPV ที่เปลี่ยนจากชื่อเดิม มิว เซเว่น มาเป็น มิว เอ็กซ์ ที่ดูหรูหรามากกว่าเดิมทั้งภายนอก-ภายใน สิ่งที่เปลี่ยนแปลงอย่างเห็นได้ชัดคือช่วงล่างที่เปลี่ยนแหนบ เป็นคอยล์สปริงที่ให้ความนุ่มนวลมากขึ้น กับราคาเริ่มต้น 1,014,000 บาท

Mazda CX-5

มาสด้า ซีเอ็กซ์ 5 (Mazda CX-5)

ในต่างประเทศนั้นเปิดตัวมาตั้งแต่ปี 2012 แต่สำหรับประเทศไทยได้เปิดตัวไปช่วงเดือน พฤศจิกายน 2556 ซึ่งเป็นรถยนต์สไตล์ SUV ที่จัดเต็มเทคโนโลยีล่าสุดของมาสด้า “สกายแอคทีฟ” เด่นในเรื่องเครื่องยนต์ที่มีสมรรถนะสูง แต่ต่ำในเรื่องอัตราสิ้นเปลืองน้ำมัน กับราคาเริ่มต้น 1,200,000 บาท

Nissan Teana

Nissan Teana

นิสสัน เทียน่า (Nissan Teana)

เป็นอีกรุ่นที่ปรับโฉมภายนอก-ภายใน และเครื่องยนต์ และก้าวเข้าสู่เจเนอเรชั่นที่ 3 ของ นิสสัน เทียน่า จัดเต็มเทคโนโลยีทั้งคัน โดดเด่นในเซ็นเซอร์ 360 องศารอบคัน และเครื่องยนต์บล็อกใหม่ QR25DE ขนาด 2500 ซีซี ในราคาเริ่มต้น 1,270,000 บาท

Toyota Yaris

โตโยต้า ยาริส (Toyota Yaris)

เผยโฉมต่อหน้าสาธารณชนครั้งแรกที่ประเทศจีนช่วงเดือนเมษายน ซึ่งเข้ามาทำตลาดประเทศไทยในช่วงตุลาคม 2556 โดยปรับลดขนาดเครื่องยนต์ให้ตรงตามข้อกำหนดอีโคคาร์ โดดเด่นที่มิติรถที่ใหญ่สุดในกลุ่มอีโคคาร์ ใช้เครื่องยนต์รุ่นใหม่ 3NR-FE และเกียร์ Super CVT-i กับราคาเริ่มต้น 469,000 บาท

Nissan Juke

Nissan Juke

นิสสัน จู๊ค (Nissan Juke)

เป็นรถยนต์ Mini SUV เปิดตัวมาเมื่อปี 2012 ได้เข้ามาทำตลาดประเทศไทยช่วงเดือนพฤศจิกายน 2556 โดดเด่นด้วยเป็นรถเอสยูวีที่ออกแบบให้คล้ายรถคูเป้ มีการซ่อนมือเปิดประตูหลังกับขอบกระจก ด้านเครื่องยนต์ถูกลดสเปค ด้วยการถอดเทอร์โบออกกับเครื่องยนต์ HR16 ขนาด 1,600 ซีซีที่ให้พลัง 116 แรงม้า ในราคาเริ่มต้น 819,000 บาท

Ford Fiesta Ecoboots

Ford Fiesta Ecoboots

ฟอร์ด เฟียสต้า อีโคบูสต์ (Ford Fiesta Ecoboots)

เป็นการปรับโฉมต้อนรับปี 2014 โดดเด่นที่เครื่องยนต์ อีโคบูสต์ ขนาด 1,000 ซีซีที่ให้พลังเทียบเท่ากับ เครื่องยนต์ขนาด 1,600 ซีซี มีทั้งแรงบิดที่สูง เร่งแรงทันใจการันตีด้วยรางวัลเครื่องยนต์ขนาดเล็กยอดเยี่ยมของโลกถึง 2 ปีซ้อน กับราคา 779,000 บาท

Ford Ecosport

ฟอร์ด อีโคสปอร์ต (Ford Ecosport)

รถยนต์ Mini SUV ที่พูดถึงมากอีกหนึ่งคัน มีสายการผลิตในประเทศไทย โรงงาน ฟอร์ด ไทยแลนด์ แมนูแฟคเจอริ่ง จังหวัดระยอง โดดเด่นด้วยความคล่องแคล่ว พร้อมช่วงล่างยกสูงที่ผ่านได้ทุกอุปสรรค ในราคาเริ่มต้นที่ 669,000 บาท

