สุดยอดรถยนต์หรู: 51 อันดับรถยนต์ที่แพงที่สุดในโลก ประจำปี 2025
ในฐานะผู้คร่ำหวอดในวงการยานยนต์มากว่าทศวรรษ ผมได้เห็นวิวัฒนาการของอุตสาหกรรมรถยนต์สุดหรูอย่างใกล้ชิด การเดินทางบนยานพาหนะเหล่านี้ไม่ใช่แค่การขนส่งอีกต่อไป แต่คือประสบการณ์อันล้ำค่า ศิลปะบนล้อ และการผจญภัยที่ครั้งหนึ่งในชีวิต ในปี 2025 โลกของ “รถยนต์หรูราคาแพงที่สุดในโลก” ยังคงเต็มไปด้วยนวัตกรรม การออกแบบที่เหนือชั้น และสมรรถนะที่ยากจะหาใครเทียบเคียง
เมื่อเอ่ยถึง “รถยนต์ที่แพงที่สุดในโลก” หลายคนอาจนึกถึงแบรนด์ดังอย่าง Bugatti, Rolls-Royce, Pagani หรือ Ferrari ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นชื่อที่คุ้นเคยและเป็นที่ยอมรับในตลาดรถยนต์ระดับสูง แต่การจะก้าวขึ้นสู่จุดสูงสุดของลิสต์นี้ไม่ใช่เรื่องง่าย แม้จะมีดีไซน์ที่สะดุดตา เครื่องยนต์ทรงพลัง และการตกแต่งสุดพิเศษเพียงใด ก็อาจไม่เพียงพอเสมอไป
บทความนี้จะพาคุณไปสำรวจ 51 สุดยอดรถยนต์ที่แพงที่สุดในโลก ประจำปี 2025 ตั้งแต่ตำนานแห่งวงการรถยนต์คลาสสิกไปจนถึงโมเดลใหม่ที่น่าจับตามอง พร้อมเจาะลึกถึงรายละเอียดที่ทำให้รถยนต์เหล่านี้มีมูลค่ามหาศาล และนี่คือภาพรวมของ “รถยนต์หรูราคาแพงที่สุดในโลก” ที่คุณไม่ควรพลาด
นิยามแห่งความหรูหรา: องค์ประกอบที่ทำให้รถยนต์มีมูลค่าสูง
นอกเหนือจากราคาที่สูงลิ่วแล้ว รถยนต์หรูเหล่านี้มีอะไรที่ทำให้แตกต่างจากรถยนต์ทั่วไป? หัวใจสำคัญอยู่ที่การผสมผสานระหว่างงานฝีมือชั้นเลิศ เทคโนโลยีล้ำสมัย และความพิเศษที่ไม่เหมือนใคร
การออกแบบที่ไร้ขีดจำกัด: รถยนต์หรูคือผืนผ้าใบสำหรับศิลปิน นักออกแบบ และวิศวกร พวกเขาไม่ถูกจำกัดด้วยกรอบความคิดเดิมๆ เพื่อสร้างสรรค์ผลงานที่สะท้อนรสนิยมของผู้ครอบครองและสะกดทุกสายตา
สมรรถนะที่เหนือกว่า: เครื่องยนต์ที่ทรงพลัง ความเร็วสูงสุดที่น่าทึ่ง และอัตราเร่งที่เร้าใจ คือคุณสมบัติพื้นฐานของรถยนต์สมรรถนะสูง แต่สำหรับรถยนต์หรู มันคือการปลุกเร้าอารมณ์และมอบประสบการณ์การขับขี่ที่ไม่มีใครเทียบได้
วัสดุและการตกแต่งสุดพิเศษ: การเลือกใช้วัสดุชั้นเลิศ ทั้งภายนอกและภายใน ไม่ว่าจะเป็นคาร์บอนไฟเบอร์พิเศษ หนังชั้นดี หรือการฝังอัญมณี ล้วนสะท้อนถึงความใส่ใจในทุกรายละเอียด
ความพิเศษและความหายาก: รถยนต์หลายรุ่นผลิตในจำนวนจำกัด หรือเป็นรถยนต์แบบคัสตอมเมด (Bespoke) ซึ่งหมายความว่ามีเพียงคันเดียวในโลก ความหายากนี้เองที่เป็นปัจจัยสำคัญที่เพิ่มมูลค่าอย่างมหาศาล
เทคโนโลยีและนวัตกรรม: รถยนต์หรูมักเป็นผู้บุกเบิกเทคโนโลยีใหม่ๆ ทั้งในด้านสมรรถนะ ความปลอดภัย และความสะดวกสบาย ซึ่งจะถูกนำไปปรับใช้กับรถยนต์รุ่นอื่นๆ ในอนาคต
51 อันดับรถยนต์ที่แพงที่สุดในโลก ประจำปี 2025
การจัดอันดับนี้พิจารณาจากราคาเปิดตัวล่าสุด โมเดลพิเศษ และการประเมินมูลค่าจากตลาดรถยนต์ระดับสูง โดยคำนึงถึงปัจจัยด้านสมรรถนะ การออกแบบ วัสดุ และความเป็นเอกลักษณ์