รถยอดนิยมต่างประเทศ

Suzuki Lapin Chocolate

Suzuki Lapin Chocolate

ซูซูกิ ลาพิน ช็อกโกแลต (Suzuki Lapin Chocolate)

รถเคคาร์สุดน่ารักจากญี่ปุ่น ที่ทำออกได้โดนใจสาว ๆ เป็นอย่างมากทั้งดีไซน์และออกแบบวัสดุภายใน เน้นความสดใสในแนววินเทจ มีจำหน่ายแล้วประเทศญี่ปุ่นกันราคา 1.29 ล้านเยน (หรือประมาณ 408,000 บาท)

Toyota Altis Model 2014

โตโยต้า อัลติส ปี 2014 (Toyota Altis Model 2014)

รถยนต์ขนาด ซีเซ็กเมนต์ ที่ได้รับความนิยมอย่างมากในประเทศไทย ถูกปรับโฉมใหม่ทั้งหมด ดูหรูหราน่าขับเป็นอย่างมาก เปิดตัวแล้วในฝั่งสหรัฐฯ และยุโรป โดยเปิดราคาจำหน่ายที่ 16,800 เหรียญสหรัฐ (หรือประมาณ 538,000 บาท)

Mazda 3 Model 2014

Mazda 3 Model 2014

มาสด้า 3 ปี 2014 (Mazda 3 Model 2014)

มีการปรับโฉมใหม่ ใส่เทคโนโลยี “สกายแอคทีฟ” ทั้งคัน กับรุ่นย่อยแฮตช์แบ็กและซีดาน ดูโฉบเฉี่ยวและสมรรถนะดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด คาดว่าไม่นานเกินรอ มาสด้าประเทศไทยนำเข้ามาทำตลาดแน่นอน กับราคาเริ่ม 18,445 เหรียญสหรัฐ (หรือประมาณ 570,000 บาท)

Honda Jazz 2014

Honda Jazz 2014

ฮอนด้า แจ๊ส ปี 2014 (Honda Jazz Medel 2014)

รุ่นใช้ชื่อในต่างประเทศว่า ฮอนด้า ฟิต (Honda Fit) ที่ปรับโฉมใหม่ทั้งคัน ดูล้ำและสวยขึ้นเป็นอย่างมาก โดยเปิดรุ่นย่อยออกมาครบกับเครื่องยนต์ 1,300 ซีซี, 1,500 ซีซี และ เครื่องยนต์ 1,500 ซีซีที่ประสานกับพลังไฮบริด ในราคาเริ่มต้น 1,265,000 เยน (หรือประมาณ 408,550 บาท)

Honda City 2014

Honda City 2014

ฮอนด้า ซิตี้ 2014 (Honda City Model 2014)

ซิตี้คาร์ยอดนิยมในประเทศไทยจัดอยู่ในกลุ่ม บีเซ็กเมนต์ ปรับโฉมใหม่ยกคันดูหรูหราและสปอร์ตมากกว่าเดิม ซึ่งเผยโฉมครั้งแรกในประเทศอินเดีย ส่วนราคานั้นคงต้องรออย่างเป็นทางการในปี 2014 ครับ

รถยนต์กลุ่มคอมแพกต์: สปอร์ต หรูหรา หรือเน้นประหยัด? ส่อง 5 รุ่นท็อปที่ครองใจนักขับ

ในยุคที่การเดินทางมีความสำคัญมากขึ้นเรื่อยๆ ตลาดรถยนต์กลุ่มคอมแพกต์ หรือที่เรียกกันว่า C-segment ยังคงเป็นดาวเด่นที่ไม่เคยตกยุค ด้วยขนาดที่ลงตัว ไม่เล็กไม่ใหญ่เกินไป ราคาที่เข้าถึงได้ง่าย และความอเนกประสงค์ที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ผู้คนหลากหลาย ทำให้ผู้ผลิตรถยนต์ต่างทุ่มเทพัฒนารถยนต์ในกลุ่มนี้ออกมาแข่งขันกันอย่างดุเดือด เพื่อชิงส่วนแบ่งทางการตลาดและนำเสนอทางเลือกที่ดีที่สุดให้กับผู้บริโภค ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อเราๆ ท่านๆ อย่างแท้จริง ในฐานะผู้คร่ำหวอดในวงการยานยนต์มากว่าทศวรรษ ผมได้เห็นการเปลี่ยนแปลงและการพัฒนาของรถยนต์กลุ่มนี้มาอย่างต่อเนื่อง วันนี้ ผมจะพาทุกท่านดำดิ่งสู่โลกแห่ง รถยนต์คอมแพกต์ ที่สุดพิเศษ โดยอ้างอิงจากการจัดอันดับของเว็บไซต์ชั้นนำอย่าง Autocar.co.uk ผสมผสานกับมุมมองเชิงลึกของผมเอง เพื่อเจาะลึกว่ารุ่นไหนมีดีอย่างไร และเหตุใดจึงเป็นที่จับตามอง