Rolls-Royce La Rose Noire Droptail: 30 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
Rolls-Royce ยังคงครองบัลลังก์ความหรูหราด้วย La Rose Noire Droptail โมเดลสองที่นั่งคันนี้มาพร้อมหลังคาแข็งแบบถอดได้ มอบอิสระในการขับขี่แบบเปิดประทุนหรือปิดสนิท การตกแต่งภายในที่ประณีตด้วยการฝังลายไม้วีเนียร์ Black Sycamore กว่า 1,603 ชิ้น สร้างสรรค์ลวดลายเหมือนกุหลาบ Black Baccara สีภายนอก True Love ยิ่งเสริมความสมบูรณ์แบบ
Rolls-Royce Boat Tail: 28 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
Rolls-Royce Boat Tail คือนิยามของการผสมผสานระหว่างปริมาณและคุณภาพอย่างลงตัว เป็นโมเดลที่ผลิตแบบ Coach-built คันแรกของโลก โดยอ้างอิงดีไซน์จากเรือยอร์ช J-Class และ Boat Tail รุ่นดั้งเดิมในปี 1932 เครื่องยนต์ V12 Twin-turbo ขนาด 6.75 ลิตร ให้กำลัง 563 แรงม้า
Bugatti La Voiture Noire: 18.7 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
“The Black Car” คือชื่อที่ Bugatti เลือกใช้สำหรับซูเปอร์คาร์คันนี้ ตัวถังคาร์บอนไฟเบอร์ที่ขึ้นรูปด้วยมือ เครื่องยนต์ W16 Quad-turbo 8.10 ลิตร ให้กำลัง 1,500 แรงม้า อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ใน 2.4 วินาที และความเร็วสูงสุด 420 กม./ชม. คือนิยามแห่งสมรรถนะและสุนทรียภาพ
Pagani Zonda HP Barchetta: 17.6 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
Zonda คือรถยนต์รุ่นแรกของ Pagani Automobili แม้การผลิตควรจะยุติไปแล้ว แต่ Pagani ยังคงสร้างสรรค์รุ่นพิเศษอย่าง HP Barchetta ซึ่งตั้งชื่อตามลักษณะที่คล้าย “เรือลำเล็ก” ในภาษาอิตาเลียน ตัวถังคาร์บอนไฟเบอร์น้ำหนักเบา กระจกบังลมหน้าแบบมินิมอล และความสูงเพียง 21 นิ้ว ทำให้รถคันนี้มีความพิเศษยิ่งนัก เป็นหนึ่งในรถที่แพงที่สุดที่หาซื้อไม่ได้ โดยผลิตเพียง 3 คันทั่วโลก
SP Automotive Chaos: 14.4 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
SP Automotive Chaos คือผู้มาใหม่ที่สร้างความฮือฮา นักออกแบบชาวกรีก Spyros Panopoulos ได้สร้างสรรค์รถยนต์ Ultra Car ที่ใช้วัสดุสุดล้ำ รุ่น Earth Version ให้กำลัง 2,048 แรงม้า ราคา 6.3 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ส่วนรุ่น Zero Gravity อัปเกรดเครื่องยนต์ V10 Quad-turbo ให้กำลัง 3,065 แรงม้า อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ใน 1.55 วินาที
Rolls-Royce Sweptail: 13 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
Rolls-Royce Sweptail ถูกสร้างขึ้นตามคำสั่งพิเศษของผู้ซื้อ และเคยครองตำแหน่งรถยนต์ที่แพงที่สุดในโลก การผสมผสานความหรูหราสมัยใหม่เข้ากับกลิ่นอายของยุค 1920s และ 30s ทำให้รถคันนี้มีความโดดเด่นอย่างแท้จริง เป็นรถคันเดียวในโลกที่ไม่มีการผลิตซ้ำ
Bugatti Chiron Profilée: 10.78 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
Bugatti Chiron Profilée สร้างสถิติเป็นรถใหม่ที่ขายได้ในราคาประมูลสูงสุด เป็นผลงานชิ้นเดียวที่ไม่เหมือนใคร แม้จะลดทอนความโหดจากรุ่น Pur Sport แต่ก็ยังคงไว้ซึ่งสมรรถนะที่น่าประทับใจ อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ใน 2.3 วินาที และความเร็วสูงสุดกว่า 230 ไมล์ต่อชั่วโมง
Bugatti Centodieci: 9 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
Bugatti Centodieci คือการรำลึกถึง EB110 ซูเปอร์คาร์ในยุค 90s โดยผลิตเพียง 10 คันทั่วโลก เครื่องยนต์ W16 Quad-turbo 1,577 แรงม้า มอบอัตราเร่งที่น่าทึ่ง 0-100 กม./ชม. ใน 2.4 วินาที และความเร็วสูงสุด 379 กม./ชม.
Mercedes-Maybach Exelero: 8 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
รถยนต์คันนี้ถูกสร้างขึ้นโดยบริษัทผู้ผลิตยางรถยนต์ Fulda เพื่อทดสอบสมรรถนะของยางภายใต้สภาวะที่ท้าทายที่สุด เครื่องยนต์ V12 Twin-turbo ให้กำลัง 690 แรงม้า แรงบิด 752 ปอนด์-ฟุต เป็นรถต้นแบบพิเศษที่ผลิตเพียงคันเดียว
777 Hypercar: 7.6 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
777 Hypercar คือสุดยอดรถยนต์ที่เน้นสมรรถนะในสนามแข่ง เครื่องยนต์ V8 Natural-aspirated ให้กำลัง 730 แรงม้า แต่มีน้ำหนักเพียง 900 กก. ผลิตเพียง 7 คันทั่วโลก และจะถูกเก็บรักษาไว้ที่สนาม Monza เพื่อให้เจ้าของได้สัมผัสประสบการณ์ในสนามแข่งอย่างเต็มที่
Pagani Huayra Codalunga: 7.4 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
Pagani Huayra Codalunga คือการตอบสนองต่อความต้องการของนักสะสม Pagani สองรายที่ต้องการรถยนต์สไตล์ Long-tail อันเป็นเอกลักษณ์ของรถแข่งยุค 1960s ผลิตเพียง 5 คันทั่วโลก เครื่องยนต์ V12 ให้กำลัง 828 แรงม้า
Pagani Huayra Tricolore: 6.7 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
Pagani Huayra Tricolore เป็นการยกย่องทีมผาดแผลงของกองทัพอากาศอิตาลี “Frecce Tricolori” ผลิตเพียง 3 คันทั่วโลก เครื่องยนต์ 829 แรงม้า แสดงให้เห็นถึงสมรรถนะที่ทัดเทียมกับเครื่องบินขับไล่
Bugatti Divo: 6 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
Bugatti Divo คือการต่อยอดจาก Bugatti Chiron ที่ประสบความสำเร็จอย่างสูง โดยเน้นการออกแบบที่แปลกตาและความพิเศษยิ่งขึ้น ผลิตเพียง 40 คัน เครื่องยนต์ W16 8.0 ลิตร Quad-turbo ให้กำลัง 1,500 แรงม้า อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ใน 2.4 วินาที
Bugatti Chiron Super Sport 300+: 5.7 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