BMW Series 3: ตำนานแห่งสมรรถนะและความเหนือระดับ

ไม่มีใครปฏิเสธได้ว่า BMW Series 3 คือชื่อที่เปรียบเสมือน “มาตรฐานทองคำ” ของรถยนต์ซีดานสปอร์ต ด้วยประวัติศาสตร์อันยาวนาน ชื่อเสียงด้านคุณภาพที่ยังคงปรากฏให้เห็นอยู่บนท้องถนนทั่วโลก สำหรับรุ่นในปัจจุบัน ซึ่งก็คือเจเนอเรชั่นที่ 6 รหัสตัวถัง F30 ที่เปิดตัวครั้งแรกในปี 2012 และก้าวขึ้นเป็นผู้นำตลาดได้อย่างรวดเร็ว การออกแบบของ BMW Series 3 นั้นมีความชัดเจนและเป็นเอกลักษณ์ ด้วยกระจังหน้าไตคู่ที่เป็นสัญลักษณ์, ไฟหน้าเรียวยาวรับกับเส้นสายตัวถัง และไฟท้ายที่ดูปราดเปรียว ทันสมัย

สิ่งที่ทำให้ BMW Series 3 โดดเด่นคือทางเลือกของชุดแต่งที่หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็น Sport, Luxury หรือ Modern ซึ่งสามารถตอบสนองความต้องการที่แตกต่างกันของผู้บริโภคแต่ละกลุ่มได้อย่างลงตัว แต่เหนือสิ่งอื่นใด คือสมรรถนะที่ยอดเยี่ยมควบคู่ไปกับอัตราการประหยัดน้ำมันที่น่าทึ่ง โดยเฉพาะเครื่องยนต์ดีเซลที่สามารถทำตัวเลขได้ถึง 23 กม./ลิตร ในรุ่นที่ประหยัดที่สุด ช่วงล่างที่ให้ความนุ่มนวลในการขับขี่เป็นเลิศ แม้ว่าการเก็บเสียงภายในห้องโดยสารอาจจะยังไม่สมบูรณ์แบบนัก แต่ด้วยสมรรถนะโดยรวมที่โดดเด่น การขับขี่ที่สนุกเร้าใจ และดีไซน์ที่คงความเป็น BMW ได้อย่างสมบูรณ์แบบ จึงไม่น่าแปลกใจที่ BMW Series 3 จะครองอันดับต้นๆ ในการจัดอันดับครั้งนี้

รุ่นและราคาจำหน่ายในประเทศไทย (อ้างอิงช่วงเวลา):
320i (เบนซิน): ประมาณ 2,679,000 บาท
320d (ดีเซล): ประมาณ 2,879,000 บาท
328i Sport (เบนซิน): ประมาณ 3,099,000 บาท

Mercedes-Benz C-Class: นิยามแห่งความหรูหรา สปอร์ตลงตัว

ยังคงเป็นรถยนต์ที่ครองใจคนไทยมาอย่างยาวนาน Mercedes-Benz C-Class คือสัญลักษณ์แห่งความหรูหราที่ลงตัวสำหรับตลาดบ้านเรา สำหรับรุ่นที่ทำการปรับโฉม (Minorchange) ในปี 2011 ได้ถูกพัฒนาสมรรถนะเครื่องยนต์ด้วยเทคโนโลยี BlueEfficiency ที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพและประหยัดน้ำมันยิ่งขึ้น งานออกแบบทั้งภายนอกและภายในยังคงไว้ซึ่งเอกลักษณ์ความหรูหราสไตล์ Mercedes-Benz แต่แฝงไว้ด้วยความสปอร์ตที่ทันสมัย ทำให้ C-Class ยังคงเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจสำหรับผู้ที่ต้องการภาพลักษณ์ที่ดูดีและขับขี่ได้อย่างมั่นใจ