Bugatti Chiron Super Sport 300+ คือการพิสูจน์ความเร็วที่เหนือขีดจำกัด เป็นรถคันแรกที่ทำลายกำแพงความเร็ว 300 ไมล์ต่อชั่วโมง (483 กม./ชม.) เครื่องยนต์ W16 Quad-turbo 8 ลิตร ให้กำลัง 1,577 แรงม้า อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ใน 2.4 วินาที
Pagani Imola: 5.4 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
Pagani Imola คือผลงานการผลิตแบบจำกัดจำนวนเพียง 5 คันทั่วโลก ออกแบบมาเพื่อการขับขี่ในสนามแข่งโดยเฉพาะ โดดเด่นด้วยปีกหลังขนาดใหญ่ Diffuser และ Front Splitter ที่ทำงานร่วมกับ Aerodynamics เพื่อสร้างแรงกดสูงสุด
Bugatti Mistral: 5 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
Bugatti Mistral เป็นหนึ่งในรถยนต์รุ่นสุดท้ายที่จะใช้เครื่องยนต์ W16 อันเป็นตำนาน การออกแบบแบบเปิดประทุนและปรับปรุงส่วนหน้าใหม่ ทำให้ Mistral มุ่งหวังที่จะเป็นรถเปิดประทุนที่เร็วที่สุดในโลก ด้วยความเร็วสูงสุดที่รายงานว่าอยู่ที่ 261 ไมล์ต่อชั่วโมง (420 กม./ชม.)
Koenigsegg CCXR Trevita: 4.8 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
Koenigsegg CCXR Trevita โดดเด่นด้วยตัวถังคาร์บอนไฟเบอร์สีขาวลายเพชร ซึ่งกระบวนการผลิตนั้นซับซ้อนมาก จึงผลิตออกมาเพียง 2 คันเท่านั้น โดย Floyd Mayweather อดีตนักมวยแชมป์โลกเป็นเจ้าของหนึ่งในนั้น
Pininfarina B95 Barchetta: 4.78 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
Pininfarina B95 Barchetta คือหนึ่งในรถยนต์ไฟฟ้าที่มีราคาสูงที่สุดในโลก เป็นโมเดลที่สองจากผู้ผลิต Hypercar รายใหม่นี้ แม้จะยังคงใช้ขุมพลังไฟฟ้าเดิม แต่มีการออกแบบที่น่าสนใจ โดยเฉพาะการตัดกระจกบังลมหน้าออก และใช้ระบบ Aerodynamic Screen แบบปรับได้
Bugatti Bolide: 4.7 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
Bugatti Bolide คือรถยนต์คอนเซ็ปต์ที่พัฒนาต่อยอดจนกลายเป็นรุ่นผลิตจริง ให้กำลัง 1,578 แรงม้า พร้อมองค์ประกอบ Aerodynamic ที่ช่วยเพิ่มแรงกดให้รถเกาะติดพื้นถนนได้อย่างมีประสิทธิภาพ
Gordon Murray T.50s Niki Lauda: 4.4 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
Gordon Murray T.50s Niki Lauda คือการยกย่องนักแข่งรถในตำนาน Niki Lauda โดยมีน้ำหนักเบาลง 200 ปอนด์ และเพิ่มแรงม้าเกือบ 75 แรงม้า ให้กำลัง 725 แรงม้าจากเครื่องยนต์ V12 และมีรอบเครื่องยนต์สูงสุดถึง 12,100 รอบต่อนาที
Lamborghini Veneno: 4 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
Lamborghini Veneno ถูกสร้างขึ้นเพื่อเฉลิมฉลองครบรอบ 50 ปีของ Lamborghini เป็นรถแข่งบนท้องถนนที่มาพร้อมดีไซน์ดุดันและสมรรถนะที่น่าทึ่ง ผลิตในรูปแบบ Coupe 4 คัน และ Roadster 9 คัน
Koenigsegg CC850: 3.65 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
Koenigsegg CC850 คือการเฉลิมฉลองครบรอบ 20 ปีของ Koenigsegg มาพร้อมเครื่องยนต์ V8 5.0 ลิตร ให้กำลัง 1,385 แรงม้า จุดเด่นคือระบบ Engage Shift System (ESS) ที่สามารถเปลี่ยนเกียร์อัตโนมัติ 9 สปีด ให้เป็นเกียร์ธรรมดา 6 สปีด พร้อมคลัทช์แบบแป้นเหยียบ
Bugatti Chiron Pur Sport: 3.6 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
Bugatti Chiron Pur Sport คือรุ่นที่เน้นความคล่องตัวและสมรรถนะในสนามแข่ง ผลิตเพียง 60 คันทั่วโลก มีน้ำหนักเบาลงและให้การควบคุมที่เฉียบคมยิ่งขึ้น
Lamborghini Sian: 3.6 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
Lamborghini Sian ในภาษาโบโลเนสแปลว่า “สายฟ้า” เป็น Lamborghini ที่ทรงพลังที่สุดเท่าที่เคยผลิตมา เป็นไฮบริดแบบจำกัดจำนวน 63 คัน ที่มาพร้อมการปรับแต่งได้หลากหลาย และอัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ในไม่ถึง 2.8 วินาที
Aspark Owl: 3.56 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
Aspark Owl คือรถยนต์ไฟฟ้าที่ล้ำสมัยมากที่สุดคันหนึ่งของโลก ใช้มอเตอร์ไฟฟ้า 4 ตัว ให้กำลัง 2,012 แรงม้า และอัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ในไม่ถึง 1.7 วินาที
Pagani Huayra BC Roadster: 3.5 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
Pagani Huayra BC Roadster คือผลงานศิลปะบนล้อที่งดงาม เครื่องยนต์ V12 มอบสมรรถนะที่น่าทึ่ง ตัวถังใช้วัสดุ Carbon-Titanium HP62 ที่เบาเป็นพิเศษ ชื่อ “BC” มาจาก Benny Caiola เศรษฐีอสังหาริมทรัพย์ชาวนิวยอร์กและเพื่อนสนิทของ Horacio Pagani
McLaren Solus: 3.5 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
McLaren Solus มอบประสบการณ์ใกล้เคียงกับการขับรถ Formula 1 ด้วยค็อกพิทแบบที่นั่งเดี่ยว พวงมาลัยพร้อมระบบควบคุมทุกอย่าง และอุปกรณ์เสริมเฉพาะสำหรับเจ้าของ
Aston Martin DB5 Goldfinger: 3.4 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
Aston Martin DB5 Goldfinger คือการผลิตซ้ำจากรถในตำนานของ James Bond โดยผลิตเพียง 25 คัน ที่ยังคงรักษาชิ้นส่วนดั้งเดิมไว้ให้มากที่สุด พร้อมอุปกรณ์พิเศษสไตล์สายลับ
W Motors Lykan Hypersport: 3.4 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
W Motors Lykan Hypersport เป็นซูเปอร์คาร์ที่หายากที่สุดคันหนึ่งของโลก ผลิตเพียง 7 คันตามชื่อของรถ ได้รับการจดจำจากบทบาทในภาพยนตร์ Fast & Furious 7
Bugatti Chiron: 3.3 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
Bugatti Chiron คือสัญลักษณ์แห่งสมรรถนะและความหรูหรา แม้รุ่น Pur Sport จะมีความดุดันกว่า แต่ Chiron ก็ยังคงเป็นรถที่มอบประสบการณ์การขับขี่ที่น่าประทับใจ
Gordon Murray T.50: 3.08 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