C-Class มาพร้อมกับเครื่องยนต์หลากหลายขนาดและชนิดเชื้อเพลิง ให้สมรรถนะที่ไม่เป็นรองใคร อัตราการประหยัดน้ำมันที่ดีที่สุดอยู่ที่ราว 18 กม./ลิตร ซึ่งถือว่าไม่ธรรมดาเลยสำหรับรถยนต์ระดับนี้ ช่วงล่างที่มอบความนุ่มนวลและมั่นคงในการควบคุมการขับขี่ แม้ว่าในด้านอัตราประหยัดน้ำมัน เครื่องยนต์ดีเซลอาจจะยังสู้ BMW Series 3 ไม่ได้นัก แต่ด้วยคุณสมบัติรอบด้าน ทั้งความหรูหรา ความสบาย และสมรรถนะที่ยอดเยี่ยม ก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้ Mercedes-Benz C-Class ติดอันดับที่สอง

รุ่นและราคาจำหน่ายในประเทศไทย (อ้างอิงช่วงเวลา):
C200 BlueEfficiency: ประมาณ 2,179,000 บาท
C200 Style: ประมาณ 2,250,000 บาท
C220 CDI Exec: ประมาณ 2,490,000 บาท
C180 Coupe AMG: ประมาณ 2,990,000 บาท
C250 AMG: ประมาณ 3,090,000 บาท
C250 BlueEfficiency Coupe: ประมาณ 4,099,000 บาท

Audi A4: การออกแบบที่สง่างาม นุ่มนวลทุกสัมผัส

Audi เป็นอีกหนึ่งแบรนด์เยอรมันที่คนไทยคุ้นเคยกันเป็นอย่างดี และ Audi A4 ก็เป็นหนึ่งในรุ่นที่ได้รับความนิยมอย่างต่อเนื่อง ในฐานะคู่แข่งโดยตรงกับ BMW Series 3 และ Mercedes-Benz C-Class การออกแบบภายนอกของ Audi A4 เน้นเส้นสายที่โค้งมน ให้ความรู้สึกสง่างาม นุ่มนวล แฝงด้วยความหรูหราจากไฟหน้าดีไซน์เฉียบคมที่โดดเด่นด้วย Daytime Running Lights แบบ LED และไฟท้ายที่ดูใหญ่โตสะดุดตา

ภายในห้องโดยสารใช้วัสดุคุณภาพสูงประกอบได้อย่างประณีต แม้การออกแบบอาจจะดูเรียบง่ายไปบ้างสำหรับบางคน แต่ก็ให้ความรู้สึกพรีเมียม เครื่องยนต์ให้กำลังที่ดี เสียงเครื่องยนต์อาจจะดังกว่าคู่แข่งไปบ้าง แต่จุดเด่นคือระบบเกียร์อัตโนมัติที่ทำงานได้อย่างยอดเยี่ยม โดยเฉพาะเมื่อใช้ความเร็วสูงจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการประหยัดน้ำมันให้ดีขึ้น อัตราประหยัดน้ำมันเฉลี่ยอยู่ที่ราว 20 กม./ลิตร ซึ่งถือว่าน่าประทับใจ

ฐานล้อที่กว้างช่วยให้การนั่งโดยสารมีความนุ่มนวล เข้าโค้งได้อย่างมั่นคง แม้ว่าการควบคุมพวงมาลัยไฟฟ้าในบางจังหวะอาจจะยังไม่ให้ความมั่นใจเท่าที่ควร แต่ด้วยการออกแบบที่ดูหรูหรา นุ่มนวล และห้องโดยสารที่กว้างขวางสะดวกสบาย Audi A4 จึงยังคงเป็นตัวเลือกอันดับต้นๆ ที่สมควรได้รับคำชม

รุ่นและราคาจำหน่ายในประเทศไทย (อ้างอิงช่วงเวลา):
A4 1.8 Turbo FSI: ประมาณ 2,690,000 บาท

Volkswagen CC: ยนตรกรรมสไตล์คูเป้สุดหรู

Volkswagen CC ซึ่งในอดีตเคยเป็นที่รู้จักในชื่อ Passat CC ถูกวางตำแหน่งให้เป็นรถยนต์ที่ตอบโจทย์กลุ่มลูกค้าที่มองหารถยนต์ที่มีสไตล์โดดเด่นและเหนือระดับขึ้นไป แม้จะมีพื้นฐานโครงสร้างใกล้เคียงกับ Passat แต่การออกแบบและรายละเอียดต่างๆ นั้นแตกต่างกันอย่างชัดเจน โดย VW CC รุ่นใหม่ที่คาดว่าจะเปิดตัวในปี 2013 (ข้อมูลจากบทความต้นฉบับ) ได้นำเสนอเทคโนโลยีเดียวกับ VW Passat อย่างเต็มรูปแบบ