Gordon Murray T.50 คือ “ซูเปอร์คาร์อนาล็อกคันสุดท้าย” ตามแนวคิดของ Gordon Murray ผู้สร้าง McLaren F1 รถคันนี้มาพร้อมเกียร์ธรรมดา 6 สปีด เครื่องยนต์ V12 Natural-aspirated และการจัดวางที่นั่ง 3 ตำแหน่ง
Rimac Nevera Time Attack: 3 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
Rimac Nevera Time Attack คือรุ่นพิเศษที่ผลิตเพียง 12 คัน เพื่อเฉลิมฉลองสถิติสนาม Nürburgring และสถิติความเร็วอื่นๆ ของรถยนต์ไฟฟ้า เป็นการผสมผสานระหว่างสมรรถนะและประวัติศาสตร์
Ferrari Pininfarina Sergio: 3 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
Ferrari Pininfarina Sergio เป็นรถที่ผลิตอย่างจำกัดเพียง 6 คัน เพื่อเป็นการรำลึกถึง Sergio Pininfarina ผู้ร่วมงานกับ Ferrari มายาวนาน 60 ปี
Koenigsegg Jesko: 3 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
Koenigsegg Jesko คือทายาทของ Agera RS ที่มาพร้อมเครื่องยนต์ V8 1280 แรงม้า และเกียร์ 9 สปีดที่พัฒนาขึ้นเองโดย Koenigsegg Jesko Absolut สามารถทำความเร็วสูงสุดได้ถึง 330 ไมล์ต่อชั่วโมง (531 กม./ชม.)
Hennessey Venom F5 Roadster: 3 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
Hennessey Venom F5 Roadster คือรุ่นเปิดประทุนของ Venom F5 ที่ Hennessey ยกย่องว่าเป็น “อเมริกา ซูเปอร์คาร์” ผลิตแบบจำกัดจำนวน
Aston Martin Victor: 3 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
Aston Martin Victor คือรถยนต์ Bespoke ที่ผลิตเพียงคันเดียว เกิดจากการนำโปรโตไทป์ Aston Martin One-77 มาปรับปรุงใหม่ เพื่อรำลึกถึง Victor Gauntlett ผู้เคยนำพาบริษัทผ่านช่วงเวลาที่ยากลำบาก
Lamborghini Sesto Elemento: 2.92 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
Lamborghini Sesto Elemento มีน้ำหนักเพียง 999 กก. โดยใช้วัสดุคาร์บอนไฟเบอร์ในทุกส่วนเท่าที่จะทำได้ อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ใน 2.5 วินาที
Zenvo Aurora: 2.83 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
Zenvo Aurora คือรถยนต์ไฮบริดรุ่นใหม่จาก Zenvo ใช้เครื่องยนต์ V12 Quad-turbo ผสานกับมอเตอร์ไฟฟ้า 3 ตัว ให้กำลังรวม 1,850 แรงม้า มีให้เลือก 2 รุ่น คือ Tur (Grand Tourer) และ Agil (Track-focused)
Czinger 21C Blackbird: 2.8 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
Czinger 21C Blackbird คือรุ่นพิเศษที่ตกแต่งด้วยสีดำสนิท เพื่อรำลึกถึงเครื่องบินสอดแนม SR-71 Blackbird ผลิตเพียง 4 คัน
Mercedes AMG One: 2.7 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
Mercedes AMG One คือรถยนต์ที่นำเทคโนโลยี Formula 1 มาสู่ท้องถนน เครื่องยนต์ Plug-in Hybrid V6 1.6 ลิตร ผสานมอเตอร์ไฟฟ้า 4 ตัว ให้กำลัง 1,000 แรงม้า ความเร็วสูงสุดกว่า 350 กม./ชม.