เครื่องยนต์มีให้เลือกหลากหลาย ทั้งเครื่องยนต์เบนซิน TSI ขนาด 1.8 และ 2.0 ลิตร รวมถึงเครื่องยนต์ดีเซล TDI ขนาด 2.0 ลิตร ซึ่งมีกำลังให้เลือกตั้งแต่ 138 แรงม้า ไปจนถึง 207 แรงม้า โดยรุ่นที่ประหยัดน้ำมันที่สุดสามารถทำได้ถึง 25 กม./ลิตร เลยทีเดียว ภายในห้องโดยสารได้รับการยืนยันว่าไม่แตกต่างจาก Passat CC มากนัก ซึ่งอาจจะยังไม่สามารถสร้างความตื่นตาตื่นใจเท่าคู่แข่งบางรุ่นจากคุณสมบัติที่เปิดเผยออกมา ทำให้ Volkswagen CC ยังคงอยู่ในอันดับที่ 4 แต่ก็ยังเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจสำหรับผู้ที่ชื่นชอบดีไซน์สไตล์คูเป้

ราคาจำหน่ายในต่างประเทศ (อ้างอิงช่วงเวลา):
ประมาณ 23,627 – 29,592 ปอนด์ หรือ 1,060,000 – 1,341,000 บาท

Volvo S60: ความปลอดภัยเหนือชั้น สไตล์สวีเดน

รถยนต์จากสวีเดนคันนี้ ขึ้นชื่อในเรื่องความแข็งแกร่งของโครงสร้างตัวถังตามแบบฉบับ Volvo การออกแบบในสไตล์ Saloon ได้รับการพลิกโฉมให้ดูสปอร์ตและเร้าใจมากขึ้นกว่าที่เคยเป็นมา เส้นสายต่างๆ ถูกจัดวางอย่างลงตัว การออกแบบภายในให้ความสำคัญกับความสะดวกสบายในการโดยสารสูงสุด ซึ่ง Volvo ก็สามารถทำออกมาได้อย่างยอดเยี่ยม

เครื่องยนต์ของ Volvo S60 โดดเด่นในเรื่องอัตราการประหยัดน้ำมันอย่างยิ่ง โดยรุ่นดีเซลสามารถทำตัวเลขได้สูงถึง 28 กม./ลิตร และรุ่นเบนซินทำได้ 17 กม./ลิตร แถมยังรองรับการเติมน้ำมัน E85 ได้อีกด้วย ข้อแลกเปลี่ยนที่สำคัญคืออัตราเร่งที่อาจจะไม่จัดจ้านเท่ารถยนต์ในระดับเดียวกัน การยึดเกาะถนนถือว่าอยู่ในเกณฑ์ดี แต่การควบคุมพวงมาลัยอาจจะยังรู้สึกช้ากว่าคู่แข่งอยู่บ้าง แม้ว่าระบบความปลอดภัยจะเป็นจุดแข็งอันดับต้นๆ ของรถคันนี้ก็ตาม แต่เมื่อพิจารณาถึงสมรรถนะโดยรวมและการควบคุมที่อาจทำให้รู้สึกเกร็งเล็กน้อย Volvo S60 จึงจัดอยู่ในอันดับที่ 5 ในการจัดอันดับครั้งนี้

รุ่นและราคาจำหน่ายในประเทศไทย (อาจแตกต่างกันไปตามปีและรุ่นย่อย): (จำเป็นต้องมีการอัปเดตข้อมูลราคาล่าสุด)

ทิศทางอนาคต: รถยนต์ไฟฟ้า (EV) และผู้เล่นรายใหม่

นอกเหนือจากรถยนต์คอมแพกต์เครื่องยนต์สันดาปภายในที่ยังคงได้รับความนิยมอย่างต่อเนื่องแล้ว สิ่งที่ปฏิเสธไม่ได้คือการเติบโตอย่างก้าวกระโดดของ รถยนต์ไฟฟ้า (EV) ที่กำลังเข้ามาเปลี่ยนแปลงภูมิทัศน์อุตสาหกรรมยานยนต์ทั่วโลก รายงานจาก Bloomberg ชี้ให้เห็นว่ายอดขายรถยนต์ EV ทั่วโลกเพิ่มขึ้นกว่า 60% ในปี 2565 และมีแนวโน้มเติบโตอย่างต่อเนื่อง ตลาดสำคัญอย่างจีน ญี่ปุ่น สหรัฐอเมริกา และยุโรป ต่างแสดงการเติบโตที่น่าประทับใจ