Aston Martin Valkyrie: 2.6 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
Aston Martin Valkyrie คือ Hypercar คันแรกของ Aston Martin ที่พัฒนาร่วมกับ Red Bull Racing ใช้เครื่องยนต์ V12 6.5 ลิตร ให้กำลังกว่า 1,100 แรงม้า ความเร็วสูงสุดกว่า 205 ไมล์ต่อชั่วโมง (330 กม./ชม.) ผลิตเพียง 150 คัน
Ferrari FXX K Evo: 2.6 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
Ferrari FXX K Evo คือวิวัฒนาการขั้นต่อไปของ LaFerrari โดยมี Aerodynamics และช่วงล่างที่ได้รับการปรับปรุง เพื่อเพิ่มแรงกดและสมรรถนะในสนามแข่ง
Ferrari F60 America: 2.5 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
Ferrari F60 America คือรถยนต์แบบเปิดประทุนที่ผลิตขึ้นเพื่อเฉลิมฉลองครบรอบ 60 ปีของ Ferrari ในอเมริกาเหนือ ผลิตเพียง 10 คัน
Koenigsegg Agera RS: 2.5 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
Koenigsegg Agera RS เป็นเจ้าของสถิติรถยนต์โปรดักชั่นที่เร็วที่สุดในโลก ด้วยความเร็ว 277.87 ไมล์ต่อชั่วโมง (447.19 กม./ชม.) เครื่องยนต์ V8 5.0 ลิตร ให้กำลัง 1,341 แรงม้า ผลิต 27 คัน
Lamborghini Countach LPI 800-4: 2.5 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
Lamborghini Countach LPI 800-4 คือการระลึกถึง Countach รุ่นไอคอนิกในตำนาน ผสานเทคโนโลยีไฮบริดเข้ากับการออกแบบอันเป็นเอกลักษณ์ ผลิตจำนวนจำกัด 112 คัน
Pagani Utopia: 2.5 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
Pagani Utopia คือการก้าวข้ามแนวโน้มปัจจุบัน โดยยังคงใช้ระบบขับเคลื่อนล้อหลัง และมีตัวเลือกเกียร์ธรรมดา เครื่องยนต์ V12 6.0 ลิตร จาก Mercedes-AMG ให้กำลัง 852 แรงม้า
Bugatti Veyron Super Sport: 2.4 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
Bugatti Veyron Super Sport เคยครองสถิติรถยนต์โปรดักชั่นที่เร็วที่สุดในโลก ด้วยความเร็ว 267.856 ไมล์ต่อชั่วโมง (431.072 กม./ชม.) เครื่องยนต์ W16 Quad-turbo 8.0 ลิตร ให้กำลัง 1,184 แรงม้า
Koenigsegg CCXR: 2.31 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
Koenigsegg CCXR เป็นหนึ่งในซูเปอร์คาร์ยุคแรกๆ ที่ใช้เชื้อเพลิงผสมเอทานอล ซึ่งนอกจากจะเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมแล้ว ยังช่วยเพิ่มสมรรถนะอีกด้วย
Aston Martin Vulcan: 2.3 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
Aston Martin Vulcan คือรถยนต์ที่ออกแบบมาเพื่อลงสนามแข่งโดยเฉพาะ ไม่สามารถวิ่งบนถนนทั่วไปได้ ผลิตเพียง 24 คัน
Delage D12: 2.3 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
Delage D12 คือรถยนต์ไฮบริดซูเปอร์คาร์ ที่นำเสนอประสบการณ์การขับขี่ใกล้เคียงกับ Formula 1 ด้วยตำแหน่งผู้ขับขี่ตรงกลาง เครื่องยนต์ V12 7.6 ลิตร ผสานมอเตอร์ไฟฟ้า ให้กำลังรวม 990 แรงม้า
McLaren Speedtail: 2.25 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
McLaren Speedtail คือสมาชิกสี่ของ McLaren Ultimate Series ที่เน้น Aerodynamics และความเร็วสูงสุด เครื่องยนต์ V8 4.0 ลิตร Twin-turbo แบบไฮบริด มอบสมรรถนะที่เหนือกว่า
โบนัสพิเศษ:
1955 Mercedes-Benz 300 SLR Uhlenhaut Coupé: 142 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
รถยนต์คันนี้คือประวัติศาสตร์ที่ยังมีชีวิต เป็นหนึ่งในสองคันที่ถูกดัดแปลงจากรถแข่ง 300 SLR เพื่อการใช้งานบนถนน ราคาประมูลสูงสุดในโลก สะท้อนถึงคุณค่าทางประวัติศาสตร์และเอกลักษณ์ที่ไม่มีวันเสื่อมคลาย
1963 Ferrari 250 GTO: 70 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
Ferrari 250 GTO คือ “จอกศักดิ์สิทธิ์” ของนักสะสมรถยนต์ การออกแบบที่งดงาม สมรรถนะที่เหนือกว่าในยุคสมัย และชัยชนะในสนามแข่ง ทำให้รถคันนี้เป็นตำนานที่ยังคงมีชีวิตอยู่
อนาคตของวงการรถยนต์หรู
ในปี 2025 เราเห็นแนวโน้มที่ชัดเจนว่า เทคโนโลยีไฟฟ้า (EV) กำลังเข้ามามีบทบาทสำคัญในตลาดรถยนต์หรู แม้เครื่องยนต์สันดาปภายในจะยังคงมีเสน่ห์ แต่ผู้ผลิตชั้นนำต่างมุ่งมั่นพัฒนารถยนต์ไฟฟ้าสมรรถนะสูงที่สามารถมอบประสบการณ์ที่น่าตื่นเต้นไม่แพ้กัน
นอกจากนี้ ความใส่ใจในเรื่องความยั่งยืน และการใช้วัสดุที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม กำลังเป็นปัจจัยสำคัญที่ผู้บริโภคระดับสูงให้ความสนใจ รถยนต์หรูในอนาคตจะยังคงเป็นที่ผสมผสานระหว่างนวัตกรรม เทคโนโลยี สมรรถนะ และจิตวิญญาณแห่งศิลปะการออกแบบ
หากคุณคือผู้ที่หลงใหลในโลกแห่งยานยนต์สุดหรู การทำความเข้าใจเกี่ยวกับ “รถยนต์หรูราคาแพงที่สุดในโลก” เหล่านี้ จะช่วยเปิดมุมมองและสร้างแรงบันดาลใจในการแสวงหาประสบการณ์ที่เหนือกว่าการเดินทางทั่วไป
ต้องการสัมผัสประสบการณ์เหนือระดับ?
หากคุณพร้อมที่จะก้าวเข้าสู่โลกแห่งยนตรกรรมสุดยอด หรือต้องการข้อมูลเชิงลึกเพิ่มเติมเกี่ยวกับการลงทุนในรถยนต์หายากเหล่านี้ โปรดติดต่อผู้เชี่ยวชาญด้านรถยนต์หรูของเรา เพื่อรับคำปรึกษาและคำแนะนำเฉพาะบุคคล ที่จะช่วยให้คุณค้นพบรถยนต์ในฝันที่สะท้อนตัวตนและไลฟ์สไตล์ของคุณอย่างแท้จริง