ในภาพรวม ผู้เล่นหลักที่ขับเคลื่อนตลาด EV อย่าง Tesla ยังคงครองตำแหน่งผู้นำด้วยนวัตกรรมที่ล้ำสมัยและเทคโนโลยีแบตเตอรี่ รวมถึงระบบขับขี่อัตโนมัติที่พัฒนาอย่างไม่หยุดยั้ง อย่างไรก็ตาม คู่แข่งรายสำคัญจากจีนอย่าง BYD กำลังแสดงศักยภาพที่น่าจับตามอง ด้วยการเติบโตของยอดขายและการลงทุนในเทคโนโลยีแบตเตอรี่ที่เป็นจุดแข็ง รวมถึงการขยายฐานการผลิตไปยังต่างประเทศ เช่น โรงงานแห่งใหม่ในประเทศไทย

นอกจากนี้ ยังมีผู้เล่นหน้าใหม่และผู้เล่นที่มีศักยภาพอื่นๆ ที่น่าสนใจ เช่น Li Auto ที่เน้นรถยนต์ Extended Range Electric Vehicle (EREV) เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของตลาดจีน, VinFast ผู้ผลิตสัญชาติเวียดนามที่กำลังพยายามบุกตลาดโลกด้วยโมเดลธุรกิจที่น่าสนใจ, Rivian สตาร์ทอัพอเมริกันที่เน้นรถกระบะและ SUV ไฟฟ้า โดยเฉพาะอย่างยิ่ง สัญญาการผลิตรถตู้ส่งของให้กับ Amazon แสดงให้เห็นถึงศักยภาพในการผลิตขนาดใหญ่

ในฐานะผู้คร่ำหวอดในวงการยานยนต์ ผมเชื่อว่า ตลาดรถยนต์คอมแพกต์ จะยังคงเป็นส่วนสำคัญของอุตสาหกรรมต่อไป แต่ก็ต้องปรับตัวอย่างรวดเร็วเพื่อรับมือกับการมาถึงของยุค EV การผสมผสานระหว่างเทคโนโลยีเครื่องยนต์สันดาปที่พัฒนาให้ประหยัดและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น ควบคู่ไปกับการพัฒนารถยนต์ไฟฟ้าที่มีสมรรถนะและระยะทางวิ่งที่ตอบโจทย์ผู้บริโภค จะเป็นกุญแจสำคัญในการครองใจนักขับในอนาคต

หากคุณกำลังมองหารถยนต์คันใหม่ที่สะท้อนตัวตนและตอบโจทย์การใช้งานในทุกมิติ การศึกษาข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับ รถยนต์กลุ่มคอมแพกต์ และแนวโน้มของ ตลาดรถ EV จะช่วยให้คุณตัดสินใจได้อย่างชาญฉลาด อย่าลังเลที่จะปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ หรือทดลองขับ เพื่อสัมผัสประสบการณ์จริงก่อนตัดสินใจครับ

Previous Post

N2912051_โลกน ไม นท สำหร บ…คนอ อนแอ_part2

Next Post

N2912037_อย ามองว าเม ยเป น…ร กท ไร_part2

Next Post
N2912037_อย ามองว าเม ยเป น…ร กท ไร_part2

N2912037_อย ามองว าเม ยเป น...ร กท ไร_part2

Leave a Reply Cancel reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *

Recent Posts

  • N2912049 คนเห นแก อย ไหนก าร งเก ยจ part2
  • N2912047 ความจร เร องของแม part2
  • N2912032 อย าค ดได ในว นท สายไป part2
  • N2912039 วหน าแบบไหน กน องร part2
  • N2912034 คนเราถ าม ความซ อส ตย ทำอะไรก เจร part2

Recent Comments

No comments to show.

Archives

  • December 2025
  • November 2025
  • October 2025
  • September 2025
  • August 2025

Categories

  • Uncategorized

© 2025 JNews - Premium WordPress news & magazine theme by Jegtheme.

No Result
View All Result

© 2025 JNews - Premium WordPress news & magazine theme by Jegtheme.